วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 08:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2020, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : หลวงปู่ให้ละวางให้หมด อย่างบางคนเรารักเขา แล้วก็ละวาง อย่างนี้เรียกว่าใจร้ายไหม

ตอบ : จะนำมาหลายสิ่ง มันเลยรก มันก็อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ ศีลห้าก็ประจำอยู่ที่นี่ ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส ธรรมารมณ์ทั้งห้านี่ก็ปล่อยให้เขาผ่านมาแล้วผ่านไป ผ่านไป เท่านั้นแหละ ดีหรือร้าย ดีเขาก็ว่า ไม่ดีเขาก็ว่า ว่าอยู่เรื่อย เต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย อย่าเอาเข้ามาหมักไว้ในใจของตน วางเสียตรงนี้แหละ ละเสียที่ใจนี้แหละ ไม่ได้ไปละที่อื่น เอาใจนี่แหละละ มันจึงใช้ได้หนา อย่าไปพกแผนที่ ดูแผนที่ ดูทิศ ดูทาง จำได้มาก ๆ พูดกันได้ แต่เอาไปทำเมืองไม่ได้หนา มันต้องเข้ามาหากาย บัญญัติลงที่กายนี้ บัญญัติลงที่ใจนี้ รวมอยู่นี้ ละก็ละอยู่ในกายในใจนี้แหละ ไม่ได้ไปละที่อื่นหนา อดีตอนาคตก็มาละอยู่ที่ใจนี้ มันนำมาก็คุบอยู่นั่นแหละ คุบไป คุบมา ก็เดือดร้อนแล้ว

ต้องรู้เท่ามันนี่แหละ ตัดก็ตัดอย่างนี้แหละ เวลาที่เราทำจิตใจของเราให้สงบแล้ว มันก็สว่างหมด ทาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งอดีต อนาคต ให้นำออกให้หมด ใจเราไปเก็บมาหมด อดีต อนาคต แล้วก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อย มันต้องทำความพอ เวลานี้เราจะทำจิตทำใจของเรา วางหมดน่ะแหละ อะไรก็เห็นมาพอแล้ว ได้ยินมาพอแล้ว ทางฝ่ายโลกก็ดี ได้ยินมาพอแล้ว อย่าเอาเข้ามาหมักไส้ในใจอีก

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ









#เกิดมาหายใจทิ้งไปทำไม

เอาบุญเอากุศล...
หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าหายใจเข้า
หายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก
อย่าประมาท อย่าเสียโอกาส
เอาธรรมชาติคือลมหายใจเข้า-ออก...ง่ายที่สุด
บริกรรมพุทโธหรือบทไหนก็ได้ พยายามตะล่อมจิตให้เป็นอารมณ์เดียว
ดูลมหายใจเข้า-ออก...นี่แหละสุดยอดเลย!!!

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์ห้วยลึก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์










...ร่างกายเราสวยงามแค่ไหนถ้าตัดผมสักกระจุกใส่ลงอาหาร เราจะกินไหม คนขาวขี้ไคลก็ขาว คนดำขี้ไคลก็ดำ พิจารณาไปร่างกายเราไม่สวยไม่งาม

อะยัง โข เม กาโย..มีอะไรสะอาดสะอ้านบ้าง

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ภายในมีอะไรบ้าง น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำเลือด ทวารทั้งเก้า อาหารใหม่ อาหารเก่า

พิจารณาทบทวนให้จิตเบื่อหน่ายคลายเมา กำหนดแยกออกมาให้เป็นสัดส่วน อันนี้คือหนัง คือเนื้อ ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้น้อย น้ำดี น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำไขข้อ น้ำมูตร น้ำเสลด

สิ่งที่เรียกมาทั้งหมดผุพังสลายเน่าเปื่อยเป็นดิน กว่าจะเป็นดินก็เป็นอาหารหนอนชอนไช พิจารณาเอา จิตมันไม่ถอดถอนง่าย จิตมันคิดว่า เนื้อก็เรา หนังก็เรา น้ำมูก น้ำเสลด น้ำลาย ของเราทั้งหมด เจ็บป่วยก็ของเรา สังขารก็ของเรา มีอะไรเป็นของเราบ้าง...ไม่มีเลย

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์ห้วยลึก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์









#ปัจฉิมโอวาท
#ท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตโต

"ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับ
วันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด

ความเบื่อหน่ายคลายเมา ไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วง ไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ.. "

#โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
#บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า_เขมปตฺโต
#จากหนังสือ_เพชรน้ำหนึ่ง










"ถ้าชีวิตเราเป็นประโยชน์กับใครได้...มันก็เป็นเรื่องดีหมดนั่นแหละ"

ท่านเจ้าคุณหลวงพ่ออลงกต
วัดพระบาทน้ำพุ







ถาม : จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเคยเป็นอะไรมาแต่ชาติก่อน ๆ

ตอบ : อันนั้นมัน วิชชาจรณะสัมปันโน ต้องพร้อมด้วยวิชชาสาม มีปุพเพสันนิวาสานุสสติญาณ เหมือนครูอาจารย์มั่น ท่านศึกษาจนรุ้ดีว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิมานี่ได้กี่ภพกี่ชาติกี่อสงไขย หรือพระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้แล้ว สาวเข้าสาวเข้าก็ถึงวันที่ตั้งความสัตย์ ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ที่ ตาย ๆ เกิด ๆ นี่ก็หลาย ตายก็เพราะกาม เกิดก็เพราะกาม ทุกข์ก็เพราะกาม สุขก็เพราะกาม

ท่านมองดูชั้นฟ้าท้องฟ้าจนจดพุทธภูมิ พุทโธ่ เราจะมาตายมาเกิดอย่างไม่มีกำหนดอีกแล้ว จากนั้นท่านก็เร่งความเพียร จนตีสองก็ได้วิชชาสอง คือ จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ภพนี้ ดับที่นี้ ไปเกิดที่โน้น ภพโน้น ดับที่โน้น ดับที่นี่ไปเกิดที่โน่น ดับที่โน่นไปเกิดที่นั่น อันนี้ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชาชั้นสาม รู้จักกิเลสของตนว่าสิ้นไปหมดไป กิเลสของกายวาจาสิ้นไปหมดไป กิเลสของใจเราสิ้นไปหมดไป

เรามีกรรมเป็นอันขาด มีกรรมอันไม่งอกแล้ว จิตดวงหลังดับไปอยู่แล้ว อาศัยกำลังทั้งห้า คือกำลังศรัทธา กำลังความเพียร กำลังสติ กำลังสมาธิ กำลังปัญญา ให้รู้แจ้งชัชวาล เพื่อดับขันธปรินิพพาน เราไม่ยินดีจะก่อภพใหม่อีก ก็หมดเรื่องไป

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ










“สมัยครูบาอาจารย์นี้ ไม่มีมือถือ”

...ถ้าเราไปปลีกวิเวกไม่ได้อยู่ในป่า
แต่ไปอยู่ในวัด ก็ควรจะให้มันเป็นวิเวกจริง

อย่ามีอะไรมาให้เรายุ่งเกี่ยวด้วย
ไปตัวเปล่าๆ เอาเท่าที่ของจำเป็นไป
ของใช้จำเป็นที่ต้องใช้กับร่างกาย
เช่น ถ้าต้องมียาก็เอายาไปกิน
ใช้สบู่ใช้ยาสีฟัน แปรงสีฟันอะไรเท่านี้ก็พอ

“อย่าไปมีอะไรมาฆ่าเวลา
เพราะมันเป็นการฆ่าธรรม”

.
ไม่ได้เป็นการฆ่ากิเลส
การฆ่ากิเลสก็คือต้องไม่มีรูปเสียงกลิ่นรส
อะไรต่างๆ มาให้ใจได้เสพได้สัมผัส
“ให้ใจอยู่กับความว่าง”
แล้วก็ใช้สติสู้กับกิเลสความอยาก
ที่จะไปหารูปเสียงกลิ่นรสชนิดต่างๆ

.
ถ้าสติมีกำลังมากกว่ากิเลส กิเลสก็จะสงบตัวลง
พอกิเลสสงบตัวลง ใจก็เย็น
ใจก็จะสบายขึ้นมา มีความสุขขึ้นมา
ตอนนั้นแหละจะอยู่เป็นสุขได้
จะอยู่เฉยๆได้ จะรู้สึกมีความสุข

“โอ้ ความสุขนี้เอง..ความสงบนี้เอง
ที่เป็นความสุขที่แท้จริง”.
....................................
ธรรมะหน้ากุฏิ
25 มิถุนายน 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





หลวงตาเมตตาตอบปัญหาธรรม
เช้าวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด

โยม : จิตกับความคิดใช่อันเดียวกันหรือไม่ และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

หลวงตา : จิตคือความรู้ ความรู้ที่ปรุงออกไปจากจิตเป็นความรู้แขนงของจิตนี้เรียกว่าสังขารความปรุงของจิต ออกไปจากจิตแต่ไม่ใช่จิตเข้าใจเหรอ เรียกว่าสังขารคือความปรุงภายใน สังขารภายนอก เช่น ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ทั่ว ๆ ไป นี่สังขารภายนอก สังขารภายในคือความคิดปรุงของจิตสำเร็จรูปมาในนั้นเสร็จ ปรุงว่าหญิงเป็นหญิงเรียบร้อยแล้ว ปรุงเป็นชายเป็นชายเรียบร้อยแล้ว นี่เรียกว่าสังขารภายใน เข้าใจเหรอ ทั้ง ๒ อย่างนี้ สังขารภายในเป็นตัวหลอกลวงมากที่สุด ยิ่งกว่าสังขารอื่นใด

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









สมัยที่คุณแม่ไปปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่กงมานั้น ปฏิบัติอย่างไร ภาวนาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมลง เพราะถือความรู้ตัวเองมากจนเกินไป

“นิพพานก็รู้แล้ว ทางไปก็รู้แล้ว ประตูนิพพานก็รู้แล้ว ญาท่านมั่นท่านก็สอนไว้ทุกอย่าง”

ที่นี้พอภาวนา ใจก็ไม่ยอมลงให้หลวงปู่กงมา ทำอย่างไร จิตใจก็ไม่อ่อน ไม่ลง จิตไม่รวม แข็งกระด้างอยู่อย่างนั้น ก็ได้แต่นึกด่าตัวเองอยู่ในว่า

“อีทิฐิ อีมานะ อีหยาบ อีดื้อ อีหม้อนรกอเวจี”

นั่งภาวนาก็ด่า เดินจงกรมก็ด่า ปวดท้องบิดก็ปวด ฝนก็ตกกระหน่ำ เดินจงกรมตากฝนตลอดคืน จนค่อนสว่าง จึงทบทวนตรวจดูตนเองว่าเป็นอย่างไร จึงแข็งกระด้างหนักหนาจิตใจดวงนี้ มาคิดได้ว่า

"กิจของตนก็ประกอบอยู่แล้ว ข้าวปลาอาหารก็อาศัยอยู่กับครูบาอาจารย์ มันดื้อ มันอวด มันประจานตัวเอง ไม่ยอมลงแก่ใครๆ อยู่นี่เพราะมาถือว่าตนรู้ ถือผู้รู้ นี้หรือ?"

ทีนี้ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานขออโหสิกรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญเมตตา จิตจึงลั่นครึบ ตกวูบลงภายใน สงบนิ่งอยู่สักพัก แสงสว่างภายใน จากจุดน้อยๆ ก็สว่างมากขึ้น กว้างขึ้น ขยายกว้าง จนสว่างหมด แต่ก่อนมันไม่สว่าง ไม่ชัดเจนหริบหรี่อยู่ พอจิตยอมแล้วก็สว่างแจ้งใส ใจก็ชัดเจน พิจารณาอะไรมันก็ควร จิตอ่อน จิตเบา จิตควรแก่การงาน มีธรรมะอบรมอยู่ในใจ พิจารณาธรรมะอันใด ก็ชัดเจนหมด

#คุณแม่ชีแก้ว_เสียงล้ำ
สำนักชีบ้านห้วยทราย จ.มุกดาหาร









มีสติคอยระวังอารมณ์ที่มากระทบ ครูอาจารย์สอนให้พิจารณาด้วยสติ
สัมปชัญญะ ขาดสติเมื่อไรจะเกิดโกรธ เกลียด เคียดแค้น ในอารมณ์ที่ไม่ชอบทันที

ถ้าชอบ เกิดรักใคร่ ตัณหา กามคุณจะเกิดขึ้นทันที ต้องระวังให้มีสติพร้อม ผู้มีสติพร้อมพรั่งจะไม่มีความหลุ่มหลง ธรรมะเกิดขึ้นได้ ก็ที่จิตใจสงบ ไม่กระเพื่อมนั่นแหละ

หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร







“เมื่องานล้มเหลว ควรหรือไม่
ที่จะปล่อยให้ใจล้มเหลวด้วย

งานล้ม แต่อย่าให้ใจล้ม
ระหว่างคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยง
เมื่องานล้มเหลว กับคนที่ยิ้มได้
เมื่อพบกับความล้มเหลว

คนไหนที่เป็นสุข และฉลาดกว่ากัน”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล










ถ้าใจดวงเดียวดี. ไม่มีฆ่าศึกทั้งหลายในโลก.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








#คนมีอวิชชาเพลิดเพลิน #ก็เหมือนปลาที่สนุกอยู่ในน้ำ (#ท่านพ่อลี)

ดวงจิตที่เจือปนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์

นั่นก็เหมือนกับเรือที่ถูกลมพายุ อันพัดมาจากข้างหลัง ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวาทั้ง ๘ ด้าน ๘ ทิศ มันก็จะไม่ทำให้เรือตั้งตรงอยู่ได้ มีแต่จะทำให้เรือจมลง
ไฟที่จะใช้สอยก็ดับหมด ด้วยอำนาจความแรงของกระแสลมที่พัดมานั้น

#สัญญานี้เหมือนกับระลอกคลื่น
#ที่วิ่งไปมาในมหาสมุทร

ใจนั้นก็เปรียบเหมือนปลา ที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชา ก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่งๆ เป็นของเพลิดเพลิน เป็นของสนุก เหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็มเป็นของสนุกสนาน สำหรับตัวมันฉันนั้น

#ตราบใดที่เราทำความสงบ #ให้เรื่องต่างๆบรรเทาเบาบางไปจากใจได้ #ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปในกัมมัฏฐาน

คือ ฝังแต่ พุทธานุสติ เป็นเบื้องต้น
จนถึง สังฆานุสติ เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ

เมื่อเป็นไปดังนี้ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้ เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราเบาอย่างนี้ ภาระทั้งหลายก็น้อยลง สัญญาต่างๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ “กัมมัฏฐาน” ได้ทันที

ท่านพ่อลี
#คัดลอกมาจาก...#หนังสือแนวทางวิปัสสนา #กัมมัฏฐาน ๒.
พิมพ์ครั้งที่ ๑. ชมรมกัลยาณธรรม. ๒๕๕๓
: หน้า ๑๒๙-๑๓๐.









#พระปัจจุบันนี้นะ #ไม่มีความอดทนเหมือนอย่างสมัยก่อน

อดทนไม่ได้ อดอยู่อดกินไม่ได้ อดนอนไม่ได้ พระปัจจุบันนี้ต้องสมบูรณ์แบบ ผ้าจีวรก็ต้องใหม่ๆ จะขาดๆเหมือนสมัยก่อนไม่มีแล้ว

แต่ก่อนผ้าจีวรนี้มีแต่ปะแล้วปะอีกเด้ เต็มตัวเป็นด่างทั้งตัวจนเปื่อยว่างั้น อธิฐานใช้ผ้าผืนเดียว ผ้าจีวรก็ผืนเดียว ผ้าสบงก็ผืนเดียว ผ้าอังสะก็ผืนเดียว

ผ้าสังฆาฏิไม่ได้ใช้ผ้าห่ม ใช้ผ้าสังฆาฏิซ้อนกับผ้าจีวร ไม่ต้องไปสนใจร้อนหนาว นี้คือการปฏิบัติหลวงปู่ได้ผ่านมา

#ปัจจุบันนี้ไม่มีอย่างนี้...#ไม่มี

คำว่าไม่มีนี้ก็เลยตามกิเลส จะไปสร้างวัดปัจจุบันนี้ก็ไม่เหมือนเก่าแล้ว ถ้าจะไปอยู่แบบกระท่อมแบบหลาย ๆ เดือนหลาย ๆ ปี ถึงจะเป็นกุฏี ถึงจะเป็นศาลานั้นไม่ได้แล้ว ไม่มีใครไปแล้ว บ้านเราก็ไม่ไป กรุงเทพก็โอ้ย ไม่มีที่พัก ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีห้องส้วม อาหารก็อด ๆอยาก ๆ ทางรถไปก็ไม่มี ต้องเดิน โอ้ย!...ไม่อยากไปแล้ว พอพูดอย่างนั้นก็..โอ้ย! ไม่มีที่พักก็ไม่ไปแล้ว

#นี้เมื่อมันเป็นอย่างนั้นแล้ว
#มันจะถึงธรรมะได้ยังไง

ก่อนพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้นี้ ไม่ใช่ว่าไปอยู่อย่างนี้ อยู่ในป่าในเขา ที่พุทธยานนี้เป็นป่าเด้ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั่นนะ อาศัยโคนต้นไม้

ถ้าเกิดฝนตกนี้ก็บังต้นไม้ ลมมาทางนี้ฝนมันสาดมาฝั่งนี้ก็จะหลบมาฝั่งนี้ ถ้าแดดออก ร่มไปอยู่ทางไหน ก็ไปอยู่ทางนั้น อาศัยโคนต้นไม้ใหญ่

#พระพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติ
#บวชเข้ามานี้จะต้องปฏิบัติตัวยังไง
#ถึงจะสมควรกับเป็นผู้ปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ เที่ยวบิณฑบาต เที่ยวบิณฑบาตนี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้ก็จะได้ฉัน

#ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ
#วัดป่าภูเขาหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา











#ค่อยๆสะสมบุญ

เงินเป็นล้าน ๆ มันไปจากหนึ่งจากสองนั่นแหละ ไม่ได้ไปจากล้านที่ไหน ไปจากหนึ่งกับสองนี่แหละ แล้วบวกกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงล้าน ของจะมีมาก ก็ต้องไปจากหนึ่งจากสองนี้เอง

#นี่ความดี #คุณงามความดีทั้งหลาย
#ก็ไปจากของเล็กน้อยแหละ

เหมือนฝนตกเราเห็นไหม เห็นอยู่ด้วยกันทุกคนปฏิเสธได้ยังไง เม็ดฝนที่ตกลงมามันเท่าลูกมะพร้าวเมื่อไร มันก็เท่าเม็ดฝนอย่างที่เราเห็นนั่นแหละ แล้วทำไมมันทำให้ท้องฟ้ามหาสมุทรท่วมไปหมด ด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาทีละหยดละหยาดเท่านั้นได้ล่ะ ก็เพราะรวมกันแล้วมันมาก ตกไม่หยุดไม่ถอยมันจึงมากนั่นเอง

#การสร้างบุญกุศล #พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวไว้อย่างนั้นเหมือนกัน

เราสร้างไว้ทุกวันทุกเวลาไม่ประมาทโดยลำดับลำดา ก็พอกพูนขึ้นไป ๆ งอกงามขึ้นไป เจริญขึ้นไป

#หลวงตามหาบัว #ญาณสมฺปนฺโน
#วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 78 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร