วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...ไม่ว่าจะห่มเหลืองหรือห่มขาว
ขอให้ยึดมั่นต่อคุณงามความดีเท่านั้น
ความเป็นพระอยู่ที่ใจมิใช่อยู่ที่สีของจีวร...

ครูบาอภิชัย ขาวปี









"เรื่องโชคต่าง ๆ เรื่องเงิน เป็นเรื่องเล็ก โชคบุญเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าบุญมีกับตัวแล้วนั่นแหละเงินก็มาเอง หมั่นทำบุญให้มาก

#การทำบุญไม่ใช่ทำจนหมดตัว มีเงินน้อยทำน้อย มีเงินมากทำมาก #แต่ถ้าไม่มีเงินก็เอาแรงกายเข้าไปช่วยงานบุญก็จะได้บุญเช่นเดียวกัน การทำบุญเหมือนกับการทำประกันชีวิต บุญนั้นจะเสมือนเกราะแก้วที่จะคอยคุ้มครองตัวเราได้ บุญจึงไม่หนีหายไปไหน เราทำบุญเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่าจะเห็นผลทันตาเสมอไป บุญกุศลที่เราทำจะสะสมไปเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนการปลูกข้าว ไม่ใช่ว่าจะได้ข้าวทันที

การสร้างบุญควรจะรีบเสียแต่ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ควรสร้างเสียแต่เดี๋ยวนี้ หากพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว เราต้องเสวยกรรมอย่างเดียว"

หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา












เรื่อง "วางสัญญาในปริยัติ จึงเห็นผลการปฏิบัติ"

(คติธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(เทศนาอบรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)​

"ท่านมหาก็นับว่าเรียนมาพอสมควรจนปรากฏนามเป็นมหา ผมจะพูดธรรมให้ฟังเพื่อเป็นข้อคิด แต่อย่าเข้าใจว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้ธรรมที่ท่านเรียนมาได้มากได้น้อย ยังไม่อำนวยประโยชน์ให้ท่านสมภูมิที่เป็นเปรียญ นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนาของท่านในเวลานี้เท่านั้น เพราะท่านจะอดเป็นกังวลและนำธรรมที่เรียนมานั้นเข้ามาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ

ดังนั้นเพื่อความสะดวกในเวลาทำความสงบให้แก่ใจ ขอให้ท่านที่จะทำใจให้สงบยกบูชาไว้ก่อนในบรรดาธรรมที่ท่านได้เรียนมา ต่อเมื่อถึงกาลที่ธรรมซึ่งท่านเรียนมาจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ท่านได้รับประโยชน์มากขึ้นแล้ว ธรรมที่เรียนมาทั้งหมดจะวิ่งเข้ามาประสานกันกับทางด้านปฏิบัติและกลมกลืนกันได้อย่างสนิท ทั้งเป็นธรรมแบบพิมพ์ซึ่งเราควรจะพยายามปรับปรุงจิตใจให้เป็นไปตามนั้น

แต่เวลานี้ผมยังไม่อยากจะให้ท่านเป็นอารมณ์กับธรรมที่ท่านเล่าเรียนมา อย่างไรจิตจะสงบลงได้หรือจะใช้ปัญญาคิดค้นในขันธ์ก็ขอให้ท่านทำอยู่ในวงกายนี้ก่อน เพราะธรรมในตำราท่านชี้เข้ามาในขันธ์ทั้งนั้น แต่หลักฐานของจิตยังไม่มี จึงไม่สามารถนำธรรมที่เรียนมาจากตำราน้อมเข้ามาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลัก เพราะจิตติดปริยัติในลักษณะไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านนำธรรมที่ผมพูดให้ฟังไปคิดดู ถ้าท่านตั้งใจปฏิบัติไม่ท้อถอย วันหนึ่งข้างหน้า ธรรมที่กล่าวนี้จะประทับใจท่านแน่นอน"

คติธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต











#เทวดามาแย่งบุญมนุษย์

ทำดีเพียงเล็กน้อยแต่ให้ผลอานิสงส์มาก...

อีกเรื่องหนึ่ง ยังมีเทพยดาองค์หนึ่งแต่ก่อนเป็นผู้หญิง ในสมัยครั้งหนึ่งแกไปวัดไปเห็นมันรกในทางจงกรมของพระ แกก็ไปเขี่ยขี้ฝอยในทางจงกรมนั้น เพื่อให้ความสะดวกในการเดินจงกรมของพระครั้งเดียวเท่านั้น แต่แกทำด้วยความรัก แกทำด้วยความเชื่อ ทำด้วยความนับถือ ทำด้วยความบริสุทธิ์จิต เพราะของที่รกรุงรังสกปรกนั้น ยังความเศร้าใจให้เกิดขึ้น ท่านเห็นเป็นเช่นนี้จึงได้เก็บขี้ฝอยออกจากที่ทาง แล้วก็หาน้ำล้างเท้ามาไว้ในที่นั้น เก็บขี้ฝอยขี้เศษต่างๆ รกรุงรังออกหมด แกก็รู้สึกว่า ใจสบายผ่องแผ้ว กลับไปบ้าน

บังเอิญไปเกิดเป็นลมตาย ตายจากโลกนี้ก็ไปเกิดเป็นเทวดา มีบริษัทบริวาร มีอาหารทิพย์ มีปราสาท มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากมาย เมื่อไปอยู่ที่นั้น ระลึกชาติได้ เมื่อระลึกชาติได้อย่างนี้ ก็นึกในใจว่า ถ้าเราทำบุญมากๆ ก็จะได้ดีมากกว่านี้ จะขอไปทำความดีอีกสักหน่อยเถอะ เพื่อให้มันยิ่งกว่าที่ได้ผลอยู่ขณะนี้ แต่ก่อนไม่ยักรู้ว่ามันจะได้รับผลอย่างนี้

ก็ได้ลงมาจากสวรรค์ ไปเที่ยวหาพระอยู่ตามป่าตามพง พอไปเห็นพระองค์หนึ่งท่านกำลังเข้าสมาธิ ฝ่ายเทวดาก็มายืนจ้อง คอยปฏิบัติอุปัฏฐาก พระท่านเลยตะเพิดไป “เทวดาทำไมมาแย่งบุญมนุษย์ แต่ก่อนนี้มันประมาท เมื่อไปเสวยผล ได้รับผลดีแล้ว ยังจะอยากโลภมาก ไม่เอา...ไม่ให้ท่านให้มนุษย์เขามาทำ คนที่ยังไม่ได้รับความดีอย่างแกนั้นยังมีอยู่อีกมาก ไม่ต้องมาแย่งเขา”

เปิดเลย เทวดานั้นขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็ได้ผลแค่นั้น บุญใหม่ควรทำต่อ เขาไม่ให้ทำ

นี่เพราะเหตุใดเพราะเหตุว่าคนเราประมาทในบุญเล็กน้อย เมื่อตายไปแล้ว จะมาทำบุญกุศลน่ะ มันยากนัก ยากยังไง กายก็ไม่เหมือนกายมนุษย์ จะมาพูดกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะมาใส่บาตรทำบุญก็ไม่ได้ อย่างดีก็เพียงมายืนคอยอนุโมทนาเท่านั้น

ถ้าใครตาดีก็เห็น ใครตาไม่ดีก็ไม่พบพาน ถ้าใครมีภูมิรู้ในทางจิต ก็พอจะแนะนำสั่งสอนกันบ้าง

ถ้าไม่มีคนเช่นนั้น เทวดาก็ไม่มีหนทางที่จะบำเพ็ญคุณงามความดีต่อได้เลย...นี่มันเป็นอย่างนี้!

ปกิณกะธรรม
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร










#ไม่มีเงินก็ทำบุญได้

คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว..

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล








โลกอันนี้เราอยู่มานานแล้ว เรายังติดอะไร เรายังสงสัยอะไร เดี๋ยวนี้ยังไม่จืดจาง ยังดื่มด่ำกับอะไร อะไรเป็นของใหม่ในโลก เกิดแก่เจ็บตายเป็นของใหม่เหรอ มันเป็นของที่จะให้ความทุกข์ทรมานเรามามากแสนมาก เพราะเรื่องเกิดแก่เจ็บตายนี้แล ไม่ใช่เรื่องอะไร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








...พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ผู้ปฏิบัตินี้
หมั่นเจริญสติอยู่ตลอดเวลา
"สร้างสติขึ้นมาก่อน..ต้องมีสติ"

.
ไม่เช่นนั้นเวลานั่งสมาธิ..
"ใจจะไม่สงบ" นั่งสมาธิแล้วก็จะฟุ้ง
ไปอดีต ไปอนาคต ไปเรื่องนั้นไปเรื่องนี้
แล้วก็นั่งดูนาฬิกาว่า
นั่งมาเป็นชั่วโมงๆ นั่งแล้วไม่เห็นได้อะไร
ก็เพราะว่า.."มันไม่มีสตินั่นเอง"

.
ถ้ามีสติ..นั่งห้านาที สิบนาที
ก็ได้ผลแล้ว ถ้าใจจดจ่อ
“อยู่กับเรื่องเดียว ได้อย่างต่อเนื่อง”
ห้านาที สิบนาที มันจะ..
เข้าสู่ความสงบ ได้อย่างแน่นอน

.
การที่จะเข้าสู่ความสงบได้
ก็ต้อง..
"มีสติที่สามารถควบคุมใจ
ให้จดจ่ออยู่กับอารมณ์
ที่จะใช้ในการทำให้ใจสงบ นั่นเอง"

.
ให้อยู่กับพุทโธๆ ไปเพียงอย่างเดียว
หรือให้อยู่กับการดูลมหายใจเข้าออก
ไปเพียงอย่างเดียว

.
รับรองได้ว่า..
"ใจจะเข้าสู่ความสงบได้
จะได้สมาธิ..ได้อุเบกขา".

.....................................
.
หนังสือธรรมะบนเขา
เล่ม 6 หน้า135-136
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ดังนั้น เราปฏิบัติธรรม
แบบไม่คาดหวัง ไม่ตัดสินอะไรล่วงหน้า
ไม่ต้องมีทฤษฎีอะไรซักอย่าง
ปริยัติอะไรซักอย่าง

ไม่ต้องพยายามบีบบังคับหรือนวด
สิ่งที่เราได้ค้นพบให้เข้ากับ
หลักวิชาที่เคยเรียนมา

สิ่งที่ต้องการ คือ ฝึกให้ "จิตใจตื่นรู้"
พร้อมที่จะรับรู้ พร้อมที่จะ...
ยอมรับ..ความจริงทุกประการ

หลวงพ่อชยสาโร
จากธรรมเทศนาเรื่อง โอฆะสี่ น้ำท่วมใจ
วันที่อาทิตย์ 2 ตุลาคม 2554 ปากช่อง นครราชสีมา









สำหรับการทำสมาธิ หลักโดยทั่วไปก็คือ ทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก จิตรู้อะไรก็ให้มีสติบริกรรมภาวนาก็ให้มีสติ จะพิจารณาก็ให้สติ ทีนี้ในขณะใดจิตต้องการจะสงบนิ่งว่างก็ปล่อยให้ว่าง ขณะใดจิตต้องการคิดปล่อยให้คิด แต่ให้มีสติตามรู้ไป

สรุปลงแล้ว แผนของการปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เลือกกาลเวลาให้ถือเอาการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต ให้มีสติรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ จะไปเอาเฉพาะเวลานั่งหลับตามันไม่เพียงพอ เวลามันน้อย

ดังนั้นถ้าหากว่าเราฝึกสติให้มันรู้พร้อมอยู่ที่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เราจะได้สมาธิได้พลังสติสนับสนุนจิตอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวันได้ตลอดกาล

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย










"เมตตา กรุณา ถ้าขาดอุเบกขา ก็ยังเป็นทุกข์อยู่"

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก








ดูคนอื่น. เห็นโทษแต่คนอื่น. ไม่ดูตัวเอง. นี่แหละ. ถึงให้ดูตัวเอง.

หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร