วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 23:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


งานบางสิ่งบางอย่าง เช่น งานมงคลสมรส งานบวชนาค คนที่เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากันไปทำแทนกันได้ ฝ่ายหนึ่งติดธุระ บอกไปแทนหน่อย ยังงี้ได้

ส่วนงานที่ทำแทนกันไม่ได้ ก็ไปงานแต่ง งานบวชนั่นแหละ สั่งว่าถึงแล้วกินข้าวแทนด้วยนะ กินเยอะๆเลยฉันกำลังหิว :b13: แบบนี้ใครๆก็ทำแทนกันไม่ได้ คนไหนกินคนนั้นก็อิ่มไป

งานทางจิต เช่น การปฏิบัติธรรม, ปฏิบัติกรรมฐาน ก็ทำนองเดียวกัน ทำแทนกันไม่ได้ คนไหนทำคนนั้้นก็ได้ ก็อิ่มอกอิ่มใจ เป็นต้นไป นอนเตียงเดียวกันก็ลุกขึ้นไปทำแทนกันไม่ได้ คุณโรสพอใจนะขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง


แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ

แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต

ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำแทนกันไม่ได้


ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ เลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์

ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา


หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน

ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ


ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ

ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่
บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างปีติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้น

แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดังผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2018, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงคราวสุขทุกข์ คนเราก็สุขแทนกัน (สุขเวทนา) ก็ไม่ได้ ทุกข์แทนกัน ( ทุกขเวทนา) แทนกันไม่ได้ ขณะประสบสุข ก็สุขหนอๆ อยู่คนเดียว ขณะประสบทุกข์ ก็ทุกข์หนออยู่คนเดียว ถึงคราวตายหาใครตายแทนก็ไม่ได้ ตายเอง :b16:

เมื่อเช้าถูกผึ้งต่อยหน้าตาบวมปูด ยังไม่หาย นี่ก็ปวดเองปวดอยู่คนเดียว จะหาคนเจ็บปวดแทนสักคนก็ไม่ได้ไม่มี :b2:

ตย. ทุกข์เวทนา เจ็บอยู่คนเดียว


ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันมาค่ะ

แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องนั่งสมาธิ เกิดปวดขาอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ทนนั่งจนหมดเวลา (ซึ่งเป็นครั้งแรกค่ะ เนื่องจากไม่เคยทนได้เลย) ระหว่างที่ปวดมากๆ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา และสู้เนื่องจากเคยได้ยินว่า "ไม่เคยมีใครตายจากการนั่งสมาธิ" รวมทั้งประโยคที่ว่า "นิพพานอยู่ฝั่งตาย" (จำไม่ได้ว่าเป็นของหลวงพ่อท่านไหนค่ะ) และคิดว่าตายเป็นตายแต่จะไม่ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถก่อนหมดเวลาแน่นอน (ใจก็นึกถึงแต่พระพุทธเจ้าตลอดเวลาค่ะ)

เมื่อนาฬิกาดังหมดเวลา เราก็ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อคลายอาการปวดขา แต่เรารู้สึกว่า...ทันทีที่เราลืมตา เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหู ทั้งๆที่เวลานั้นไม่ได้มีพระสวดมนต์อยู่ใกล้ๆค่ะ

ก่อนหน้านี้....เมื่อครั่งที่เราไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็สวดแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลที่บ้าน เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหูอีกเหมือนกัน ทั้งๆที่ใกล้ๆบ้านก็ไม่มีวัด และไม่มีใครเปิดวิทยุค่ะ (ตอนแรกนึกว่ามีพระสวดทำวัตรเย็นอยู่ใกล้ๆ แต่บ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้วัด)

แล้วก็เคยมีอีกครั้งนึง เราคุยกับแม่ แนะนำแม่เรื่องการไปปฎิบัติธรรม และชวนแม่ให้ไปปฏิบัติ ธรรมด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วในหูอีก

เสียงสวดมนต์ที่ได้ยิน 2 ครั้งแรก จะได้ยินเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงชม.
แต่ครั้ง[i]ล่าสุดได้ยิน (หลังจากนั่งสมาธิ) ดังนานหลาย ชม. ตั่งแต่ประมาณเกือบ 4 โมงเย็น จนถึงเวลานอนตอน 4 ทุ่มเลย

เสียงสวดมนต์ดังกล่าว เป็นเสียงเหมือนพระสวดมนต์ ฟังจับใจความได้เป็นบางคำ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบทสวดอะไร

บางครั้งก็จะได้ยินเป็นเสียงดนตรีไทยบรรเลงอยู่ ระหว่างสวดมนต์และตอนเดินจงกรม ทั้งที่ วัดและที่บ้าน
ถามเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าได้ยินไหม เค้าบอกว่าไม่ เห็นได้ยินอะไรเลย เราก็เลยไม่กล้าถามเค้าต่อ กลัวเขาว่าเราสติไม่ดี อ่ะค่ะ

เลยอยากถามผู้มีความรู้หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์ว่าเคยมีใครได้ยินเป็นลักษณะนี้บ้างหรือ
ไม่ แล้วเป็นเสียงของใครเหรอคะ หรือว่าเราคิดมากไปเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ทางใจใครก็ทำแทนใครไม่ได้ ก็ทำนองการฝึกฝนอบรมจิตนั่น


อตฺตนา ว กตํ ปาปํ - อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ - อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ - นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.


บาปอันผู้ใด ทำแล้วด้วยตนเอง ผู้นั้นย่อมเศร้าหมองด้วยตน
บาปอันผู้ใด ไม่ทำด้วยตน ผู้นั้นย่อมบริสุทธิ์ด้วยตน
ความบริสุทธิ์ความไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน คนอื่นพึงทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้.

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ - โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน - นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.

ตนแลเป็นที่พึงของตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลหาได้โดยยาก.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสมีอะไรจะเถียงหรือข้อโต้แย้งบ้างไหมขอรับ :b13:

อากาศเริ่มเปลี่ยนแล้วปลายฝนต้นหนาวแล้ว หาซื้อแกงส้มดอกแค่กินกันไข้หัวลมบ้างนะขอรับนะ :b32: เดี๋ยวไม่ฉะบาย :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2018, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสไม่แวะเวียนมาที่กท.นี้เลย มีอะไรมีข้อโต้แย้งบ้างไหมขอรับ :b13:

ยอดดอยรู้สึกได้ว่าอากาศเริ่มเปลี่ยนปลายฝนต้นหนาวแล้ว คุณโรสกินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลมบ้างนะขอรับนะ :b32: เด๋วจะม่ายฉะบาย :b12:

รูปภาพ

คนโบราณอยู่กับธรรมชาติ จึงรู้สรรพคุณของพืชที่เป็นยา เช่น ข่า ตะไคร้ ดอกแค เป็นต้น เป็นยาทั้งนั้น ที่ว่าดอกแคกันไข้หัวลม ก็เพราะมีรสขมๆหน่อย ความขมนั่นแหละกันไข้ได้ (กินกันไว้) ลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ ยอดอ่อนก็ลวกกินได้

ย้อนไปครั้งพุทธกาล เรื่องหมอชีวก ชีวกซึ่งเรียนแพทย์ วิธีสอบว่าผ่านไม่ผ่าน อาจารย์ก็ให้เข้าป่าหาพืชที่ใช้เป็นยาไม่ได้มา ชีวกก็ไปเสาะแต่ปรากฏว่าไม่มีคือใช้เป็นยาได้ทั้งนั้น ก็กลับมาบอกอาจารย์ อาจารย์ก็บอก เธอเรียนจบแล้ว กลับไปรับใช้บ้านเมืองได้ ดังนี้เป็นตัวอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2018, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. บน พูดถึงหมอชีวกไว้ ดูประวัติท่านหน่อย



ชีวก ชื่อหมอใหญ่ผู้เชียวชาญในการรักษา และมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย ชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์

หมอชีวก เกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตก จึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารกไปทิ้งที่กองขยะ

แต่พอดี เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่า เป็นทารก และยังมีชีวิตอยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง

ในขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่ (หรือ ยังเป็นอยู่) หรือไม่ และได้รับคำตอบว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวิต = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยงจึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี
อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ
อาจารย์ให้ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์ รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา
ชีวก หาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์
อาจารย์ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย

ชีวก เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์ เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาของเศรษฐีเมืองนั้น ซึ่งเป็นโรคปวดหัวมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย

ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย

หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้า เดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา
เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป้นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และโปรดให้หมอชีวิตสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์

ต่อมาไม่นาน เจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่า เป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น

พระเจ้าพิมพิสาร จึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

หมอชีวกได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาพระพุทธเจ้าในคราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลา ที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ

หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง
เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสร้างวัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตน เรียกว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด

นอกจากนั้น หมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรม และเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกาย ช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

ชีวกโกมารภัจจ์ “ผู้ที่พระราชกุมารเลี้ยงชื่อชีวก”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2018, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. บน พูดถึงหมอชีวกไว้ ดูประวัติท่านหน่อย



ชีวก ชื่อหมอใหญ่ผู้เชียวชาญในการรักษา และมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย ชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์

หมอชีวก เกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตก จึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารกไปทิ้งที่กองขยะ

แต่พอดี เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่า เป็นทารก และยังมีชีวิตอยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง

ในขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่ (หรือ ยังเป็นอยู่) หรือไม่ และได้รับคำตอบว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวิต = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยงจึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี
อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ
อาจารย์ให้ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์ รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา
ชีวก หาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์
อาจารย์ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย

ชีวก เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์ เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาของเศรษฐีเมืองนั้น ซึ่งเป็นโรคปวดหัวมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย

ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย

หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้า เดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา
เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป้นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และโปรดให้หมอชีวิตสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์

ต่อมาไม่นาน เจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่า เป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น

พระเจ้าพิมพิสาร จึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

หมอชีวกได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาพระพุทธเจ้าในคราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลา ที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ

หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง
เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสร้างวัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตน เรียกว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด

นอกจากนั้น หมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรม และเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกาย ช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

ชีวกโกมารภัจจ์ “ผู้ที่พระราชกุมารเลี้ยงชื่อชีวก”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 ต.ค. 2018, 11:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2018, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หมอชีวก เกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตก จึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารกไปทิ้งที่กองขยะ

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่า ตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา


นางคณิกา หรือ หญิงงามเมือง มีมาแต่ครั้งพุทธกาลโน่นแล้ว (อาจมีมาก่อนด้วยซ้ำ) ยุคปัจจุบันจะเรียกยังไงอีกก็ว่ากันไป ซึ่งเขาจำต้องทำเพราะไม่มีวิชาความรู้ที่จะขาย จำต้องดิ้นรนให้พ้นทางอดตาย ถ้าเทียบกับข้าราชการบางคน ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต เงินเดือนสูง แต่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางทุจริตรังแกประชาชนแล้วนี่ไม่ประเสริฐเลย หญิงเหล่านั้นประเสริฐกว่าเป็นไหนๆ อ้าวจริงๆ ไม่เชื่อถามท่านเปา :b16:


เนื้อเพลงนี้บอกความหมายได้ดี

https://www.youtube.com/watch?v=4ncKngOGTcw

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2018, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห.บนโน่น กล่าวถึงพระเจ้าพิมพิสาร กับ อชาตศัตรูไว้ ดูประวัติท่านหน่อย



อชาตศัตรู โอรสของพระเจ้าพิมพิสารกับพระนางโกศลเทวี กษัตริย์แคว้นมคธ ขณะพระนางโกศลเทวีทรงครรภ์ ได้แพ้ท้องอยากเสวยโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสาร ทรงทราบจึงเอาพระขรรค์แทงพระชานุ (เข่า) รองพระโลหิตให้พระนางเสวย โหรทำนายว่า พระโอรสที่อยู่ในครรภ์เกิดมาจะทำปิตุฆาต
พระนางโกศลเทวี พยายามทำลายด้วยการให้แท้งเสีย แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดคิดจะรีด แต่พระเจ้าพิมพิสารห้ามไว้ เมื่อครบกำหนดประสูติเป็นกุมาร จึงตั้งพระนามโอรสว่า อชาตศัตรู แปลว่า “เป็นศัตรูตั้งแต่ยังไม่เกิด”
ในที่สุด เจ้าชายอชาตศัตรู ก็คบคิดกับพระเทวทัต ฆ่าพระราชบิดาตามที่โหรทำนายไว้ และได้ขึ้นครองราชสมบัติแคว้นมคธ ณ กรุงราชคฤห์
แต่ทรงสำนึก และกลับพระทัยได้ หันมาทรงอุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา และได้เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ในการสังคายครั้งที่ ๑
(คำ อชาตศัตรู บางท่านแปลใหม่ว่า “มิได้เกิดมาเป็นศัตรู”)


พิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินมคธครองราชย์สมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์ เป็นผู้ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเป็นสังฆาราม นับเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา ถูกพระราชโอรสนามว่า อชาตศัตรู ปลงพระชนม์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. บนกล่าวถึงเทวทัต มีประวัติหน่อยหนึ่ง


เทวทัตต์ ราชบุตรของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางพิมพาผู้เป็นพระชายาของสิทธัตถกุมาร เจ้าชายเทวทัตต์ ออกบวชพร้อมกับพระอนุรุทธะ พระอานนท์ และกัลบกอุบาลี เป็นต้น บำเพ็ญฌานจนได้โลกียอภิญญา ต่อมามีความมักใหญ่ ได้ยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู และคบคิดกันพยายามประทุษร้ายพระพุทธเจ้า ก่อเรื่องวุ่นวายในสังฆมณฑล จนถึงทำสังฆเภท และถูกแผ่นดินสูบในที่สุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2018, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยไว้คนเดียว ไปไม่เป็นจริงๆ ไม่รู้จาออกทางไหนไปทางไหน คุณโรสก็ทิ้งไอ้เรืองไปไม่ใยดีแล้ว :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2018, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอันนี้แล้วกัน คือ ความเป็นอยู่ระหว่างคนทั่วๆไป กับ ผู้ซึ่งมองเห็นแสงธรรมแสงทองบ้างแล้ว บุคคลสองกลุ่มนี้มีชีวิตอยู่ ต่างก็ถูกสุขทุกข์อทุกขมสุขกระทบเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ฝ่ายแรกไม่มีทางออก ไปจากสุขทุกข์เป็นต้นนั้น ครั้นเขาถูกสุขเวทนาเป็นต้นกระทบแล้ว ราคานุสัยจึงตกค้างอยู่ภายใน ส่วนฝ่ายหลังมีทางออก เมื่อประสบกับสุขเวทนาเป็นอาทิแล้ว ราคานุสัยจึงไม่นอนเนื่องในใจไม่ตกตะกอนอยู่ภายใน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 11 ต.ค. 2018, 13:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2018, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตดู


การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ทั้งในฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม ที่จะช่วยให้มนุษย์ถือเอาประโยชน์ได้ทั้งจากกระบวนการฝ่ายจิต และกระบวนการฝ่ายวัตถุ

ชีวิตแห่งปัญญา จึงมองลักษณะได้ ๒ ด้าน คือ

ด้านภายใน มีลักษณะสงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง ผ่องใส ด้วยความรู้เท่าทัน เป็นอิสระ เมื่อเสวยสุข ก็ไม่หลงระเริงหรือสยบมัวเมา และไม่เหลิงละเลิงลืมตัว เมื่อขาดพลาด หรือพรากจากเหยื่อล่อสิ่งปรนปรือต่างๆ ก็มั่นคง ปลอดโปร่งอยู่ได้ ไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ซึมเซา สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ไม่ปล่อยตัวฝากสุขทุกข์ของตนไว้ในกำมือของอามิสภายนอกที่จะตัดสินให้เป็นไป

ด้านภายนอก มีลักษณะคล่องตัว ว่องไว พร้อมอยู่เสมอที่จะเข้าเกี่ยวข้อง และจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามที่มันควรจะเป็น โดยเหตุผลบริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนปม หรือความยึดติดภายใน ที่จะมาเป็นนิวรณ์ขัดขวาง กั้นบัง ถ่วง ทำให้เขว ลำเอียง หรือทำให้พร่ามัว


มีพุทธพจน์บางตอนที่แสดงให้เห็นลักษณะบางอย่าง ที่แตกต่างกัน ระหว่างชีวิตแห่งความยึดมั่นถือมั่น กับ ชีวิตแห่งปัญญา เช่น


"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง

“อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง

"ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนั้น อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ กับ ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?"


"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ ร่ำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง ๒ อย่าง คือ เวทนาทางกาย และ เวทนาทางใจ


"เปรียบเหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ ๒ อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้น ย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง ๒ ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ก็ฉันนั้น...ย่อมเสวยเวทนาทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ

"อนึ่ง เพราะถูกทุกขเวทนานั้นกระทบ เขาย่อมเกิดความขัดใจ เมื่อเขามีความขัดใจ เพราะทุกขเวทนา ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนาก็ย่อมนอนเนื่อง

เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็หันเข้าระเริงกับกามสุข* เพราะอะไร ? เพราะปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมไม่รู้ทางออกจากทุกขเวทนา นอกไปจากกามสุข และ
เมื่อเขาระเริงอยู่กามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนานั้นย่อมนอนเนื่อง

เขาย่อมไม่รู้เท่าทันความเกิดขึ้น ความสูญสลาย ข้อดีข้อเสีย และทางออกของเวทนาเหล่านั้นตามที่มันเป็น
เมื่อเขาไม่รู้...ตามที่มันเป็น อวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา (= อุเบกขาเวทนา) ย่อมนอนเนื่อง


"ถ้าได้เสวยสุขเทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว ถ้าได้เสวยทุกขเทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว ถ้าได้เสวยอทุกขมสุขเทนา เขาก็เสวยอย่างถูกมัดตัว


"ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เรียกว่าปุถุชน ผู้มิได้เรียนรู้ ผู้ประกอบ ด้วยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยทุกข์"

.......

ที่อ้างอิง *

* กามสุข สุขในการสนองความต้องการทางประสาททั้ง ๕ ตัวอย่าง ในทางจริยธรรมขั้นต้น เช่น หันเข้าหาการพนัน การดื่มสุรา และสิ่งเริงรมย์ต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร