วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 17:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2020, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"...ทรัพย์สินเงินทองที่เราหามาได้ สุดท้าย...ก็จากเราไปในวันที่เราหมดลมหายใจ

แต่ "บุญ" ที่เรากระทำมา จะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม









พระพุทธองค์ทรงสอนว่าทุกข์ทางใจเกิดจากกิเลส และไม่มีกิเลสตัวใดหายไปได้เอง การละกิเลสจะสำเร็จด้วยการปฏิบัติตามอริยมรรคเท่านั้น หากคำสอนนี้เป็นสัจธรรม ยิ่งเราเร่งรีบ ตั้งใจปฏิบัติเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี เพราะไม่ช้าก็เร็ว เราจะต้องทำงานนี้ให้ลุล่วง

ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ต้องเป็นพรุ่งนี้ ถ้าไม่ใช่พรุ่งนี้ก็วันมะรืน ถ้าไม่ใช่วันมะรืนก็สัปดาห์หน้า ถ้าไม่ใช่สัปดาห์หน้าก็เป็นเดือนหน้า ถ้าไม่ใช่เดือนหน้าก็ปีหน้า ถ้าไม่ใช่ปีหน้าก็ปีถัดไป ถ้าไม่ใช่ชาตินี้ก็ชาติหน้า

ในเมื่อไม่มีหลักประกันว่าสุขภาพของเราจะดีตลอดไป เราจะยังเข้าถึงคำสอนได้ง่ายอย่างนี้หรือเปล่า หรือแม้กระทั่งว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกไหม เราจึงควรขวนขวายปฏิบัติธรรมในขณะที่หลายสิ่งหลายอย่างยังเอื้ออำนวย เวลาเป็นสิ่งล้ำค่า เราพึงใช้เวลาอย่างชาญฉลาด

พระอาจารย์ชยสาโร








"บุญจากการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลา นี่มีอานิสงส์สูงมาก เพราะพระก็เกิดจากโบสถ์ วิหาร ศาลา และยังใช้เป็นสถานที่ทำบุญปฏิบัติธรรม.."

หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต
วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี









เรื่อง "มรรค ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา"
คำสอนที่ถูกต้อง ต้องไม่ข้ามมรรค
สมาธิเป็นที่พัก เป็นอาหารของใจ ทำสลับกันไปจนถึงขั้นสุดท้าย #ถ้ามีใครมาสอนว่าไม่ต้องนั่งสมาธิไม่ต้องหลับตา #อย่างนี้ก็อย่าไปเชื่อ #ก็อย่าไปฟังให้เสียเวลา พระพุทธเจ้าจะสอนไตรสิกขาทำไม ทรงสอนศีล สมาธิ ปัญญาทำไม ทรงสอนสัมมาสมาธิทำไม ตัดมันออกไปก็ได้มรรค ๘ ก็เอาแค่มรรค ๗ ก็พอ ไตรสิกขาเอาแค่ศีลกับปัญญาก็พอ ยกเว้นคนมีสมาธิแล้วไม่ต้องทำสมาธิ

พระปัญจวัคคีย์ ท่านมีสมาธิอยู่แล้วพระพุทธเจ้าจึงไม่สอนเรื่องสมาธิ ทรงสอนเรื่องปัญญาเลย ครั้งแรกทรงสอนอริยสัจ ทรงสอนเรื่องมรรค ๘ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ต่อมาท่านก็ทรงสอนอนัตตลักขณสูตร ทรงสอนเรื่องขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา เป็นปัญญาล้วนๆ เพราะมีสมาธิกันอยู่แล้ว

ดังพระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาปริพาชก ที่เข้าเฝ้าเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่กราบทูลถามว่า มีลัทธิ มีคำสอนอยู่มากมาย จะแยกแยะได้อย่างไรว่าคำสอนไหนเป็นคำสอนที่ถูกต้อง พระองค์ทรงตอบว่า คำสอนใดที่มีมรรคเป็นองค์ ๘ คำสอนนั้นเป็นคำสอนที่ถูกต้อง

ถ้ามีแค่ ๗ องค์ไม่มีสัมมาสมาธิ ยังไม่ถูกต้อง คนที่ไม่ชอบนั่งสมาธิ ควรเปลี่ยนใจได้เเล้ว ชอบถามปัญหานี้กันเหลือเกิน เวลานั่งต้องหลับตาหรือเปล่า ลืมตาไปทำไม เวลานั่งสมาธิจะไปดูอะไร ต้องปิดทวารทั้งห้า ต้องสำรวมอินทรีย์ จะเปิดตาดูอะไรอีก ต้องขังกิเลสไว้ข้างใน เพื่อจะได้ฆ่ามันได้ ไม่ใช่เปิดตาให้มันออกไปข้างนอก

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน










"..คนเราเข้าใจผิด คิดว่าพอแก่แล้วจะสบาย ความจริงมีแต่ทุกข์ที่รออยู่ตลอดสาย พอแก่แล้วก็เจ็บนั่นเจ็บนี่ ยังอยากจะมาเกิดกันอีกหรอ.."

โอวาทธรรมเมตตาจากองค์หลวงปู่กวง โกสโล









พระเราในช่วงเข้าพรรษา ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้วท่านไม่ให้ไปพักแรมคืนนอกวัด เหตุจำเป็นมีก็ต้องดำเนินตามหลักพระวินัย คือ สัตตาหกรณียกิจ กิจที่ควรจะไปได้มี ๗ วันท่านบอก บิดามารดาป่วย เพื่อนฝูงสหธรรมิกหรือครูหรืออาจารย์ป่วย ท่านก็บอกไว้ตามหลักพระวินัย วัดวาอาวาสชำรุดมากจนจะหาที่หลบที่ซ่อนที่อยู่ไม่ได้ เช่น ศาลาโรงฉัน เป็นต้น ให้ไปหาไม้มาทำมาซ่อมแซม สัตตาหะไปได้ แล้วก็มาค้างวัดคืนหนึ่งแล้วออกไป ภายใน ๗ วันกลับมา หรือพวกศรัทธาญาติโยมที่เป็นศรัทธาใหม่ เช่น พระมหากษัตริย์ นี่ก็ไปได้ ๗ วัน สิ่งที่ควรจะอนุโลมในสิ่งนั้นท่านก็บอกว่ามี ก็พึงอนุโลมตามนี้
.
อย่าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง นั่นดูไม่ได้นะ อยากไปไหนก็สัตตาหะไปเรื่อย ๆ สัตตาหะไปโน้นสัตตาหะไปนี้ เลยไม่ทราบว่าสัตตาหะอะไร เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ไปอย่างนั้น

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘
"ศาสดาเอกของโลก"









".."อวิชชา" คือ "ความหลง"
ก็หลงรูป หลงเสียง
หลงกลิ่น หลงรส
หลงตน หลงตัว

แล้วก็ไปสำคัญมั่นหมาย
ตัวเราของเรา
เป็นเราเป็นเขา
ว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นสวยเป็นงาม

เนื้อก็เป็นเรา
หนังก็เป็นเรา
นี่ล่ะเขาว่า ความหลง.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่เพียร วิริโย









" "พุทโธ" คือ "ผู้รู้"
เป็นผู้รู้จริง
คือรู้แล้วไม่มีทุกข์

แต่ถ้าจิตนี้
ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม
มันก็เป็นผู้รู้ไม่ได้
เพราะมันมี "ผู้หลง"
มาปนเปมันอยู่

คือถ้าชอบใจมันก็ดีใจ
ถ้าไม่ชอบใจ
มันก็เสียใจอย่างนี้

ฉะนั้น
เราจึงต้องเอามันมาฝึก
ให้มันรู้เท่าทันอารมณ์
จนกว่าที่จิตมันจะสงบ "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท









"..การภาวนาคือการ
อบรมจิตใจที่มันวอกแวก
คลอนแคลน หาความสัตย์
ความจริงกับใจไม่ได้
ต้องเอาธรรมเข้าบังคับ
ให้มีกฎมีเกณฑ์

เวลาจะหลับจะนอน
ไหว้พระสวดมนต์ตามแต่
กำลังของเราได้มากน้อย
เพียงไร แล้วให้นั่งภาวนา

นั่งภาวนาจะนั่งพับเพียบ
ก็ได้ นั่งขัดสมาธิอะไรก็ได้
นะ แต่จิตนั้นให้เที่ยงตรง
ต่อคำบริกรรมของตน

เช่นภาวนาพุทโธก็ให้จิต
อยู่กับพุทโธ มีสติสตัง
บังคับจิตใจในเวลานั้น
นี่เรียกว่าการอบรมจิต.."

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว
ญาณสัมปันโน









"..ทุกคืนเราจะนอน
ก็ไหว้พระ ไม่ได้อะไร
ก็ภาวนาไป ไหว้พระ ๓ ที
๑๐ ที พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ
ที่พึ่งของตน

แล้วก็นั่งสมาธิไป ภาวนาไป
พุทโธ พุทโธ หลับตานั่ง
นานๆ ไม่นานมากก็ ๕ นาที
๑๐ นาทีค่อยหัดไปทุกวันๆ
ไป ดีกว่านอนเปล่าๆไม่มีอะไร

อยากได้คุณงามความดี
สิ่งที่ดีที่ชอบก็ต้องประกอบ
ให้เกิดขึ้นในจิตในใจ.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่สาม อกิญจโน








" เจตนาที่เราคิดว่า
จะทำ "ความดี" ในครั้งแรก
นั้นเป็น "ตัวกุศลที่แท้จริง"
คือ ความดีในขั้นแรก

เปรียบเหมือนกับเราตั้งใจ
ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ต่อมา
เมื่อเราบำเพ็ญทาน ก็เปรียบ
เหมือนเราหาปุ๋ยไปใส่ไว้ที่
โคนต้นไม้นั้น

รักษาศีล ก็เท่ากับเราคอย
ระวัง เก็บตัวบุ้งตัวหนอน
ที่มันจะมาคอยกัดกิน
ดอกกินใบและทำอันตราย
แก่ต้นไม้นั้น

ส่วนภาวนา ก็เท่ากับเรา
ไปตักน้ำเย็นๆ ที่ใสสะอาด
มารดที่โคนต้น ไม่ช้า ต้นไม้
ของเรานั้น ก็ต้องงอกงาม
เจริญขึ้นทุกทีๆ จนเกิดดอก
ออกผลให้เราได้กินอิ่มหนำ
สำราญสมความตั้งใจ

ถ้าเป็นไม้ดอกมันก็จะมี
สีสดงดงาม กลีบใหญ่
มีกลิ่นหอมชื่นใจ

ถ้าเป็นไม้ผล
ลูกของมันก็จะต้องดก
มีพันธุ์ใหญ่และรสหวาน

เหตุนั้น ทาน ศีล และภาวนา
จึงเป็นการส่งเสริม เพิ่มพูน
บุญเก่าด้วยประการฉะนี้ "

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธัมมธโร







“ถ้าเราทำดี พูดดี คนอื่นเขาว่าเราทำไม่ดี
ก็ไม่เป็นไร เมื่อเราทำดีแล้ว คนอื่นว่าไม่ดี
มันเป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปทิ้งความดีของเรา
ความดีมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่คนอื่น
อย่าลืมว่า กรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น
อย่ายึดมั่น และอย่าจับตาดูผู้อื่น”

หลวงปู่ชา สุภัทโท









"คำนินทาใดๆ
ไม่อาจทำคนดี ให้เป็นคนไม่ดีไปได้
คนจะดี ก็เพราะกรรม
คนจะเลว ก็เพราะกรรม
หาใช่จะดี เพราะสรรเสริญ
หรือจะเลว เพราะนินทาก็หาไม่ "

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ










#กว่าจะมารู้_กว่าจะสำนึกนี่_มันแก้ไม่ได้แล้ว

พวกเปรตทั้งหลาย ที่ได้เสวยกรรมอยู่ ถูกทรมานอยู่ในที่คุมขัง อยู่เหมือนคุกนี่เป็นยังไง ลำบากไม่มีของอยู่ของกิน สกปรกโสมม จะกินน้ำจะอาบน้ำก็ไม่มี เสื้อผ้าจะใส่ก็ไม่มี

พวกหนึ่งก็เป็นสัมภเวสี ล่องลอยเดินอยู่อย่างนั้น ไม่มีอาหารอยู่อาหารกิน ผอมนะ เขาเห็นคนทำบุญนี่ก็ไปแหล่ว ไปขอกินคนที่เขามีบุญ พอพระอนุโมทนาเสร็จ เรากรวดน้ำเสร็จ ของก็กองอยู่ พวกอาหาร

พวกเขามีบุญที่ทำบุญทำทาน เหมือนกับพวกเรา ก็ไปกินแบบอิ่มหนำสำราญ มีความสุข แล้วก็อนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้า

เวลาที่พระเจริญพทธมนต์ก็นอบน้อมเข้าไปสู่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระให้ไตรสรณคมให้ศีลอย่างนี้ เราก็นอบน้อมเข้าไปเอง นี่จิตที่เป็นบุญเป็นกุศล เมื่อเต็มแล้วเขาก็ไปเกิด บางคนก็ไปสวรรค์

"พวกที่ทุกข์ยากลำบาก ที่ไม่เคยได้ทำบุญสุนทาน ก็ไปขอเขาก็เอาไม่ได้ เสื้อผ้าอย่างนี้ก็จับไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวเองก็เปลือยกาย"

ส่วนมากคนเป็น ๑,๐๐๐ คนนี่จะมีเสื้อผ้าใส่นี่ จะมีไม่เกินคนสองคนเด้ นอกนั้นเปลือยกายทั้งหมดนะ คนที่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เพราะไม่เคยได้ทำบุญให้ทาน อย่างที่พวกเราอย่างนี้ ถ้าไปเฉลี่ยใส่คน กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คนในกรุงเทพนี่ ทำเป็นอย่างเรานี้มีกี่คน ถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ หรือเปล่า?

นี้แหละ...นอกนั้นพวกนั้นนี่ไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้ว แล้วกินแต่เหล้าเมายา ร้องรำทำเพลงเข้าผับเข้าบาร์ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่มีศีลมีธรรม ขโมยของกัน รบลาฆ่าฟันตีกัน ทะเลาะกัน ไม่เหมือนกับพวกเรานะ เขาทำอย่างนั้นเขาว่าเขามีความสุขเด้

แต่พวกเราเห็น...รับไม่ได้นะ มันเป็นอย่างนั้น ที่เดินสวนกัน ในถนนข้าวสารนี่ ทั้งฝรั่งทั้งคนไทย โอ้ย! จะเหยียบกันตายในเทศกาลนี่ นี้แหละมันเยอะๆอย่างนั้นแหละ

นี้แหละคนมันไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติ เวลาตายไปถึงจะรู้ กว่าจะมารู้นี่มันแก้ไม่ได้แล้ว จนกว่าจะสำนึกได้นี่ ต้องถูกเขาบังคับรังแกข่มเหง ให้รับโทษอยู่เป็นเวลาร้อยปี พันปี หมื่นปี

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ #วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
(เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาเสร็จ )
ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์










ความรักมันก็ไม่สงบ. ความชังมันก็ไม่สงบ. มันวุ่นวาย. ความไม่รักไม่ชัง. นั่นแหละมันสงบ

หลวงปู่ชา สุภัทโท








บ่ได้ฮ้าย. บ่ได้โกรธ. บ่ได้หลง. มันเป็นบุญกุศลแล้ว

หลวงปู่ชา สุภัทโท








#ดูใครก็ตาม_ไม่ว่าหญิงว่าชาย_ว่าเฉยๆ #มันก็หนังห่อกระดูก_กองอสุภะอสุภัง_เหมือนกันหมดนั่นแหละ

นี่ที่มันเหมาไปเลย เราจะพิจารณาภายนอกก็ได้ อสุภะข้างนอกคนอื่นก็ได้ พิจารณาเราก็ได้ แล้วแต่ความถนัด เอาให้มันกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ แล้วคล่องตัวเรื่อยนะ

#อสุภะอสุภัง_เวลาพิจารณาไป_มันจะคล่องตัวรวดเร็วขึ้น

มองดูอะไรๆ นี้มันจะเห็นอย่างรวดเร็วๆ คำว่าอสุภะ ดูเนื้อนี้มันแดงโร่ไปเลย ดูกระดูกกระจ่างขึ้นมา ดูอะไรมันชัดเจนๆ

#นี่เรียกว่าปัญญาคล่องแคล่ว

ครั้นเวลามันชำนิชำนาญพอแล้วทีนี้เห็นอะไรมันเป็นอย่างนี้หมดนะ ไม่ว่าเห็นหญิงเห็นชายที่ไหนๆ มองดูปั๊บนี่มันเป็นแบบเดียวกับเราที่เคยพิจารณาแล้วนี้

#มีแต่หนังห่อกระดูก

ถ้าว่ากระดูกมันก็เป็นกระดูกหมดเสีย ถ้าว่าเนื้อก็แดงโร่เสีย ถ้าว่าหนังข้างในก็แดงโร่ข้างนอกก็เป็นผิวหลอก แน่ะ

#พอกำหนดอันนี้มันรวดเร็ว

กำหนดให้พังเมื่อไรมันก็พัง นี่ละคือปัญญารวดเร็ว พิจารณาเป็นอะไรมันเป็นอย่างนั้นทันทีๆ กำหนดทำลายนี้มันก็ผางหมดเลยๆ เราเดินไปสามก้าวสี่ก้าว นี่มันพิจารณาทางด้านปัญญา มันทำลายอสุภะอสุภังไปได้ถึงห้าเที่ยว ฟังซิน่ะ มันเร็วไหม

#นี่เรื่องการพิจารณาอสุภะอสุภัง_ถึงขั้นปัญญารวดเร็วคล่องตัวแล้วนี้ผางทีเดียว

พอกำหนดปั๊บนี่แตกกระจายลงผึง ตั้งขึ้นปุ๊บแตกผึง ตั้งขึ้นปุ๊บกระจายทันทีๆ เดินเพียงสามก้าวสี่ก้าว เราพิจารณาทำลายอสุภะอสุภังได้ถึงสี่เที่ยวห้าเที่ยว มันเป็นเองนะ

#นั่นล่ะที่นี่เอาให้แหลกนะ_พิจารณาอสุภะ

เอา พิจารณาให้ดีให้มีความคล่องตัว มองดูข้างนอกก็ให้คล่องตัว เรื่องสุภะความสวยความงามไม่มีเลยละ ถึงปัญญาขั้นนี้แล้ว มันมีแต่มูตรแต่คูถเต็มเนื้อเต็มตัวทั้งเขาทั้งเรา

#ตอนนี้ละราคะจะสงบเต็มที่นะ_จะไม่มีราคะ

ปรากฏว่าเหมือนหนึ่งเป็นพระอรหันต์น้อยๆ นั่นแหละ ไม่มีเรื่องราคะ กำหนดหลอกมันให้กำหนัด มันก็ไม่กำหนัดเพราะอันนั้นมาเป็นภูเขากั้นหน้าไว้ คืออสุภะ มีแต่อสุภะจะเอาอะไรมากำหนัดยินดี

#นี่ละเวลาอสุภะมันแก่กล้าแล้ว_จะไม่เห็นความสวยความงาม

เรื่องหญิงเรื่องชายไม่มีความสวย มีตั้งแต่อสุภะอสุภังเต็มตัวๆ นี่ราคะจะสงบตอนนี้ สงบมากเข้าๆ โดยลำดับ เอ้า ที่นี่เรื่องสุภะ อสุภะก็ดี ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถอนกิเลสโดยตรงนะ เป็นเครื่องฝึกซ้อมที่จะก้าวเข้าไปหาการตัดราคะต่างหาก ราคะจริงๆ ไม่ได้อยู่ในนั้นนะ เวลาพิจารณาจริงๆ

#หลวงตาพระมหาบัว #ญาณสัมปันโน
#เทศน์อบรมพระ ณ #วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖









#มีพระรูปหนึ่ง_เวลานั่งสมาธิภาวนาจะง่วงนอนมาก

จึงคิดอยากขึ้นไปนั่งภาวนาบนหน้าผา ด้วยความคิดว่า”ตายเป็นตาย” ถ้าไม่มีสติก็ให้มันตาย

...จึงไปถามหลวงปู่ ก่อน
หลวงปู่ จึงตอบว่า”อย่าพึ่งขึ้นไป”
ให้ฝึกนั่งภาวนาบนขอบเตียงก่อน

...พระรูปนั้นก็ทำตาม
นั่งได้ไม่นาน ก็หล่นตกขอบเตียง

...นั่นเห็นไหม หลวงปู่ ให้โอวาทเพิ่มอีก
ถ้าขึ้นไปหน้าผา ก็ตายทิ้งเปล่าๆ

เพราะฉะนั้น ให้เริ่มต้นที่ขอบเตียงก่อน
และค่อยขึ้นไปนั่งบนขอบกุฏิ
ให้เพิ่มความสูงขึ้นไปเป็นลำดับ

. #หลวงปู่ไม #อินทสิริ









ให้มีสติรู้เท่าทัน(อุปาทาน) หยุดมันเสีย มันก็จะนิ่งสนิทอย่างเดิม เป็นอารมณ์เดียว

คุณย่าชีนารี การุณ






เดือนนึง. มีวันพระ 4 วัน. ยังมาขโมย. วันพระ. ไปอีก. จ้อย.

หลวงปู่ชา สุภัทโท







ของที่อยู่. ในบ้านในเรือน. มันไม่มีราคา. เท่าจิตสงบหรอก.

หลวงปู่ชา สุภัทโท








#ที่สุดแห่งกรรมฐาน
..... หลวงปู่มั่นยืนยันว่ากรรมฐานสี่สิบห้องเป็นน้องอานาปานสติ
อานาปานสติเป็นยอดมงกุฏของกรรมฐานทั้งหลายอยู่แล้ว ศาสนาอื่นๆ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้วไม่ได้เอามาสั่งสอนให้หัดปฏิบัติกันเลย เพราะกรรมฐานอันนี้บริบูรณ์พร้อมทั้งสติปัฏฐาน ๔ ไปในตัวด้วยและเป็นแม่เหล็กที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่นๆ ให้เข้ามาเป็นเมืองขึ้นของตัวได้ เช่น พระมหาอนัตตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ สีโล จาโค กายคตา แก่ เจ็บ ตาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้เป็นต้น

ย่อมมีอยู่จริงย่อมมีอยู่พร้อมทุกลมออกเข้าแล้ว แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่อมจริงย่อมมีอยู่ทุกลมออกเข้าแล้วไม่ต้องไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่องทางอื่นก็ได้ ถ้าไม่หลงลมเข้าลมออกแล้ว โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะรวมพลมาจากโลกหน่อยไหนล่ะ

ลมลมออกเข้าก็หลวงหนังเหมือนกัน ถ้าไม่หลงหนังก็ไม่หลงลมออกเข้าโดยนัยเดียวกัน

ดูโลกก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูโลก ดูสังขารก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูสังขาร พ้นโลกก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นโลก พ้นสังขารก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นสังขาร มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้นไม่ผิด

รู้ลมเข้าออกในปัจจุบัน รู้ลมออกเข้าในอดีต รู้ลมออกเข้าในอนาคต รู้ผู้รู้ในปัจจุบัน รู้ผู้รู้ในอดีต รู้ผู้รู้ในอนาคต แล้วไม่ติดข้องอยู๋ในผู้รู้ทั้งสามกาล

ผู้นั้นก็ดับรอบแล้วในโลกทั้งสามด้วยในตัว อวิชชาและสังขารเป็นต้นก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลงก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง กองทัพธรรมมีกำลังสมดุลด้วยสติปัญญา กองทัพอวิชชา ตัณหา อุปาทานเป็นต้นย่อมแตกสลายไม่ต้องพูดไปหลายเรื่อยหลายแบบก็ได้ พระอาทิตย์ส่องแสงจ้ามืดนั้นนาไม่ได้สังลาหายวับไป ณ ที่นั้น.

***หลวงปู่มั่นเล่าในเรื่องอานาปานสติให้หลวงปู่หล้า เขมปตฺโตไปพิจารณา.

#ยาหม่องคืออะไร_คือกำหนดลมหายใจให้ดี

หรือสมถะใดๆ ก็ได้ หรือวิปัสสนาใดๆ ก็ได้ แต่ชาวโลกชอบพูดว่าโรคประสาทและโรคหัวใจ โรคประสาทและโรคหัวใจมีในขันธวิบากของพระอรหันต์หรือไม่ หรือหากว่าขันธวิบากเป็นฝ่ายสังขารขันธ์ขาดตัวอยู่แล้ว ก็ต้องอาจเป็นได้ และอยากทราบว่าการสะดุ้งเป็นสังขารล้วนๆ หรือว่ามี โมหสัมปยุต

#โมหะนั้นคือตัณหาเราดีๆนี่เอง

ถูกหรือไม่ ผู้พ้นจากตัณหาแล้วเป็นผู้สะดุ้งหรือไม่ ธชัคคสูตรที่กล่าวเรื่องพระอรหันต์ว่า อภีรุ อัจฉัมภี อนุตตราสี อปลายีติ หาย หายสะดุ้งหายขนพองสยองเกล้านั้นจริงหรือไม่ ถ้าหากว่าเป็นคำจริงแล้ว ผู้ที่เขามิได้เป็นพระอรหันต์ เขาก็มีเครื่องทดสอบพระอรหันต์ได้ ผู้ที่เขาไม่รู้จักทองแท้ แต่เขาก็มีเครื่องทดสอบทอง เขาก็รู้ทองในเครื่องทดสอบของเขา...

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต









เราได้อาศัยร่างกายที่มีแต่ของเน่าๆ เปื่อยๆ
มาทำประโยชน์ไปวันๆ เท่านั้นเอง
ยังน่าปลื้มใจที่อาศัยไหว้พระสวดมนต์ รักษาศีล ทำบุญให้ทาน ทำสมาธิภาวนา ทำคุณความดีเพื่อประโยชน์ตนบ้าง เพื่อประโยชน์ผู้อื่นบ้าง
ยังน่าปลื้มนะ ให้ทำความดีเยอะๆ ทำบุญให้ทาน
นั่งสมาธิ และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้มากๆ
อย่าได้ประมาทเลย พยายามทำให้ต่อเนื่อง
มันจะแก่กล้าขึ้น การทำอย่างที่ว่ามานี้
เขาเรียกว่าอบรม บ่นอินทรีย์ให้แก่กล้า
สร้างบุญบารมีให้ใหญ่โต"

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร