วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2020, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเป็นดังว่านั้นแล้ว ที่กรัชกายแนะนำให้สร้างวัดเองก็เป็นหมัน คิดแบบนั้น อย่าว่าแต่สร้างวัด สร้างห้องน้ำเลย พระเณรเดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านตอนเช้าๆก็ไม่ใส่บาตร :b32: ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ที่เคยแนะนำก็เป็นหมันด้วย คือ ไม่มีผลไม่มีดอกไม่มีใบ

กรัชกาย เขียน:
https://f.ptcdn.info/916/069/000/qceset2xbOn8Mnea9wA-o.jpg

กรัชกายแนะนำไว้ที่กท.นี้ แต่ไม่ชัด ตั้งกท.ใหม่ให้ชัดไปเลย :b32: แล้วทีนี้มี คคห.ทำนองนี้ก็จะนำมาลงไว้ที่นี้ :b32:

viewtopic.php?f=1&t=58914&start=30


ขอฝากคุณโรสไปแล้วกัน คือ อยากบอกว่า แฟนคลับแม่สุจินมีเยอะแล้วก็มีศักยภาพมีเงินมีทอง อยากให้เปลี่ยนแนวทางใหม่ตามนี้ คือว่า พากันไปสำรวจวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศ ว่า วัดไหนทรุดโทรมก็ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ทาสี เป็นต้น ให้ใหม่สวยงามเอี่ยมอ่อง :b35:

หากกำลังยังไม่ตก คือว่า ยังมีกำลังอีกก็ซื้อที่ดินสร้างวัดเองเลย :b13: ที่ดินอย่างน้อยสัก 50 ไร่ หรือ 59 ไร่ :b8: พร้อมแฟนคลับที่ติดสอยห้อยตามกันไปนั่นมานี่ ก็ร่วมกันออกทุนสร้างโบสถ์ สร้างศาลา เป็นต้น ให้ครบเป็นวัด เมื่อสร้างวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี ให้สละทรัพย์สมบัติให้หมดแล้วไปบวชพระบวชเณรกันที่วัดใหม่นี้ และแล้วตนเองและบริวารก็ปวารณาตัวอุปถัมภ์วัดและพระเณรในวัดสืบๆกันไปชั่วกาลนานเทอญ. :b8:

เมื่อพระเณรในวัดต้องการอะไรเราก็จัดซื้อจัดหาไปให้ ค่าใช้จ่ายภายในวัดแต่ละเดือนละปี เช่น ค่าน้ำค่าไฟ เป็นต้น เราก็จ่ายให้เองหมด
พระเณรจะเดินทางขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ เราก็รับเป็นภาระธุระตีตั๋วไปกลับให้แล้วก็พาขึ้นรถไปส่งที่สถานีขนส่งพาไปสนามบิน เพื่อทำวัดย้อนยุคไปเมื่อสมัยพุทธกาลเมื่อ 2600 กว่าปีมา
พระเณรในวัดที่เราสร้างขึ้นใหม่นี้ก็ไม่ต้องจับเงินเลย สาทุ :b8: :b8: :b8:


แม้แต่เวียนเทียนในวันสำคัญๆทางศาสนาก็ไม่ทำไม่ไป เพราะครั้งพุทธกาลไม่มี :b13:

มันจบแล้วครับนาย :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2020, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวพุทธในไทยแลให้ไกลมองออกไปข้างนอกด้วย :b1:


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2020, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2020, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2020, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คน
ที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส


นั่นแหละทัศนคติ ที่มองพุทธธรรมพลาดไป คือ ไม่รู้จักสมมติบัญญัติ

ถ้างั้นถาม คนมีไหม ตอบข้อไหน

1.ไม่มี
2.มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2020, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย :b32: ไปเอาคนมาแต่ไหน

นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง :b13: คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ :b12:

แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2020, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย :b32: ไปเอาคนมาแต่ไหน

นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง :b13: คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ :b12:

แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ

:b32:
คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ
ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ
การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ
ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555
สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย
จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก
:b12:
:b32: :b32:
ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย
ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้
เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน
https://youtu.be/dHApmIPnc64
:b12:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย :b32: ไปเอาคนมาแต่ไหน

นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง :b13: คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ :b12:

แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ

:b32:
คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ
ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ
การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ
ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555
สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย
จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก
:b12:
:b32: :b32:
ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย
ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้
เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน
https://youtu.be/dHApmIPnc64




ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก

1. ไม่มี
2. มี

ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเห็นหทเย นิเธตพฺพยุตฺตํ อีก

อ้างคำพูด:
หทเย นิเธตพฺพยุตฺตกํ (ข้อความที่ควรเก็บไว้ในหทัย) [๑๗๘] มั่นคงที่จะกล่าวคำจริง
----------

กราบเรียนท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความมั่นคงไม่หวั่นไหวในการเผยแพร่พระธรรมวินัย แม้จะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยแล้วก็เห็นต่างแล้วก็มีการแสดงความเห็นนั้นออกมา

**ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) เพราะฉะนั้น คำที่เรากล่าว เราไม่ได้คิดเอง แต่เราได้ศึกษาแล้วฟังแล้วเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่าวาจาสัจจะของพระองค์ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนวาจาของความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เห็นคุณของการที่จะได้พ้นจากความไม่รู้และความเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาด้วยตัวเอง ก็ควรที่จะเริ่มศึกษาแล้วก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเข้าใจพระธรรม เพราะจริงๆแล้วชาวพุทธที่ไม่เข้าใจธรรมไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใครแล้วทรงแสดงธรรมอะไรจากการที่ได้ทรงตรัสรู้อะไร ไม่รู้จักเลยจริงๆ แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว เห็นพระองค์โดยการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณมหาศาลของพระองค์ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เห็นพระองค์ ค่อยๆเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วความหวังดีความเป็นมิตรตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอด บุคคลนั้นก็เห็นประโยชน์ของการที่จะดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง


https://www.facebook.com/profile.php?id ... IY&fref=nf

ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งพูดนะ ดูสิ มีตรงไหนบ้างที่เป็นหัวข้อธรรมะ อ้าวดู :b12:

อ้างคำพูด:
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) เพราะฉะนั้น คำที่เรากล่าว เราไม่ได้คิดเอง แต่เราได้ศึกษาแล้วฟังแล้วเข้าใจแล้ว

เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่าวาจาสัจจะของพระองค์ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนวาจาของความจริงได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นคุณของการที่จะได้พ้นจากความไม่รู้ และความเข้าใจผิดคิดไปต่างๆนานาด้วยตัวเอง ก็ควรที่จะเริ่มศึกษาแล้วก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเข้าใจพระธรรม

เพราะจริงๆแล้วชาวพุทธที่ไม่เข้าใจธรรมไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แล้วทรงแสดงธรรมอะไรจากการที่ได้ทรงตรัสรู้อะไร ไม่รู้จักเลยจริงๆ

แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว เห็นพระองค์โดยการเข้าใจธรรม

เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณมหาศาลของพระองค์ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เห็นพระองค์ ค่อยๆเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วความหวังดีความเป็นมิตรตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอด

บุคคลนั้นก็เห็นประโยชน์ของการที่จะดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง


ไม่มีเลย เห็นแต่ความฟุ้งซ่าน :b32: พูดไปเรื่อย ตอนนี้ถ้าจะพูดให้เห็นภาพนะ ก็เหมือนคนเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง อ้าวจริงๆ ไม่มีอะไร ซึ่งคุณโรสก็พูดแนวนี้มาตลอด :b32:

เล่านิทานอีสปได้แง่คิดกว่าอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย :b32: ไปเอาคนมาแต่ไหน

นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง :b13: คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ :b12:

แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ

:b32:
คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ
ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ
การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ
ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555
สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย
จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก
:b12:
:b32: :b32:
ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย
ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้
เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน
https://youtu.be/dHApmIPnc64




ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก

1. ไม่มี
2. มี

ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2

:b32:
เกิดมาเนี่ยรู้ตัวแล้วใช่ไหมล่ะว่ากำลังอยู่ภพภูมิอะไร
เออ...ทุกคนนั่นแหละต้องคิดตามและตอบคำถามที่ถามมานั่นน่ะ
ถามตัวเองคิดคำตอบไว้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นอะไรถ้าเป็นแมวจะคิดตามได้ไหม
:b32:
บอกแล้วก็บอกอีกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องคิดตามคนอื่นบอก
อ่ะ...ทีนี้ตอนนี้คิดถูกตัวหรือยังว่าตัวเองเป็นแมวรึเปล่าถ้าไม่เป็นแมวแล้วเป็นอะไร
อ่ะ...ทีนี้คิดตามต่อไปนะ...ช้าๆชัดๆ...ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา...มีแต่ธัมมะ...เราเป็นธัมมะไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ตะกี้นี้
คิดไว้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็น_น...แต่ตถาคตบอกว่าไม่ใช่เราเป็นธัมมะแล้วที่เราคิดว่าเป็น_นมันมี_นไหมคะ
ทบทวนตัวเองแบบนี้แหละทั้งชาติเลย...ดูสิว่าปัญญามันเริ่มเกิดหรือคิดว่าตัวเองเป็น_นเหมือนเดิมอยู่อีก555
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2020, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
รู้จักวัดไหม...
ก่อนตรัสรู้ไม่มีวัด...
ที่มีวัดเพราะมีคนขอบวช...
คือขอสละอาคารบ้านเรือนไม่มีที่อยู่...
จากนั้นมีสาวกศรัทธาคำสอนจึงสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า...
และพระพุทธเจ้าอนุญาตให้คน2ประเภทที่นอนวัดได้ตามการบรรพชาคือคนที่บรรพชาเท่านั้น
คนที่บรรพชามี2เพศคือ 1.ภิกษุ(เพศผู้) 2.ภิกษุณี(เพศเมีย) ที่เหลือไม่ได้บรรพชาก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเอง
เออแล้วคนสมัยนี้ไม่ได้บรรพชาก็เข้าไปนอนวัด...พระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาต...บาปไหมทำตามๆกันด้วยไม่รู้
ไม่ศึกษาคำสอนเอาแต่ทำตามๆกันที่ชวนชาวบ้านเข้าไปนอนวัดมากๆทำเพื่อให้คนขนลาภปากเงินทองไปให้
ตรงมั๊ย...ชาวบ้านไม่รู้อยากได้บุญโดยไม่เข้าใจว่าจะเป็นบุญก็ต่อเมื่อทำถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ใช่การเข้าวัดไปทำตามใจชอบของกิเลสตัวเอง+ทำตามๆกันตามใจกิเลสนักบวชที่ตัวเองนับถือ/ผิดมั๊ย
การบรรพชาเข้าไปเพื่อทำตามตถาคตทรงอนุญาตให้ทำกิจได้แค่2อย่างคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระเท่านั้น
ไม่มีกิจทำสังคมสงเคราะห์หรือกิจการงานเกี่ยวกับการก่อสร้างไม่ทำอาชีพไม่ใช้เงินซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไร
ก่อสร้างวัตถุมากๆเอาเงินที่ไหนไปบำรุงรักษา...นอกจากไม่ทำตามคำสอนแล้วยังคิดวิธีหาเงินเรี่ยไรเงินทุกวัน
:b12:
:b32: :b32:

ข้างบนที่เขียนคือเรื่องราวสถานการณ์ตามปกติตามเป็นจริงไม่ใช่ทัศนคติค่ะ
คุณกรัชกายรู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่าเป็นคนและไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีตัว
คนที่คิดว่าตัวทำถูกแล้วคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่มีปัญญา
เพราะปัญญารู้และเข้าใจถูกตรงตามคำสอนต้องรู้จักคิดตรงปัจจุบัน
ตอนที่กำลังมีตัวและคิดตามคำสอนถูกตัวแล้วรู้ตัวว่าคิดผิดว่ามีตัว
วัดไม่ใช่ตลาดนัดขายของเพราะวัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบจากกิเลส
:b12:
:b32: :b32:

การจะกล่าวยืนยันว่าบุคคลใดเป็นอริยบุคคลระดับไหน
ไม่มีใครรู้เกินปัญญาของตัวเองเข้าใจไหมคะ
การที่มีคนมาบอกคุณว่าคนนั้นเป็นอรหันต์
คนที่พูดยืนยันต้องเป็นอรหันต์จึงพูดได้ค่ะ
คือจะต้องมีบันทึกระบุชื่อในพระไตรปิฏก
คือมีเจ้าของคำสอนคือพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้
และพระพุทธเจ้ายกพระธรรมเป็นศาสดาแทนตถาคต
ทรงทำนายไว้ล่วงหน้าว่ายุคพันปีที่3มีอริยบุคคลบรรลุธรรมได้ถึงอนาคามีเท่านั้น
ซึ่งครั้งพุทธกาลคนที่จำเป็นต้องบวชโดยไม่มีข้อแม้ใดๆคือบวชทันทีที่บรรลุอรหันต์
ส่วนคนที่บรรลุอนาคามีก็ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านตามปกติใช้เงินทองได้ไม่มีข้ออาบัติ
ถามว่าอริยบุคคลที่เป็นนักบวชเขาปลอดการทำผิดข้อรับเงินจริงๆสมัยนี้บวชทำมั่วๆ
คนที่คิดพูดทำโดยยืนยันความคิดตัวเองโดยไม่ยืนยันสิ่งที่พูดตามคำสอนคือพูดคิดทำมั่วๆค่ะ
แสดงว่ามั่วคิดเอาเองพูดตามๆกันไม่พูดตรงตามพระไตรปิฏกก็คือกูเอาตามพอใจของกิเลสกู
พอมีคนออกมาประกาศว่าบวชรับเงินไม่ได้โกรธน่ะคือโทสะ+โมหะคืออกุศลศีลของปุถุชนนะคะ
บวชมีข้อห้ามคือว่ากันตามสิกขาบทแต่ละข้อส่วนการลาสิกขาไม่มีข้อห้ามเพราะทำตามไม่ได้ก็ลาสิกขา555
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรสพูดขัดแย้งกันเอง คิกๆๆๆ คคห. บนว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าคนไม่มี แต่พอมาถึง คคห.นี้ คุณโรสพูดคน บุคคลเต็มหมดเบย :b32: ไปเอาคนมาแต่ไหน

นี่แหละที่สำนักบ้านธัมมะกับคุณโรสมีปัญหาทางความเข้าใจพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจ มันจึงแย้งกับความรู้สึกตัวเอง :b13: คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะจะต้องไปศึกษา สัจจะ ๒ ระดับ คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจ แยกออกแยกได้ :b12:

แล้วที่เขียนมายืดยาว ก็จับแพะชนแกะ จับรถชนกับเรือ

:b32:
คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือ
ที่เขียนเพียงเพื่ออยากเอาชนะ
การคะคานคัดค้านอะไรดูเหตุผลมั่งนะ
ตอนนี้อยู่ภพภูมิไหนเหรอจะให้บอกว่าผีบอกเหรอ555
สมมุติตามปกติตามภพภูมิยังเป็นแบบไม่รู้เรื่องแบบไม่เข้าใจอะไรเลย
จะเข้าใจหลักธรรมอันละเอียดลึกซึ้งได้ยังไงยังแยกความคิดกับปัญญาที่เข้าใจถูกตามคำสอนไม่ออกอยู่อีก
:b12:
:b32: :b32:
ฟังบ้างนะ...ปัญญาแรกแทรกเกิดตามหลังกิเลสได้ตอนฟังคำของตถาคต...ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญารู้มั๊ยยยย
ไม่ใช่ทำด้วยดีย่อมได้ปัญญาแน่ๆ...ดูอย่างโจรฆ่าน้องชมพู่สิมันทำดีแนบเนียนมากไหมฆ่าคนให้คนจับไม่ได้
เอาอีกตัวอย่างนึงไหม...สละสมบัติไม่ทำงานหาเงินเพื่อมาทำตามพระพุทธเจ้าทำแนบเนียนไหมที่บวชรับเงิน
https://youtu.be/dHApmIPnc64




ถ้างั้นถามใหม่ คนมีไหม มีช้อยให้เลือก

1. ไม่มี
2. มี

ตอบได้ข้อเดียวนะ ติ๊กเลยข้อ 1 หรือ 2

:b32:
เกิดมาเนี่ยรู้ตัวแล้วใช่ไหมล่ะว่ากำลังอยู่ภพภูมิอะไร
เออ...ทุกคนนั่นแหละต้องคิดตามและตอบคำถามที่ถามมานั่นน่ะ
ถามตัวเองคิดคำตอบไว้รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นอะไรถ้าเป็นแมวจะคิดตามได้ไหม
:b32:
บอกแล้วก็บอกอีกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องคิดตามคนอื่นบอก
อ่ะ...ทีนี้ตอนนี้คิดถูกตัวหรือยังว่าตัวเองเป็นแมวรึเปล่าถ้าไม่เป็นแมวแล้วเป็นอะไร
อ่ะ...ทีนี้คิดตามต่อไปนะ...ช้าๆชัดๆ...ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา...มีแต่ธัมมะ...เราเป็นธัมมะไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ตะกี้นี้
คิดไว้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองเป็น_น...แต่ตถาคตบอกว่าไม่ใช่เราเป็นธัมมะแล้วที่เราคิดว่าเป็น_นมันมี_นไหมคะ
ทบทวนตัวเองแบบนี้แหละทั้งชาติเลย...ดูสิว่าปัญญามันเริ่มเกิดหรือคิดว่าตัวเองเป็น_นเหมือนเดิมอยู่อีก555
:b12:
:b32: :b32:

:b12:
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะคือจะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร10
ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2020, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10
ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้


คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก :b32:

สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ

เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2020, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10
ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้


คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก :b32:

สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ

เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน :b32:

:b32:
ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน
ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ
ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง
เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ
ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด
เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ
ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา
เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก
ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม
https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2020, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10
ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้


คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก :b32:

สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ

เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน :b32:

:b32:
ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน
ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ
ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง
เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ
ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด
เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ
ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา
เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก
ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม

https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ


มันชัดยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก บอกไม่เชื่อ ว่าสำนักแม่สุจินสุดโต่ง คือ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง คิกๆๆๆ

ตอบให้ได้นะ

คนมีไหม

1. ไม่มี
2. มี

ตอบสิข้อไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2020, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจถูกตัวตนว่ากำลังมีธัมมะอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนบ้างที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังโดยใช้หลักของชาวกาลามะ คือ จะฟังจากใครก็ให้ยึดหลักการของกาลามสูตร 10
ธัมมะทั้งหลายเกิดตรงตามเหตุตามปัจจัยโดยความเป็นอนัตตาไปบังคับไปกำหนดเอาตามใจชอบไม่ได้


คิกๆๆ ไปกาลามสูตร 10 อีก :b32:

สรุปอีกทีสำนักนี้ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พูดลื่นไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดขึ้นพัดลง คือ ไม่มีหลักสำหรับยึดเกาะ

เดี๋ยวก็ว่าคนไม่มี มีแต่ธัมมะ แต่ตัวเองก็พูดถึงคน คน :b32:

:b32:
ก็บอกให้คิดตามให้ตรงปัจจุบัน
ให้รู้สึกที่ตัวว่าตัวเองคิดว่าเป็นคนน่ะ
ก็คิดถูกเข้าใจถูกตรงตามภพภูมิแล้วไง
เออก็บอกว่าที่กำลังคิดถูกตัวว่าตัวเองเป็นคนน่ะ
ให้เทียบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันถูกหรือผิด
เดี๋ยวนี้เทียบให้มันตรงก็ตัวเองคิดว่ามีตัวคนแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
เออแล้วจะเข้าใจถููกได้ไหมก็คิดเองอยู่นั่นแล้วว่ามีตัวกูของกูเงินกูกุฏิศาลาวัดของกูนั่นน่ามันคิดผิดไงคะ
ไม่คิดตามคำสอนก็พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะที่แยกไว้ละเอียดตรงตามอภิธรรมที่เกิดโดยอนัตตา
เราน่ะมีอัตตาเต็มที่แล้วก็คิดเอาอัตตาไปทำปัญญาตามความคิดตัวเองบอกว่ามันคิดผิดแล้วให้ฟังก่อนไปทำ
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรามีแต่ธัมมะเราคิดว่ามีคนไม่เข้าใจว่าคนคือธัมมะอะไรนั่นแหละแปลว่ามีกิเลสมาก
ธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหมเพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม

https://youtu.be/GCVfQPU-JqQ


มันชัดยิ่งกว่าชัดเตาปูนอีก บอกไม่เชื่อ ว่าสำนักแม่สุจินสุดโต่ง คือ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง คิกๆๆๆ

ตอบให้ได้นะ

คนมีไหม

1. ไม่มี
2. มี

ตอบสิข้อไหน


อ้างคำพูด:
ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 เป็นตัวจริงธัมมะที่ไม่ใช่ตัวคนเข้าใจไหม เพราะตัวตนไม่มีอยู่จริงตรงตามปรมัตถธรรม

บอกไม่เชื่อ คิกๆๆๆ ว่าคุณโรสกับเจ้าสำนักมีความขัดแย้งอยู่ในใจ คือ พูดไปคนเดียวพูดได้ แต่พอมีคนถามคนแย้งลมใส่เดินเซเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร