ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

สุขทุกข์ขึ้นตรงที่ใจ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58991
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 04 มิ.ย. 2020, 05:26 ]
หัวข้อกระทู้:  สุขทุกข์ขึ้นตรงที่ใจ

"....สมบัติอะไรก็ตามในโลกนี้ สู้ธรรมสมบัติภายในใจไม่ได้ สมบัติภายในใจเลิศเลอสุดยอด ขอเพียงให้ใจกับธรรมได้สัมผัสกัน มันจะแสดงฤทธิ์เดชเป็นอัศจรรย์ เมื่อ"หัวใจได้ความสง่างาม"แล้ว อยู่ใต้ร่มไม้ร่มใด ภูเขาลูกใด ถ้ำหรือเงื้อมผาแห่งใด สถานที่แห่งนั้นย่อมพลอยสง่างามไปด้วย "สติ" นี่เองจะเป็นกุญแจดอกสำคัญ ไขไปสู่พระไตรปิฎกภายใน เพื่อเปิดเข้าไปสู่ประตูพระนิพพาน"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





จิตก่อนเกิดและก่อนตายเป็นอย่างไร
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

ท่านอาจารย์ทอง อโสโก ศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่เสาร์ เล่าให้ฟังว่า

มีพระองค์หนึ่ง อยู่ที่อำเภออำนาจเจริญ อุปสมบทในงานฉลองอายุของหลวงปู่เสาร์ที่วัดบูรพา เมืองอุบล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ พออุปสมบทแล้วก็ไปจำพรรษาที่วัดบ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม แล้วก็ไปป่วยหนัก ท้องร่วง มรณภาพอยู่ที่วัดนั้น

ภายหลังแกบอกเล่าว่า แกไปเกิดที่บ้านน้ำกล่ำ อำเภอธาตุพนม เมื่อโตขึ้นก็ระลึกชาติหนหลังได้ ท่านอาจารย์ทองซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนและให้การอบรมได้ทราบข่าวว่าพระองค์นี้ไปเกิดที่บ้านน้ำกล่ำ ท่านก็ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยเดินทางไปพบคนที่ระลึกชาติหนหลังได้ แล้วก็ได้สอบถามว่า เมื่อก่อนที่จะตายนี่ แกรู้ไหมว่าแกจะตาย

เขาบอกไม่รู้ แม้แต่ตายแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวตาย เขาบอกว่าในขณะที่ญาติโยมเอาศพแกไปขุดหลุมจะฝัง แกก็ไปกับเขาด้วย แล้วไปนั่งดูเขาขุดหลุม แกก็ถามเขาว่า "โยมขุดหลุมฝังอะไร"

โยมเขาก็ไม่ตอบเพราะไม่ได้ยินเสียงพูด แกก็เอามือไปตีพุ่มไม้ พอพุ่มไม้ไหวมีเสียงดัง ญาติโยมก็ร้องเอะอะว่าผีหลอก พากันวิ่งหนี แกก็วิ่งตามเขาไปเพราะกลัวผีหลอกเหมือนกัน พอโยมไปได้หน่อยหนึ่งก็ย้อนกลับมาช่วยกันขุดหลุม แล้วก็ฝังศพจนเสร็จ แล้วเขาชวนกันไป รีบกลับ เดี๋ยวผีหลอก แกก็รีบวิ่งออกหน้าเขากลับเข้าไปในวัด

นี่ตามคำบอกเล่าของคนที่ตายแล้วมาเกิดใหม่ แล้วก็ระลึกชาติหนหลังได้ แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าเขาตาย เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า คนก่อนจะตายก่อนจะเกิด จิตมีลักษณะอย่างไร

ถ้าพิจารณาตามลักษณะที่เรามาภาวนานี่ เมื่อเราภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิ ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตจะตัดกระแสความรู้สึกในปัจจุบันไปสู่ความเป็นสมาธิอย่างไร คนก่อนที่จะตายก็มีลักษณะอย่างนั้น คนธรรมดาที่ไม่ตายในสมาธิ จะต้องปรากฏมีรูปร่างเดินออกไป พอเดินออกไปแล้วจะชะโงกมาดูร่างเดิมนี่นิดหนึ่ง แต่เขาจะไม่นึกว่าร่างที่นอนตายอยู่นั้นคือร่างกายของเขา เขาก็เดินหนีไปเลย


นี่เปรียบเทียบกับจิตที่เป็นสมาธิระดับอุปจาระ ส่งกระแสออกไปนอก แล้วปรากฏว่ามีรูปร่างเดินไป เหมือนๆ กับลักษณะของมโนมยิทธิที่จิตออกไปดูนรก ดูสวรรค์ เพราะในขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเขามีร่างกายอยู่ เมื่อออกจากร่างไปจึงปรากฏว่ามีร่างติดตัวไปด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับคนก่อนจะตายก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือจิตจะมีการรวมลงไป คือรวมพลัง เพื่อจะถีบตัวออกจากร่างเดิม

ทีนี้ก่อนจะเกิด ตามคำบอกเล่าของคนที่ระลึกชาติได้ เมื่อเขาเข้ามาในวัด แล้วเขาไปเที่ยวทักทายกับพระเณรและครูบาอาจารย์ในวัด ไม่มีใครพูดกับเขา เขาจึงมานึกว่าคนทั้งหลายเกลียดเราเพราะเหตุไร ในเมื่อทุกคนรังเกียจอย่างนี้เราจะอยู่กับเขาได้อย่างไร เขาก็เดินหนีจากหมู่คณะจากวัดไป แล้วเดินทางไปบ้านน้ำกล่ำ พอไปถึง ความทรงจำยังมีอยู่ เวลาขาไป ท่านอาจารย์ทองพามาฉันที่บ้านโยมแม่ที่มาเกิดใหม่ พอเขาขึ้นไปบนบ้านก็ไปขอน้ำฉัน เจ้าของบ้านก็นั่งเฉยเพราะไม่ได้ยินเสียง ก็ถือวิสาสะไปกรองน้ำในตุ่มมาฉัน พอฉันน้ำเสร็จแล้วขอที่พัก เจ้าของบ้านก็เฉย จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอน เอาบริขารไปวางไว้ แล้วก็ล้มตัวไปนอนหลับ นั่นแสดงว่าเข้าไปสู่ท้อง ไปปฏิสนธิแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาไปเกิด เพียงรู้สึกตัวว่านอนพักผ่อนเท่านั้น

อันนี้ตามคำบอกเล่าของคนที่มาเกิดแล้วระลึกชาติหนหลังได้ ซึ่งความทรงจำเก่าเริ่มเกิดขึ้นลางๆ เมื่ออายุ ๕ ขวบ และชัดเจนขึ้นเมื่ออายุ ๗ ขวบ

ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คนก่อนที่จะเกิดก็ไม่รู้ว่าตัวจะมาเกิด ถ้าจะเปรียบเทียบกับขณะที่จิตเรามีสมาธิอย่างละเอียด ก่อนที่จิตจะถอนจากสมาธิ จิตจะต้องมีการไหวตัวนิดหนึ่ง แล้วก็ค่อยมีความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็ย้อนมาสู่กายอีก แล้วก็เข้าสู่กาย ก็กลายเป็นการเกิด อันนี้ลักษณะของจิตที่เข้าสมาธิอย่างละเอียดจนกระทั่งตัวหาย รูปร่างกายไม่ปรากฏ ยังมีแต่จิตดวงเดียวซึ่งลอยเด่นอยู่เท่านั้น นั่นก็แสดงว่าวิญญาณจิตนี้ออกจากร่างไปแล้ว เพราะไม่ได้เกี่ยวพันกับร่างกาย คำตอบก็พอจะเทียบได้อย่างนี้ เพราะก่อนที่จะตายจากชาติก่อนๆ โน้น เราก็ไม่ทราบว่าได้เตรียมการอะไร แต่มาเทียบกับจิตที่เข้าสู่สมาธิและออกจากสมาธิพอที่จะเปรียบเทียบกันได้ ว่าก่อนจะตายจิตเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร

ก่อนที่จะตายในสมาธิ จิตจะเข้าสมาธิ พอจิตเข้าสมาธิปั๊บ ก่อนสมาธิจะเกิด กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ทีนี้คนที่จะตายนี่ ในขณะที่กำลังดิ้นรนกระวนกระวายอยู่นั้น อย่างดีเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเขาอาจจะตาย แต่เมื่อจะตายจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสงบ ร่างกายที่ดิ้นรนชักงอก็สงบไป นิ่งเงียบ ในตอนนี้จิตเตรียมที่จะออกจากร่างแต่ไม่ทราบว่าเขากำลังจะตาย ฉะนั้น ในตัวอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเขาตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาเกิด ดังนั้น จิตของคนที่จะตาย ก็มีลักษณะไม่รู้ว่าตัวจะตาย ลักษณะจิตที่จะเกิดก็ไม่รู้ว่าตัวจะเกิด นี้คือลักษณะจิตของคนจะตายหรือคนจะเกิด


:b8: :b8: :b8: จาก...หนังสือ ฐานิยตฺเถรวตฺถุ
เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50583

:b50: กรรมนิมิต-คตินิมิต (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19399

:b50: สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี ๓ ชนิด (พระพรหมบัณฑิต)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3437

:b50: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=44228

:b50: ปุถุชนตายมีกรรมนิมิต แต่พระอรหันต์ไม่มี (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=50660

:b50: กรรมนิมิตก่อนตาย (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=50923

:b50: จิตตอนอยู่เป็นอย่างไร ตายแล้วก็ไปเกิดอย่างนั้น (ท่านพ่อลี)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=50591




..ถาม : จิตรวม กับ จิตแยกออกจากกาย
ทั้ง ๒ เกิดขึ้นตอนนั่งสมาธิ ใช่ไหมครับ
มันคืออะไร ๒ อย่างนี้เหมือนตรงกันข้ามกัน
แต่ทำไมสามารถเกิดขึ้นตอนนั่งสมาธิ
ได้เหมือนกันครับ
...พระอาจารย์ : มันเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่
ใช้ศัพท์ต่างกัน จิตแยกออกจากกาย
เวลานั่งสมาธิเรา "ดึงจิต" คือวิญญาณที่มาเกาะ
ติดที่ตาหูจมูกลิ้นกาย
"ให้หดเข้าไปที่ใจ ให้ไปรวมในใจ"
ก็เลยเป็นการแยกจิตกับกายออกจากกัน
ด้วยการ.."รวมจิตเข้าไปอยู่ในตัวรู้"
พร้อมทั้งหมด นามขันธ์ทั้ง ๔
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
"ถูกดูดกลับเข้าไปอยู่ในจิต"
ตอนนั้นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่ปรากฏ ...ไม่ทำงาน
"เหลือแต่ตัวรู้คือ จิต ตัวเดียว".
....................................
.
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ 1 มิถุนายน 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










#คนใดว่าตนดี
#คนนั้นยังไม่ดี
#ใครว่าตนวิเศษวิโสหรือฉลาดเฉียบแหลม
#คนนั้นคือคนโง่

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี









"..ต่อไปในภายหน้า มันสิมีแต่ฆราวาสญาติโยมเด้รักษาศาสนาไว้ ในเมื่อพระบ่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติรักษาศีล บ่ตั้งใจทำสมาธิภาวนา มันสิมีแต่ผ้าเหลืองห้อยหูกะสิเอิ้นว่าพระแล้วเด้ มันเบิ๊ดไปเสื่อมไป.."

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร












“ชนะอื่น หมื่นแสน ในแดนโลก
ไม่พ้นโศก พ้นทุกข์ใจ ได้ดอกหนา
จักต้องละ ชนะตน พ้นอัตตา
จึงจะหา ทางพบ พระนิพพาน

เงินทอง ส่งถึงโรงพยาบาล
ลูกหลาน ส่งถึงหลุมศพ
บุญกุศล ส่งถึงภพหน้า
ภาวนา ส่งถึงนิพพาน
โกรธเขา เราทุกข์ อภัยเขา เราสุข”

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ











"ในขณะที่กายกำลังเสื่อมลงๆ
แต่เราสามารถรักษาใจ หรือทำใจให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยการมีสติ ไม่ให้ความทุกข์ ความเจ็บปวด
มาครอบงำใจ เห็นแต่ไม่เข้าไปเป็น เห็นความเจ็บ
แต่ไม่เป็นผู้เจ็บ"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล










" คนที่ถือของหนัก
ไม่ยอมวาง ไม่ยอมปล่อย
ก็เป็นทุกข์ที่สุด

อันทุกข์นี้ ก็คือ "ตัวรูป
เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ" ทั้ง 5 นี้เรียกว่า
"เบญจขันธ์"

"เบญจขันธ์" เป็นของหนัก
เราอย่าไปยึดไปถือว่าเป็น
ของเรา มันเป็นอนิจจัง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
พระไตรลักษณ์คุมอยู่ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ









ความทุกข์ที่เกิดขึ้น. บางทีไม่ได้เป็นเรื่องของความถูกผิด. แต่มันอยู่ตรงจุดที่ว่า.มันไม่ถูกใจฉัน. เท่านั้นเอง.

คุณยายชี รัญจวน อินทรกำแหง









#พ่อแม่ครูบาอาจารย์ #ท่านก็แนะนําให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ #อย่าประมาท

ว่าสังขารร่างกายของพวกเรามันจะยืนยงไปถึงไหน เพราะว่ามันบอกไม่ได้ เอาไว้ไม่ฟัง ไม่มีใครจะบอกได้เลย เมื่อเวลาจะเจ็บมันก็เจ็บคนเดียว เวลาจะแก่มันก็แก่คนเดียว

#นั่นล่ะ #เพิ่นว่า #บอกไม่ได้ #เอาไว้ไม่ฟัง

เพราะสังขารอันนี้เป็นอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เราไม่ได้เกิดก็เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านถึงว่า ยกจิตขึ้น พิจารณากายพิจารณาธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเครื่องโคจร ของจิต

#โส #สะโตวา #ยกจิตขึ้นพิจารณา
#ให้เห็นว่ากายอันนี้เป็นของไม่สวยไม่งาม

เป็นของไม่จีรังยั่งยืน เป็นของสกปรกโสโครก เพราะถ้าเราไม่อาบน้ำวันหนึ่ง มันจะเป็นยังไง มันก็ต้องมีกลิ่นมีอะไรขึ้นมา หรือเมื่อเข้าห้องน้ำอยู่นี่ มันก็มีกลิ่นขึ้นมา แต่ที่แรกเราบริโภคเข้าไป ก็ว่าดีอยู่ แต่ว่าเวลามันเข้าไปอยู่ในตัวของเรา มันจะเป็นของบูด ของเน่า แล้วเวลาออกจากตัวของเราแล้ว ไม่มีใครอยากจะได้เลย สะอิดสะเอียน แต่อยู่ในตัวของเราก็ยังพอว่าอยู่

#เพราะว่ามีอะไรปิดบังอยู่

มีหนังปิดบังอยู่ ถ้าไม่มีหนังปิดบังแล้ว จะไม่ได้เรื่องเลย เพียงแค่เราไปถูกมีด เลือดไหลออกมา มันก็ยังมีกลิ่นคาวกลิ่นเหม็น

#ท่านจึงว่าให้พิจารณา #ให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม

เป็นของไม่จีรังยั่งยืน เกิดมาแล้วแก่ แล้วก็เจ็บ สุดท้ายมาก็ตาย มีด้วยกันทุกคน ไม่มีใครจะล่วงพ้นไปได้

#ท่านถึงว่าให้สวดให้เสก

สวดเราก็สวดไป เสกก็คือนั่งหลับตา หุบปาก เสกอะไร เสกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่ออก มันก็ตาย หายใจออกไม่เข้า มันก็ตาย มันเกิดมันดับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก

#ถ้าเราพิจารณาแล้ว #ความตายนี่มันจะมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

แต่ว่าเราไม่ได้ยกขึ้นพิจารณา มันก็เลยเพลินไปตามกระแสของโลก ว่าตัวเองนี่จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เห็นคนตายเราก็ไม่ได้น้อมพิจารณา ไม่ได้น้อมมาโอปนยิโก จิตมันก็เลยประมาท

#นั่นล่ะ #ท่านว่าให้พิจารณาอยู่เนืองๆ

ยืน เดิน นั่ง นอน ท่านให้พิจารณา ให้พวกเราใคร่ครวญดูว่า แม้แต่ผ้าผ่อนของเรา เจ็ดวันหรือสิบห้าวันเราจะต้องได้ซัก จิตใจของเรามันซักไม่ได้ มันต้องเอาศีล เอาสมาธิ เป็นเครื่อง ขัดเกลา ทานก็เป็นเครื่องขัดเกลาอันหนึ่ง

#ค่อยขัดค่อยเกลา #ค่อยทําไปเรื่อยๆ

ภาวิตา พหุลีกตา ท่านว่า ทําให้มาก เจริญให้มาก ถ้าเราทําอยู่เรื่อย ทําอยู่เป็นนิตย์ ทําให้ติดต่อกัน เราจะรู้ได้ขึ้นมาเลย ปัตจัตตัง จะรู้ได้เฉพาะตน ไม่ต้องไปถามคนอื่นยาก เพราะเหมือนกันหมด แต่ต่างชื่อเท่านั้น

#ผม #ขน #เล็บ #ฟัน #หนัง
#หนัง #ฟัน #เล็บ #ผม #ขน

มีกันทุกคน แต่เราได้พิจารณาไหม ใคร่ครวญดูไหม ว่าเกิดมาจากอะไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็เกิดจากน้ำมูตร น้ำเน่า น้ำหนองอะไร อาหารของเขา เราลองพิจารณาดู นี่ล่ะ

#ท่านว่าให้พากันพิจารณาอยู่เป็นนิตย์

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พวกเรา ไม่มีใครจะทําให้กันได้ นอกจากตัวพวกเราแล้ว ความดีเราเป็นคนทํา ความชั่วเราก็เป็นคนทํา แต่เราทําซะความดีตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่

#ไอ้ความชั่วน่ะ
#เราทําไปแล้วมันเดือดร้อน

ความชั่วไม่ทําเสียเลยดีกว่า ความดีนั่น ทําแล้วดีกว่า เพราะทําแล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง อันนี้พระพุทธเจ้า ท่านสอนพวกเราคณะศรัทธา ครูบาอาจารย์ท่านก็พาสวดพาเสกอยู่ ทุกวัน ไม่ได้ปล่อยให้เวล่ำเวลาผ่านไป

#เพราะวันคืนผ่านไปล่วงไปนี่
#เหมือนกระแสน้ำไม่ไหลคืน

ร่างกายสังขารนี่ก็นับวันแก่ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผมก็ขาว หนังก็เหี่ยว เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันไม่คงทนถาวร มันไม่จีรังยั่งยืน เราทําสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนให้คงทนถาวรซะ

#เราอย่าปล่อยให้ล่วงโรยไป
#โดยไม่คํานึงไม่พิจารณา
#ไม่ได้ทําอะไรเลย

อันนี้เราก็ต้องทํา เพราะว่าเหมือนอย่างเรากินข้าวนี่ เราต้องกิน ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องอะไร คุณงามความดีเหมือนกัน ที่เราต้องทํา เพราะว่าเป็นตัวของเรา ไม่มีใครจะมาทําเพื่อกันมาทําให้กันได้ ตัวใครตัวเรา เราทําเราก็ทําได้ เราทําได้มากก็เป็นของเรา ...

๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ น้อมรำลึก ๗๘ ปี ชาตกาล
พระครูจิตตภาวนานุสิฐ(หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล)













#ใจงาม #คือใจไม่อาฆาตมาดร้าย
#จ้องทำลายกันและกัน

มีน้ำใจให้อภัย เผื่อแผ่แบ่งปัน คนที่ดูดี มีจิตใจสูง ก็มาจากใจงาม

#กายจะงามไม่งาม.
#ไม่สำคัญเท่าใจ.

เหมือนภาชนะใส่อาหาร จะกะลาหรือจานทองคำใส่อาหาร. ก็แค่เอาไว้กิน ร่างกายไม่ต่างอะไรจากกะลาหรือจานทองคำ

#สำคัญที่ใจ.

สุขทุกข์ขึ้นตรงที่ใจ ไม่ใช่อยู่ตรงกะลาหรือจานถ้วยทองคำหรอกนะ..

พระอาจารย์ ฌอน ชยสาโร

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/