วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2020, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


งานเผาศพแม่หลวงตา (หลวงตามหาบัว)
ตอนนั้นเผาศพตอนบ่ายหน้าศาลาภายในวัด
ไม่ได้ก่อเมรุ เอาฟืนมากอง
แล้วก็เอาโลงศพไปตั้ง
พอถึงเวลาก็จุดไฟเผา
ตอนดึกพอไฟไหม้หมดแล้ว ก็เก็บเอาเศษกระดูกขี้เถ้าไปโรยใต้ต้นโพธิ์ในวัด จากดินก็กลับสู่ดิน
ตอนต้นท่านจะให้เผาวันที่เสียเลยเสียตอนเช้าจะให้เผาตอนบ่าย
ญาติพี่น้องขออนุญาตเก็บไว้คืนหนึ่ง
จะได้บอกญาติพี่น้องที่อยู่ไกลจะได้มาร่วมงาน ก็เลยเก็บไว้คืนหนึ่ง
ไม่มีการสวด ตั้งศพไว้เฉยๆใครอยากไหว้ก็ไหว้ไปแต่ไม่มีการสวดกุสลาฯ
เวลาก่อนจะเผาก็นิมนต์ครูบาอาจารย์ ๑๐ รูปมาบังสุกุล ไม่ได้สวดกุสลาฯ
...กุสลา แปลว่า ความฉลาด
ก็คือพิจารณาว่าร่างกายเป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
ตายแล้วไปกุสลาหาอะไร...
ต้องกุสลากับคนที่มีชีวิตอยู่
คนที่มีชีวิตอยู่นี้ต้องกุสลาเอง ไปนิมนต์พระมาทำไม
พระท่านต้องกุสลาร่างกายของท่านเอง
พวกเราก็ต้องกุสลาของพวกเรา
ต้องสร้างความฉลาดให้แก่ใจ ให้รู้ทันธรรมะชาติของร่างกายว่า
เป็นเพียงดิน น้ำ ลม ไฟ มีอายุขัย
ต้องแก่ เจ็บ ตาย

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต










#จะเป็นมงคลได้ใจต้องรักการปฎิบัติ
ไม่ได้เป็นสุปฏิปันโนเพราะการโฆษณาหรือโปรโมทกันเหมือนสินค้าในตลาดน่ะ เพราะนี่คือพระ พระที่บวชมาหวังเพียงพ้นทุกข์ถ่ายเดียวเท่านั้น เบื่อการเกิดแก่เจ็บตายเต็มที สละความสะดวกสบายทางโลก มุงตรงต่อการประพฤติปฏิบัติขัดเกลาจิตใจตน ที่มันทุกข์และเศร้าหมองนี้ออกไป เอาสิ่งที่เป็นมงคล คือ ศีล สมาธิและปัญญา เข้าไปประดับแทน จึงพอได้รับความสงบความสุขขึ้นมาบ้าง พอมองเห็นทางออกจากกองทุกข์ ฆราวาสเราก็เช่นกัน สถานการณ์เช่นนี้ต้องเอาใจใส่ในการสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาทำความสงบจิตใจ อย่าปล่อยให้จิตใจเศร้าหมองวิตกกังวล จนขาดสติ ให้น้อมนำเอาพระรัตนตรัยนี้เป็นที่พึงในคราวคับขันเพื่อให้มีสติขึ้นมาบ้าง ให้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง เอาใจใส่ในตัวเองให้มาก ก่อนที่จะไปรักคนอื่นช่วยเหลือคนอื่น อย่าเป็นเตี้ยอุ้มค่อม หูหนวกจูงตาบอด จะพากันไปจมนะแบบนั้น ฝึกตัวเองให้ได้สอนตัวเองให้ดี ยอมรับนับถือว่าตัวเองดีแล้วพร้อมแล้วเป็นมงคลดีงามแล้ว ค่อยชักจูงแนะนำคนอื่นให้ได้เรียนรู้ ฝึกฝนในการประพฤติปฏิบัติ นี่จึงเรียกว่าบัณฑิต เป็นบุญอย่ายิ่ง เป็นมงคลอย่างดี ควรทำ

โอวาทธรรม พระอาจารย์รังสรรค์
9 เมษายน 2563










"ใช่อยู่ บางอย่างมันถูกกฏหมาย
แต่มันผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นของละเอียดที่สุดละ ถ้าทำผิดธรรมวินัย ถึงจะถูกกฏหมาย มันก็ไม่เหนือกรรม"
"
โอวาท หลวงพ่อสมบูรณ์..







“อะไรก็ตามที่เราหนีไม่พ้น
เราควรจะเรียนรู้ ที่จะอยู่กับมันให้ได้
นี่คือ ศิลปะการที่จะอยู่โลกนี้อย่างไม่ทุกข์”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล








"หมากัดขาเรา เราอย่าไปกัดขาหมาตอบ
ถ้าไปกัดคงน่าเกลียดจริงๆ หมากัดขาเรา
เราก็รักษาแผลไป ไม่ต้องไปกัดขาหมาตอบ

เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนอื่นตำหนิเรา
เราอย่าไปตำหนิเขาตอบ ใครทำให้เราโกรธ
เราอย่าหลงไปโกรธเขาตอบ ตบมือข้างเดียว
ไม่ดังหรอก"

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร









เลิกคิดไปเลย​ ว่าความเจ็บป่วยนี้ เป็นแล้วจะหายไหม​ หายเมื่อไหร่​ เพราะกายนี้มันเป็นรังของโรค​ เป็นโรคนี้หาย​ โรคใหม่มันก็จ่อรออยู่​ ความตายมันอยู่กับเราตลอดเวลา​ ดูแลรักษามันไปตามสภาพ​ ให้มันอยู่ได้​ อยู่เพื่อสร้างประโยชน์

ให้ตั้งสัจจะลงไปเลย​ว่า​ เกิดมาชาตินี้​ จะเป็นชาติที่สร้างเหตุ​ สร้างแต่คุณงามความดี​ โดยที่ไม่ต้องคิดถึงว่าจะเสวยผลบุญชาตินี้หรือชาติหน้า​ ผลนั้นมันมีอยู่แล้วเมื่อเหตุมันดี​ ให้อดทน​ เสียสละให้มาก​ คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ตน​ ให้หมั่นธรรม​ สร้างความเพียรให้มาก​ อาฆาตกับกิเลสของตัวเอง​ พยายามเอาชนะมันทุกวัน​ ถึงแม้จะแพ้มันก็ต้องสู้ไม่เลิ​ก​

หลวงพ่อสามดง​ จันทโชโต
วัดอรัญญ​พรหมาราม​ จ.นครราชสีมา








เวลาภาวนา. อย่าไปคำนึงถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้. ตัดมันออกไปให้หมด. ไม่ว่าจะเป็น. รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อะไร. ตัดมันให้หมด. ภาระทุกสิ่งทุกประการ. ตัดมันออกให้หมด.

ในขณะที่ภาวนา. ทำความเพียร. อย่าให้มีอะไรเข้ามาปะปน.

ให้มีแต่เรากับการภาวนาเท่านั้น. ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยวางให้หมด. โลกมันจะแตกก็แตกไปเถอะ. ถึงคราวแตกมันก็แตกเอง. ถึงคราวดับมันก็ดับเองแหละ. ใครจะไปหักห้ามมันได้.

เราจะไปกังวลอะไร. เวลานี้ไม่ใช่เวลามากังวล. เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาเกี่ยวข้องกับโลก. แต่เป็นเวลาที่เราจะมาทำความสงบ. เป็นเวลาที่เราจะมาพิจารณาธรรม.

เอามันลงไป. ทำความสงบ. ก็ยึดมั่น. เรียกว่าธรรมที่เรายกขึ้นมานั้น. ตั้งความเชื่อมั่นลงไป. เราจะใช้คำบริกรรมว่าพุทโธ. ต้องตั้งมั่นในคำว่า พุทโธ จริงๆ.

โอวาทธรรม สุธรรม สุธัมโม








#ภาวนาให้มันเห็นอย่างนี้

จิตเราจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในรูป ในเสียง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีอุปาทาน นั่งอยู่ก็สบาย นอนอยู่ก็สบาย ชื่อว่าเป็นจิตวิเวก นั่งอยู่กุฏิก็สบาย นั่งอยู่ในร่มไม้ก็สบาย ไม่ต้องไปภูไปเขา ไปภูไปเขาแล้วธรรมะไม่เกิดไม่รู้ มันก็เดินไม่หยุด

ที่อาตมาว่า “#หมาหลังบาด”

อาจารย์มั่นท่านเทศน์พวกนี้พวกหมาหลังบาด นั่งอยู่นี่กิเลสมันมาหา ว่ามันไม่สบาย ไปอยู่นั่นมันคงสบายก็ไป ไปตลอดปีจนกลับมา เมื่อยังไม่เห็นเกิดเห็นดับก็ชื่อว่าธรรมะยังไม่เกิดกับตนเองอย่างนั้นแหละ

นี่แหละเรามาภาวนาเพื่อรู้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้จิตเรายังเป็นวิปลาส คือ จิตยังไม่รู้ว่ารูปอันนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เรามาถือว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่ ตัวเวทนาก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่เขา เรามายึดเอาเวทนาว่าเป็นตัวเป็นตน เรายังเห็นผิดจึงว่าวิปลาส จิตยังไม่เข้าถึงธรรม

#เหตุนั้นแหละพวกเราทุกคนให้ภาวนาให้มันเห็นภายนอกคือร่างกาย และเห็นภายใน ตับ ไต ไส้ พุง ให้มันเห็นหมดทุกส่วนภายใน เพ่งจนมันรู้ เมื่อยังไม่รู้ กรรมฐานยังไม่เกิด เพ่งจนแจ้งประจักษ์ วางลง ปลงลง

แต่โยมบางคนภาวนาเห็นนะ เห็นรูปร่างมีหนอนเต็ม แต่เขาไม่รู้ทางออก เมื่อผู้มีปัญญาเห็นแล้วก็ต้องเพ่งให้มันแจ้งประจักษ์ในดวงจิตปลงแล้วก็หาตัว ตัวที่มันรู้ อันไหนเป็นตัวรู้ ตัวรู้อยู่ที่นี่ อันนี้เป็นตัวรูป อันนี้เป็นตัวนาม

#เพ่งแล้วปลงออกๆ จนจิตมันถอนออกๆ จนความยึดมั่นถือมั่นเราไม่มี สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าสัญญา สังขาร วิญญาณ ปลงอยู่อย่างนั้น...

#ศาสนาอื่นนั้นไม่ได้สอนถึงพระนิพพาน สอนแต่ว่าตั้งตนอยู่ในความดี เลี้ยงชีวิตดี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แค่นี้เป็นธรรมอันยังไม่พ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมอันพ้นทุกข์

หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
วัดป่าปทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร









" ความสบายใจที่จะเกิด
จากความปลงใจเชื่อใน
เรื่องกรรม และการให้ผล
ของกรรมนั้นใหญ่ยิ่งมาก

เรื่องของกรรมจึงลํ้าลึก
เข้าใจยากนักหนา ถ้า
เข้าใจแม้เพียงพอสมควร
ก็จะได้ความสบายใจ
กว่าไม่เข้าใจเสียเลย

ความไม่เข้าใจเรื่องกรรม
และการให้ผลของกรรม
มีโทษสถานเดียวไม่มีคุณเลย

ไม่ว่าจะเป็นกรรม
ของตัวเอง หรือกรรม
ของผู้อื่นก็ตาม "

พระโอวาทธรรม
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช
พระองค์ที่ 19









"กัมมุนา วัตตะตี โลโก"

" โลก คือหมู่สัตว์ กรรม
ย่อมจำแนกตกแต่งให้
ฉลาดโง่เขลา เบาปัญญา
อายุสั้นพลันตาย หรืออายุ
ยืนยาว ไม่เหมือนกัน ร่ำ
รวย สวย จน ก็ไม่เหมือนกัน

เพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่ง
ให้ ไม่ใช่สิ่งใดดอกที่จะ
ตกแต่งให้ มีแต่กรรมเท่านั้น "

โอวาทธรรม
หลวงปู่จันทา ถาวโร








" ต่อไปนี้ ต้องเข้าวัด
ฟังธรรมทุกวันนะ จำไว้
ที่พึ่งของเรา มี
พุทโธ พระพุทธเจ้า
ธัมโม พระธรรม
สังโฆ พระอริยสงฆ์
ต้องกราบทุกวัน
ที่พึ่งของเรามีเท่านี้
นอกนั้นพึ่งไม่ได้

พุทโธ-ธัมโม-สังโฆ
รวมลงแล้วเป็น "พุทโธ"
คำเดียว "พุทธะ" คือ "ผู้รู้"
ให้กราบทุกๆวัน กราบแล้ว
จะไปไหน ก็ต้องระลึก
อยู่ในใจของเรา

ต้องเข้าวัดดูจิตใจของเรา
เพ่งดู พุทโธ พุทโธ วัดดู
ทุกวันๆ ถ้าไม่ได้วัด ขาด
วันสองวันก็ไม่ได้ ต้องวัด
อยู่เสมอ นั่งก็ให้วัด นอน
ก็ให้วัด ยืนก็ให้วัด เดินก็ให้วัด

วัดเพื่อเหตุใด ให้มันรู้ไว้
วัดแล้วเราเห็นว่า อ้อ จิตใจ
เราดี นั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี
ไปไหนๆก็ดี ไม่มีภัย
ไม่มีเวร ไม่มีความชั่ว
ไม่มีอันตราย มันก็ดี
ถ้าเราไม่วัด มันก็ไม่รู้จัก
มันมืดครือกลางคืนนี้

จำไว้ "พุทโธ ธัมโม สังโฆ"
ทำอะไรๆ ก็ "พุทโธ"
กลัวก็ "พุทโธ"
ใจไม่ดีก็ "พุทโธ"
ขี้เกียจก็ "พุทโธ" "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร