วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2020, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้เจอคำถามแปลกๆ

ถามว่าคุณได้นั่งสมาธิบ้างมั้ย ได้ยินว่าปฏิบัติธรรม

ก็ตอบว่าตอนเด็กๆ ก็นั่งบ่อย สองวันก่อนก็นั่ง แต่ปกติไม่ค่อยได้นั่ง
ก็ใช้ชีวิตตามปกติ

แล้วก็ถูกถามต่อไปว่านั่งสมาธิได้อะไร
ก็เลยตอบว่าได้ความสงบ

แล้วก็เจอคำถามที่สองว่า คุณเคยได้ฌานมั้ย
เจอคำถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะผู้ถามก็เป็นผู้ใหม่มาก

จึงตอบไปว่าถ้าจะไปถึงความสงบระดับนั้นก็คงไม่
แต่ความสงบทั่วๆไปก็มีตามปกติ
และเสริมไปว่า เราไม่ใช่นักบวชที่จำเป็นต้องเจริญความสงบให้ถึงระดับนั้น
ก็ศึกษาธรรมะ ฟังธรรม พิจารณาให้เกิดความเข้าใจความจริง ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นคำถามที่แปลกมากไม่เคยถูกถามมาก่อน ถามว่าเคยได้ฌานมั้ย
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ ที่ไม่รู้พระธรรมแท้ๆ
จะมุ่งสนใจในสิ่งที่ไกลตัวและไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ไม่ได้สนใจความจริงแท้ๆที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า
ไม่สนใจสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นธรรมะแต่ละอย่างที่ควรพิจารณายิ่ง แต่กลับไปสนใจเรื่องสมาธิ เรื่องฌานซึ่งเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งผู้ถามก็ไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร ฌานคืออะไร

ไม่ทราบว่าการเจริญความสงบหรือสมถะเป็นสิ่งที่เจริญให้ถึงอัปนาคือแนบแน่นได้ยาก โดยเฉพาะในเพศคฤหัสถ์ที่เป็นผู้บริโภคกาม เป็นผู้ที่ติดข้องในกามคุณ แสวงหาสาระจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ อยู่เป็นนิจ เป็นผู้มากด้วยนิวรณ์ จะเจริญให้ได้แม้ปฐมฌานไม่ใช่ของง่ายเลย แม้อุปจารสมาธิก็ไม่ง่าย ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น สัปปายะ อารมณ์ของสมถะ การรู้จักความต่างของกุศลจิต อกุศลจิต รู้จักนิวรณ์ คือต้องมีปัญญามาก ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วจะเจริญความสงบจนเกิดฌานได้

การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงควรเริ่มจากการมีความเข้าใจเบื้องต้น คือสัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้กุศลประการต่างๆเจริญขึ้น และไม่ไปผิดทาง และต้องรู้ก่อนเลยว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร อยู่ในเพศคฤหัสถ์ หรือเป็นนักบวช ถ้าเป็นคฤหัสถ์ อารมณ์สมถะที่ควรคืออะไร แล้วเจริญได้ถึงความสงบระดับไหน รู้อัธยาศัยของตนเอง ว่ายังใคร่ในกามอยู่มาก หรือเป็นผู้หลีกออกจากกาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2020, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
วันนี้เจอคำถามแปลกๆ

ถามว่าคุณได้นั่งสมาธิบ้างมั้ย ได้ยินว่าปฏิบัติธรรม

ก็ตอบว่าตอนเด็กๆ ก็นั่งบ่อย สองวันก่อนก็นั่ง แต่ปกติไม่ค่อยได้นั่ง
ก็ใช้ชีวิตตามปกติ

แล้วก็ถูกถามต่อไปว่านั่งสมาธิได้อะไร
ก็เลยตอบว่าได้ความสงบ

แล้วก็เจอคำถามที่สองว่า คุณเคยได้ฌานมั้ย
เจอคำถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะผู้ถามก็เป็นผู้ใหม่มาก

จึงตอบไปว่าถ้าจะไปถึงความสงบระดับนั้นก็คงไม่
แต่ความสงบทั่วๆไปก็มีตามปกติ
และเสริมไปว่า เราไม่ใช่นักบวชที่จำเป็นต้องเจริญความสงบให้ถึงระดับนั้น
ก็ศึกษาธรรมะ ฟังธรรม พิจารณาให้เกิดความเข้าใจความจริง ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นคำถามที่แปลกมากไม่เคยถูกถามมาก่อน ถามว่าเคยได้ฌานมั้ย
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ ที่ไม่รู้พระธรรมแท้ๆ
จะมุ่งสนใจในสิ่งที่ไกลตัวและไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ไม่ได้สนใจความจริงแท้ๆที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า
ไม่สนใจสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นธรรมะแต่ละอย่างที่ควรพิจารณายิ่ง แต่กลับไปสนใจเรื่องสมาธิ เรื่องฌานซึ่งเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งผู้ถามก็ไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร ฌานคืออะไร

ไม่ทราบว่าการเจริญความสงบหรือสมถะเป็นสิ่งที่เจริญให้ถึงอัปนาคือแนบแน่นได้ยาก โดยเฉพาะในเพศคฤหัสถ์ที่เป็นผู้บริโภคกาม เป็นผู้ที่ติดข้องในกามคุณ แสวงหาสาระจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ อยู่เป็นนิจ เป็นผู้มากด้วยนิวรณ์ จะเจริญให้ได้แม้ปฐมฌานไม่ใช่ของง่ายเลย แม้อุปจารสมาธิก็ไม่ง่าย ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น สัปปายะ อารมณ์ของสมถะ การรู้จักความต่างของกุศลจิต อกุศลจิต รู้จักนิวรณ์ คือต้องมีปัญญามาก ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วจะเจริญความสงบจนเกิดฌานได้

การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงควรเริ่มจากการมีความเข้าใจเบื้องต้น คือสัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้กุศลประการต่างๆเจริญขึ้น และไม่ไปผิดทาง และต้องรู้ก่อนเลยว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร อยู่ในเพศคฤหัสถ์ หรือเป็นนักบวช ถ้าเป็นคฤหัสถ์ อารมณ์สมถะที่ควรคืออะไร แล้วเจริญได้ถึงความสงบระดับไหน รู้อัธยาศัยของตนเอง ว่ายังใคร่ในกามอยู่มาก หรือเป็นผู้หลีกออกจากกาม


คุณปฤษฎีก็ตอบตามแบบฉบับของแม่สุจิน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2020, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามมีว่าคุณเคยได้ฌานไหม
คำตอบ คือเคยได้มาแล้วทั้งนั้น พระพุทธเจ้ารับรองด้วยว่า
ใน ๓๑ ภพภูมิเราเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้นยกเว้น ๕ ภูมิ คือสุทธาวาสภูมิ
เป็นภูมิของพระอริยะเจ้าเท่านั้นที่เราไม่เคยเกิด ก็แสดงรูปพรหม อรูปพรหมเราก็เคยเกิด
ก็แสดงให้เห็นว่า ฌาน ชั้นไหนๆเราก็ต้องเคยได้มาแล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2020, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางแบบให้ทัศนากันค่อยๆอ่านทำความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วลงมือทำ เพราะเป็นภาคปฏิบัติเพื่อให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น




คำว่า สมถะ ก็ดี คำว่า ฌาน ก็ดี ก็คือสมาธินี่แหละ

สมถะ แปลง่ายๆว่า ความสงบ แต่ที่ใช้ทั่วไป หมายถึงวิธีทำใจให้สงบ ขยายความว่า ได้แก่ ข้อปฏิบัติต่างๆ ในการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ จนตั้งมั่นเป็นสมาธิ ถึงขั้นได้ฌานระดับต่างๆ จุดมุ่งหมายของสมถะคือสมาธิ ซึ่งหมายเอาสมาธิขั้นสูงที่ทำให้เกิดฌาน

หลักการของสมถะ คือ กำหนดใจไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เรียกว่า อารมณ์) ให้แน่วแน่จนจิตน้อมดิ่งอยู่ในสิ่งนั้นสิ่งเดียว (เรียกกันว่า จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง หรือจิตมีอารมณ์อันเดียว) ความแน่วแน่ หรือตั้งมั่นของจิตนี้เรียกว่า "สมาธิ"

เมื่อสมาธิแนบสนิทเต็มที่แล้ว ก็จะเกิดภาวะจิตที่เรียกว่า “ฌาน” ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่างๆ
ระดับที่กำหนดเอารูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกว่า รูปฌาน หรือเรียกง่ายๆว่า ฌาน มี ๔ ขั้น
ระดับที่กำหนดอรูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกว่า อรูปฌาน มี ๔ ขั้น
ทั้งรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ เรียกรวมกันว่า สมาบัติ (๘)

ภาวะจิตในฌานนั้น เป็นภาวะที่สุขสงบผ่องใส ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัว ไม่มีสิ่งรบกวนให้สะดุดหรือติดข้องอย่างใดๆ เรียกว่า ปราศจากนิวรณ์ ท่านอนุโลมเรียกว่า เป็นความหลุดพ้นจากกิเลสตลอดเวลาที่ยังอยู่ในฌานนั้น (ท่านเรียกว่า เป็นวิกขัมภนนิโรธ หรือวิกขัมภนวิมุตติ)

อย่างไรก็ดี เมื่อใช้อย่างหลวมๆ หรือพูดอย่างกว้างๆ สมถะ ก็คือ การทำใจให้สงบ หรือการทำจิตให้เป็นสมาธิ และบางคราวก็หมายถึงตัวสมาธินั่นเอง

ว่าตามความจริง ความหมายของสมถะที่ว่า คือตัวสมาธินี้แหละ เป็นความหมายที่ตรงตามหลักวิชาทั้งฝ่ายอภิธรรม และฝ่ายพระสูตร * เพราะไม่ว่าจะเจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติหรืออภิญญา เป็นผลสำเร็จสูงพิเศษเพียงใดก็ตาม เนื้อแท้ของสมถะ หรือตัวสมถะ หรือแก่นของสมถะที่ให้ผลเช่นนั้น ก็คือสมาธินั่นเอง

อ้างอิงที่ *

* ทางฝ่ายอภิธรรม เช่น อภิ.สํ.34/253/96; 223/90; 206/85 เป็นต้น ทาง ฝ่ายพระสูตร เช่น องฺ.ทุก. 20/275/77 อธิบายใน องฺ.อ.2/33 และในองฺ.ฉกฺก. 22/325/418 เมื่อกล่าวถึงอินทรีย์ ๕ ท่านใช้คำ ว่า สมถะ แทนสมาธิ และวิปัสสนา แทนปัญญา โดยตรงทีเดียว (เป็นสัทธา สติ วิริยะ สมถะ วิปัสสนา แทนที่จะเป็น สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อย่างในความร้อยแก้วตามปกติ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2020, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาความหมายวิปัสสนาบ้าง สังเกตดีๆ

วิปัสสนา แปลง่ายๆว่า การเห็นแจ้ง หรือวิธีทำให้เกิดการเห็นแจ้ง หมายถึงข้อปฏิบัติต่างๆ ในการฝึกฝนอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดสิ่งทั้งหลายตรงต่อสภาวะของมัน คือให้เข้าใจตามความเป็นจริง หรือตามที่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นของมันเอง (ไม่ใช่เห็นไปตามที่เราวาดภาพให้มันเป็น ด้วยความชอบ ความชัง ความอยากได้ หรือความขัดใจ ของเรา) รู้แจ้งชัดเข้าใจจริง จนถอนความหลงผิด รู้ผิด และยึดติดในสิ่งทั้งหลายได้ ถึงขั้นเปลี่ยนท่าที่ต่อโลกและชีวิตใหม่ ทั้งท่าทีแห่งการมอง การรับรู้ การวางจิตใจ และความรู้สึกทั้งหลาย

ความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ที่เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างการปฏิบัตินั้น เรียกว่า ญาณ มีหลายระดับ ญาณสำคัญในขั้นสุดท้ายเรียกว่า วิชชา เป็นภาวะตรงข้ามที่กำจัดอวิชชา คือความหลงผิดไม่รู้แจ้งไม่รู้จริงให้หมดไป

ภาวะจิตที่มีญาณหรือวิชชานั้น เป็นภาวะที่สุขสงบผ่องใส และเป็นอิสระ เพราะลอยตัวพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส เช่น ความชอบความชัง ความติดใจและความขัดใจ เป็นต้น ไม่ถูกบังคับ หรือชักจูงโดยกิเลสเหล่านั้น ให้มองเห็นหรือรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างบิดเบือน จนพาความคิดและการกระทำที่ติดตามมา ให้เห็นเหเฉไป และไม่ต้องเจ็บปวด หรือเร่าร้อน เพราะถูกบีบคั้นหรือต่อสู้กับ กิเลสเหล่านั้น ญาณและวิชชา จึงเป็นจุดมุ่งของวิปัสสนา เพราะนำไปสู่วิมุตติ คือความหลุดพ้นเป็นอิสระที่แท้จริง ซึ่งยั่งยืนถาวร (ท่านเรียกว่า สมุจเฉทนิโรธ หรือสมุจเฉทวิมุตติ แปลว่า ดับกิเลส หรือ หลุดพ้นโดยเด็ดขาด)

ถ้าพูดอย่างรวบรัด ก็ว่า ผลที่มุ่งหมายของสมถะ คือฌาน ผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา คือญาณ หรือว่าสมถะนำไปสู่ฌาน* วิปัสสนานำไปสู่ญาณ

ผู้ปฏิบัติสมถะ (สำนวนแบบเรียกว่า บำเพ็ญ หรือเจริญสมถะ) อาจทำแต่สมถะอย่างเดียว โดยมุ่งหวังจะชื่นชมเสพผลของสมถะ คือฌานสมาบัติ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับวิปัสสนาเลยก็ได้ เรียกว่าหยุดเพียงขั้นสมถะ ไม่ก้าวถึงขั้นปัญญา

ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ต้องอาศัยสมถะไม่มากก็น้อย คือ อาจเจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติก่อนแล้ว จึงก้าวต่อไปสู่วิปัสสนา คือ เอาฌานเป็นบาทของวิปัสสนา (เรียกว่าเจริญวิปัสสนา ที่มีฌานเป็น บาท) ก็ได้ อาจเริ่มเจริญวิปัสสนาไปก่อนแล้ว จึงเจริญสมถะตามหลัง ก็ได้ หรืออาจเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน ก็ได้

แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจริญวิปัสสนาอย่างเดียวล้วน (สุทธวิปัสสนายานิก) ไม่อาศัยสมถะเลย ก็หมายถึงไม่อาศัยสมถะในความหมายโดยนิปริยาย หรือความหมายจำเพาะที่เคร่งครัด คือไม่ได้ทำสมถะจนได้ฌานสมาบัติก่อนเจริญวิปัสสนา แต่ตามความเป็นจริงก็อาศัยสมถะในความหมายอย่างกว้างๆ คือ อาศัยสมาธินั่นเอง สมาธิของผู้เจริญวิปัสสนาแบบนี้ อาจเริ่มต้นด้วยขณิกสมาธิ ก็ได้ แต่เมื่อถึงขณะที่บรรลุมรรคผล สมาธินั้นจะแน่วแน่สนิท (เป็นอัปปนาสมาธิ) ถึงระดับปฐมฌาน

อ้างอิง *

* ที่พูดว่า สมถะอาจให้ได้อภิญญา ๕ ซึ่งได้แก่ญาณต่างๆพวกหนึ่ง นั้น ความจริงก็ต้องให้ได้ฌานก่อนแล้วจึงน้อมจิตที่เป็นสมาธิพร้อมดี ด้วยกำลังฌานนั้นไปเพื่อได้ญาณจำพวกอภิญญาอีกต่อหนึ่ง ถ้าพูดให้เคร่งครัด จึงต้องว่า สมถะ (ล้วนๆ) จบหรือสิ้นสุดลงเพียงแค่ ฌาน...) ดู วิสุทธิ. ฎีกา 3/647-8



ความที่ชี้แจงตอนนี้ ยังสัมพันธ์กับเรื่องเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2020, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางตย.ของผู้ปฏิบัติไว้ก่อนสักสาม ตย.

ใครติดอยู่ที่สมาธิลมหายใจดับสนิทบ้างครับ

ผมนั่งสมาธิแบบอานาปานสติ กำหนดดูลมหายใจ เข้า ออก ภาวนาพุทธโธ เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกจิตดำดิ่งในสมาธิ จิตจะละคำภาวนาไปเอง อยู่กับสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สักพักลมหายใจจะละเอียด แผ่วเบา จนดับสนิท ร่างกายไม่หายใจอีกต่อไป เป็นแบบนี้ได้ประมาณ 1-2 ชม. (ผมลองทดสอบตอนไม่ได้นั่งสมาธิ กั้นลมหายใจดู ได้เต็มที่ไม่เกิน 1-2 นาที ร่างกายต้องรีบหายใจนำลมเข้าไป)
เมื่อลมหายใจดับสนิท จิตสงบมากๆ บางครั้งเกิดดวงสว่างจ้า บางครั้งมืดสนิท บางครั้งลอยเวิ้งว้าง กลางจักรวาลนิ่ง สงบ กว้างใหญ่ไพศาล (จิตนะครับไม่ใช่กาย)
ท่านผู้ปฏิบัติ มีวิธีใดให้ผ่านขั้นนี้ เพื่อความก้าวหน้าของสมาธิครับ

ปล. ผมเป็นวิศวกรไม่ใช่นักบวช ตอนนี้นั่งสมาธิได้เต็มที่แค่วันละ 2 ชม. ขอถามนักปฏิบัติไม่เอาตามตำรานะครับ เพราะการปฏิบัติกับคนอ่านตำรา มันเห็นไม่เหมือนปฏิบัติเองครับ ขอบคุณครับ


ทำไมนั่งสมาธิไปนานๆแล้วเหมือนเราไม่ได้หายใจคะ

สงสัยค่ะ ว่าทำไมเวลานั่งสมาธิไปสักพัก เราจะรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้หายใจ หรือบางครั้งก็หายใจแผ่วมากๆ
พอรู้สึกตัว เราจะชอบลืมตา แล้วเลิกนั่งไป

ถ้าเป็นแบบนี้ ควรทำไงต่อดีคะ หรือนั่งไปเรื่อยๆแบบนั้น คือ กลัวว่าหัวใจจะหยุดเต้น


นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2020, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้นั่งสมาธิ
แต่ทรงแสดงความจริงที่กำลังมี
ตรงปัจจุบันที่ไม่เคยคิดได้
คือสอนธัมมะที่มีแล้ว
เดี๋ยวนี้มีแล้วจริงๆ
ไม่ได้ทำเข้าใจมั๊ย
ทรงสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงตามปกติเป็นปกติ
ทรงบอกว่าอดีตผ่านแล้วอนาคตมาไม่ถึงมีแต่เดี๋ยวนี้ที่จะคิดตามได้ตรงปัจจุบัน
ถ้าเริ่มต้นฟังไม่เข้าใจรึ/คิดดีๆสิก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีศาสนาพรามณ์นั่งสมาธิมาก่อน
:b16:
:b12: :b12:
ลองฟังแล้วพิจารณาตามปกติของคนที่รู้แล้วว่าเป็นคนที่สามารถคิดตามได้ตามปกติ
เพราะการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจและรอบรู้คำของพระองค์ทุกคำก่อนตายนะจ๊ะ
https://youtu.be/cxZysuG1zZo
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2020, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้นั่งสมาธิ
แต่ทรงแสดงความจริงที่กำลังมี
ตรงปัจจุบันที่ไม่เคยคิดได้
คือสอนธัมมะที่มีแล้ว
เดี๋ยวนี้มีแล้วจริงๆ
ไม่ได้ทำเข้าใจมั๊ย
ทรงสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงตามปกติเป็นปกติ
ทรงบอกว่าอดีตผ่านแล้วอนาคตมาไม่ถึงมีแต่เดี๋ยวนี้ที่จะคิดตามได้ตรงปัจจุบัน
ถ้าเริ่มต้นฟังไม่เข้าใจรึ/คิดดีๆสิก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีศาสนาพรามณ์นั่งสมาธิมาก่อน
:b16:
:b12: :b12:
ลองฟังแล้วพิจารณาตามปกติของคนที่รู้แล้วว่าเป็นคนที่สามารถคิดตามได้ตามปกติ
เพราะการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจและรอบรู้คำของพระองค์ทุกคำก่อนตายนะจ๊ะ
https://youtu.be/cxZysuG1zZo
:b12:
:b4: :b4:



นี่แม่สุจิน ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าไตรสิกขา เห็นสมาธิไหม ก็ในมรรคมีองค์ 8 นั่นแหละ แต่ท่านย่อเป็นภาคปฏิบัติเป็นไตรสิกขา

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา
สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์
ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อวิชชา

เรื่องก็มีอยู่แค่นี้เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2020, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วางตย.ของผู้ปฏิบัติไว้ก่อนสักสาม ตย.

ใครติดอยู่ที่สมาธิลมหายใจดับสนิทบ้างครับ

ผมนั่งสมาธิแบบอานาปานสติ กำหนดดูลมหายใจ เข้า ออก ภาวนาพุทธโธ เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกจิตดำดิ่งในสมาธิ จิตจะละคำภาวนาไปเอง อยู่กับสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สักพักลมหายใจจะละเอียด แผ่วเบา จนดับสนิท ร่างกายไม่หายใจอีกต่อไป เป็นแบบนี้ได้ประมาณ 1-2 ชม. (ผมลองทดสอบตอนไม่ได้นั่งสมาธิ กั้นลมหายใจดู ได้เต็มที่ไม่เกิน 1-2 นาที ร่างกายต้องรีบหายใจนำลมเข้าไป)
เมื่อลมหายใจดับสนิท จิตสงบมากๆ บางครั้งเกิดดวงสว่างจ้า บางครั้งมืดสนิท บางครั้งลอยเวิ้งว้าง กลางจักรวาลนิ่ง สงบ กว้างใหญ่ไพศาล (จิตนะครับไม่ใช่กาย)
ท่านผู้ปฏิบัติ มีวิธีใดให้ผ่านขั้นนี้ เพื่อความก้าวหน้าของสมาธิครับ

ปล. ผมเป็นวิศวกรไม่ใช่นักบวช ตอนนี้นั่งสมาธิได้เต็มที่แค่วันละ 2 ชม. ขอถามนักปฏิบัติไม่เอาตามตำรานะครับ เพราะการปฏิบัติกับคนอ่านตำรา มันเห็นไม่เหมือนปฏิบัติเองครับ ขอบคุณครับ


ทำไมนั่งสมาธิไปนานๆแล้วเหมือนเราไม่ได้หายใจคะ

สงสัยค่ะ ว่าทำไมเวลานั่งสมาธิไปสักพัก เราจะรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้หายใจ หรือบางครั้งก็หายใจแผ่วมากๆ
พอรู้สึกตัว เราจะชอบลืมตา แล้วเลิกนั่งไป

ถ้าเป็นแบบนี้ ควรทำไงต่อดีคะ หรือนั่งไปเรื่อยๆแบบนั้น คือ กลัวว่าหัวใจจะหยุดเต้น


นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย



ตัวอย่างที่ยกมานี่ปฏิบัติไม่ผิดหรอก :b32: แต่ว่าเขาไม่เข้าใจตัวเขาเอง (พูดภาษาชาวบ้านว่า ไม่เข้าใจตัวเอง ถ้าพูดภาษาธรรม ก็ว่าไม่เข้าใจรูปนาม ซึ่งมันเป็นยังงั้นตามธรรมดาของมัน) เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติพึงอ่านทำความเข้าใจหลักวิปัสสนาข้างบนให้เข้าใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2020, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
วันนี้เจอคำถามแปลกๆ

ถามว่าคุณได้นั่งสมาธิบ้างมั้ย ได้ยินว่าปฏิบัติธรรม

ก็ตอบว่าตอนเด็กๆ ก็นั่งบ่อย สองวันก่อนก็นั่ง แต่ปกติไม่ค่อยได้นั่ง
ก็ใช้ชีวิตตามปกติ

แล้วก็ถูกถามต่อไปว่านั่งสมาธิได้อะไร
ก็เลยตอบว่าได้ความสงบ

แล้วก็เจอคำถามที่สองว่า คุณเคยได้ฌานมั้ย
เจอคำถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะผู้ถามก็เป็นผู้ใหม่มาก

จึงตอบไปว่าถ้าจะไปถึงความสงบระดับนั้นก็คงไม่
แต่ความสงบทั่วๆไปก็มีตามปกติ
และเสริมไปว่า เราไม่ใช่นักบวชที่จำเป็นต้องเจริญความสงบให้ถึงระดับนั้น
ก็ศึกษาธรรมะ ฟังธรรม พิจารณาให้เกิดความเข้าใจความจริง ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นคำถามที่แปลกมากไม่เคยถูกถามมาก่อน ถามว่าเคยได้ฌานมั้ย
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ ที่ไม่รู้พระธรรมแท้ๆ
จะมุ่งสนใจในสิ่งที่ไกลตัวและไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ไม่ได้สนใจความจริงแท้ๆที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า
ไม่สนใจสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นธรรมะแต่ละอย่างที่ควรพิจารณายิ่ง แต่กลับไปสนใจเรื่องสมาธิ เรื่องฌานซึ่งเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งผู้ถามก็ไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร ฌานคืออะไร

ไม่ทราบว่าการเจริญความสงบหรือสมถะเป็นสิ่งที่เจริญให้ถึงอัปนาคือแนบแน่นได้ยาก โดยเฉพาะในเพศคฤหัสถ์ที่เป็นผู้บริโภคกาม เป็นผู้ที่ติดข้องในกามคุณ แสวงหาสาระจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ อยู่เป็นนิจ เป็นผู้มากด้วยนิวรณ์ จะเจริญให้ได้แม้ปฐมฌานไม่ใช่ของง่ายเลย แม้อุปจารสมาธิก็ไม่ง่าย ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น สัปปายะ อารมณ์ของสมถะ การรู้จักความต่างของกุศลจิต อกุศลจิต รู้จักนิวรณ์ คือต้องมีปัญญามาก ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วจะเจริญความสงบจนเกิดฌานได้

การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงควรเริ่มจากการมีความเข้าใจเบื้องต้น คือสัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้กุศลประการต่างๆเจริญขึ้น และไม่ไปผิดทาง และต้องรู้ก่อนเลยว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร อยู่ในเพศคฤหัสถ์ หรือเป็นนักบวช ถ้าเป็นคฤหัสถ์ อารมณ์สมถะที่ควรคืออะไร แล้วเจริญได้ถึงความสงบระดับไหน รู้อัธยาศัยของตนเอง ว่ายังใคร่ในกามอยู่มาก หรือเป็นผู้หลีกออกจากกาม


ก็คือคำถามที่ถามว่าบรรลุธรรมขั้นไหนนั่นเองครับ

ถ้าบอกว่าได้ อาจจะโดนคำถามให้แสดงวิชาให้ปรากฏ เช่นเอาสายสิญมาเผาไฟแล้วไม่ใหม้ไฟอะไรแบบนี้ หรือทำอะไรให้ปรากฏ

คำถามคือนั่งสมาธิแล้วได้อะไร
มันได้หลายอย่าง มากกว่าความสงบ คือ
-ได้เวลาของเราไปแต่ละวัน อาจจะ10นาที 1 ชั่วโมง ก็ว่ากันไป
-ได้การน้อมใจ คือกว่าจะดึงตัวเองให้นั่งสมาธิคือให้เริ่มลงมือกระทำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนทำทุกวัน บางคนก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง บางคนบอกทำสมัยเป็นเด็ก ตอนนี้ไม่ทำแล้ว แสดงว่า การน้อมใจจะทำนั้นไม่ปะติดปะต่อ ตัวที่จะเริ่มนั้นยังอ่อนแรงอยู่ หรือจิตยังไม่แน่วแน่

ความสงบมีความสงบลงของกิเลส หรือความระงับของกายสังขาร เป็นได้ทั้งสองอย่าง

ญาณนั้นถ้าถามว่าเห็นอดีตตัวเองอะไรแบบนั้นคิดว่าน้อยคนในโลกนี้ได้ ยกเว้นเกิดมาจำอดีตชาติได้เอง แต่เกิดมาจำอะไรไม่ได้แล้วมานั่งสมาธิเพื่อให้ได้ญาณแบบนี้คงมีไม่กี่คนในโลกนี้หรืออาจจะไม่มีเลยในตอนนี้
ส่วนมากพุทธเราก็ได้ญาณวิปัสสนาครับ คือการที่เห็นการเกิดดับของนามรูป เป็นอย่างแรกๆ แบบนี้ในเมืองไทยมีเยอะครับ ซึ่งสูงกว่านี้ก็มีเยอะ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2020, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าคนเคยเรียนตำราอภิธรรม เขาจะแบ่งจิตออกเป็น 4 ขั้น หรือ 4 ภูมิ คือ

1.กามภูมิ (กามาวจรจิต)
2.รูปภูมิ (รูปาวจรจิต)
3.อรูปภูมิ (อรูปาวจรจิต)
4.โลกุตรภูมิ

ขั้นหรือภูมิหมายถึงระดับของจิตที่ถูกพัฒนาขึ้นไป
ปกติคนทั่วๆไปก็ใช้จิตในขั้นกามภูมิ (ทำนั่นนี่คิดนั่นนี่) ซึ่งมีทั้งอกุศลจิต กุศลจิต ซึ่งบางขณะก็เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศลแล้วแต่อารมณ์ที่รับเข้ามาทางตาทางหู เป็นต้น
แต่จะให้เลยไปถึงขั้นรูปภูมิ อรูปภูมิ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขาดการฝึกฝนอบรมจิต ยิ่งขั้นโลกุตรภูมิด้วยแล้วปิดประตูเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2020, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้นั่งสมาธิ
แต่ทรงแสดงความจริงที่กำลังมี
ตรงปัจจุบันที่ไม่เคยคิดได้
คือสอนธัมมะที่มีแล้ว
เดี๋ยวนี้มีแล้วจริงๆ
ไม่ได้ทำเข้าใจมั๊ย
ทรงสอนให้รู้จักตนเอง
ตามเป็นจริงตามปกติเป็นปกติ
ทรงบอกว่าอดีตผ่านแล้วอนาคตมาไม่ถึงมีแต่เดี๋ยวนี้ที่จะคิดตามได้ตรงปัจจุบัน
ถ้าเริ่มต้นฟังไม่เข้าใจรึ/คิดดีๆสิก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีศาสนาพรามณ์นั่งสมาธิมาก่อน
:b16:
:b12: :b12:
ลองฟังแล้วพิจารณาตามปกติของคนที่รู้แล้วว่าเป็นคนที่สามารถคิดตามได้ตามปกติ
เพราะการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจและรอบรู้คำของพระองค์ทุกคำก่อนตายนะจ๊ะ
https://youtu.be/cxZysuG1zZo
:b12:
:b4: :b4:



นี่แม่สุจิน ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ :b1:

พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าไตรสิกขา เห็นสมาธิไหม ก็ในมรรคมีองค์ 8 นั่นแหละ แต่ท่านย่อเป็นภาคปฏิบัติเป็นไตรสิกขา

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา
สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์
ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อวิชชา

เรื่องก็มีอยู่แค่นี้เอง

:b32:
พระพุทธเจ้าแจกแจงธัมมะไว้หมดแล้วโดยละเอียด
เป็นแต่ละ1ตัวจริงธัมมะไม่ซ้ำและนับไม่ถ้วนไม่ได้ทำมีแล้ว
:b32:
ยังไม่คิดอีกหรือ
ว่ามีคนจำนวนน้อยนิดที่ฟังคำสอนเข้าใจ
แล้วออกมาประกาศความจริงให้เข้าใจว่าไม่มีตัวกูของกู
มีแต่ธัมมะแต่ละ1ลักษณะที่กำลังมีกำลังเป็นตรงทุกคำในพระไตรปิฏกเดี๋ยวนี้...ไม่ได้ทำๆๆๆๆ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2020, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้าคนเคยเรียนตำราอภิธรรม เขาจะแบ่งจิตออกเป็น 4 ขั้น หรือ 4 ภูมิ คือ

1.กามภูมิ (กามาวจรจิต)
2.รูปภูมิ (รูปาวจรจิต)
3.อรูปภูมิ (อรูปาวจรจิต)
4.โลกุตรภูมิ

ขั้นหรือภูมิหมายถึงระดับของจิตที่ถูกพัฒนาขึ้นไป
ปกติคนทั่วๆไปก็ใช้จิตในขั้นกามภูมิ (ทำนั่นนี่คิดนั่นนี่) ซึ่งมีทั้งอกุศลจิต กุศลจิต ซึ่งบางขณะก็เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศลแล้วแต่อารมณ์ที่รับเข้ามาทางตาทางหู เป็นต้น
แต่จะให้เลยไปถึงขั้นรูปภูมิ อรูปภูมิ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขาดการฝึกฝนอบรมจิต ยิ่งขั้นโลกุตรภูมิด้วยแล้วปิดประตูเลย

:b32:
ไปยกคำไหนในพระไตรปิฏกมา
ก็กำลังมีกำลังเป็นครบทุกภพทุกภูมิ
มีแล้วไม่ได้ทำเป็นคนก็เป็นแล้วไม่ได้ทำ
เป็นตัวกูของกูก็เป็นแล้วไม่ได้ทำบอกให้ฟัง
เอาแต่ตัวกูของกูไปทำเพราะอยากได้อะไรให้ตัวกู
กูอยากทำกูอยากได้กูอยากเป็น...ลืมคิดว่ากูไม่ฟังกูเลยไม่เกิดปัญญา555
ก็บอกว่าตัวกูของกูมันไม่มี...ที่กำลังมีคือมีแต่ธัมมะแต่ละ1ที่กำลังเป็นไปตามคำตถาคตเดี๋ยวนี้
มันเป็นตัวกูของกูแล้วที่เอาตัวไปทำอยู่นั้นน่ะ...ไม่ฟังเลยแล้วจะรู้สึกตัวตรงตามคำสอนได้ไหมล่ะนั่นน่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2020, 05:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถ้าคนเคยเรียนตำราอภิธรรม เขาจะแบ่งจิตออกเป็น 4 ขั้น หรือ 4 ภูมิ คือ

1.กามภูมิ (กามาวจรจิต)
2.รูปภูมิ (รูปาวจรจิต)
3.อรูปภูมิ (อรูปาวจรจิต)
4.โลกุตรภูมิ

ขั้นหรือภูมิหมายถึงระดับของจิตที่ถูกพัฒนาขึ้นไป
ปกติคนทั่วๆไปก็ใช้จิตในขั้นกามภูมิ (ทำนั่นนี่คิดนั่นนี่) ซึ่งมีทั้งอกุศลจิต กุศลจิต ซึ่งบางขณะก็เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศลแล้วแต่อารมณ์ที่รับเข้ามาทางตาทางหู เป็นต้น
แต่จะให้เลยไปถึงขั้นรูปภูมิ อรูปภูมิ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขาดการฝึกฝนอบรมจิต ยิ่งขั้นโลกุตรภูมิด้วยแล้วปิดประตูเลย

:b32:
ไปยกคำไหนในพระไตรปิฏกมา
ก็กำลังมีกำลังเป็นครบทุกภพทุกภูมิ
มีแล้วไม่ได้ทำเป็นคนก็เป็นแล้วไม่ได้ทำ
เป็นตัวกูของกูก็เป็นแล้วไม่ได้ทำบอกให้ฟัง
เอาแต่ตัวกูของกูไปทำเพราะอยากได้อะไรให้ตัวกู
กูอยากทำกูอยากได้กูอยากเป็น...ลืมคิดว่ากูไม่ฟังกูเลยไม่เกิดปัญญา555
ก็บอกว่าตัวกูของกูมันไม่มี...ที่กำลังมีคือมีแต่ธัมมะแต่ละ1ที่กำลังเป็นไปตามคำตถาคตเดี๋ยวนี้
มันเป็นตัวกูของกูแล้วที่เอาตัวไปทำอยู่นั้นน่ะ...ไม่ฟังเลยแล้วจะรู้สึกตัวตรงตามคำสอนได้ไหมล่ะนั่นน่ะ
:b32: :b32:


บ่นไปเรื่อยเปื่อย :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2020, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถ้าคนเคยเรียนตำราอภิธรรม เขาจะแบ่งจิตออกเป็น 4 ขั้น หรือ 4 ภูมิ คือ

1.กามภูมิ (กามาวจรจิต)
2.รูปภูมิ (รูปาวจรจิต)
3.อรูปภูมิ (อรูปาวจรจิต)
4.โลกุตรภูมิ

ขั้นหรือภูมิหมายถึงระดับของจิตที่ถูกพัฒนาขึ้นไป
ปกติคนทั่วๆไปก็ใช้จิตในขั้นกามภูมิ (ทำนั่นนี่คิดนั่นนี่) ซึ่งมีทั้งอกุศลจิต กุศลจิต ซึ่งบางขณะก็เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศลแล้วแต่อารมณ์ที่รับเข้ามาทางตาทางหู เป็นต้น
แต่จะให้เลยไปถึงขั้นรูปภูมิ อรูปภูมิ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะขาดการฝึกฝนอบรมจิต ยิ่งขั้นโลกุตรภูมิด้วยแล้วปิดประตูเลย

:b32:
ไปยกคำไหนในพระไตรปิฏกมา
ก็กำลังมีกำลังเป็นครบทุกภพทุกภูมิ
มีแล้วไม่ได้ทำเป็นคนก็เป็นแล้วไม่ได้ทำ
เป็นตัวกูของกูก็เป็นแล้วไม่ได้ทำบอกให้ฟัง
เอาแต่ตัวกูของกูไปทำเพราะอยากได้อะไรให้ตัวกู
กูอยากทำกูอยากได้กูอยากเป็น...ลืมคิดว่ากูไม่ฟังกูเลยไม่เกิดปัญญา555
ก็บอกว่าตัวกูของกูมันไม่มี...ที่กำลังมีคือมีแต่ธัมมะแต่ละ1ที่กำลังเป็นไปตามคำตถาคตเดี๋ยวนี้
มันเป็นตัวกูของกูแล้วที่เอาตัวไปทำอยู่นั้นน่ะ...ไม่ฟังเลยแล้วจะรู้สึกตัวตรงตามคำสอนได้ไหมล่ะนั่นน่ะ
:b32: :b32:


สามตัวอย่างนี่ คุณโรส ไหนบอกสิเขาเป็นอะไร

อ้างคำพูด:
ใครติดอยู่ที่สมาธิลมหายใจดับสนิทบ้างครับ

ผมนั่งสมาธิแบบอานาปานสติ กำหนดดูลมหายใจ เข้า ออก ภาวนาพุทธโธ เมื่อจิตสงบ ความรู้สึกจิตดำดิ่งในสมาธิ จิตจะละคำภาวนาไปเอง อยู่กับสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สักพักลมหายใจจะละเอียด แผ่วเบา จนดับสนิท ร่างกายไม่หายใจอีกต่อไป เป็นแบบนี้ได้ประมาณ 1-2 ชม. (ผมลองทดสอบตอนไม่ได้นั่งสมาธิ กั้นลมหายใจดู ได้เต็มที่ไม่เกิน 1-2 นาที ร่างกายต้องรีบหายใจนำลมเข้าไป)
เมื่อลมหายใจดับสนิท จิตสงบมากๆ บางครั้งเกิดดวงสว่างจ้า บางครั้งมืดสนิท บางครั้งลอยเวิ้งว้าง กลางจักรวาลนิ่ง สงบ กว้างใหญ่ไพศาล (จิตนะครับไม่ใช่กาย)
ท่านผู้ปฏิบัติ มีวิธีใดให้ผ่านขั้นนี้ เพื่อความก้าวหน้าของสมาธิครับ

ปล. ผมเป็นวิศวกรไม่ใช่นักบวช ตอนนี้นั่งสมาธิได้เต็มที่แค่วันละ 2 ชม. ขอถามนักปฏิบัติไม่เอาตามตำรานะครับ เพราะการปฏิบัติกับคนอ่านตำรา มันเห็นไม่เหมือนปฏิบัติเองครับ ขอบคุณครับ


อ้างคำพูด:
ทำไมนั่งสมาธิไปนานๆแล้วเหมือนเราไม่ได้หายใจคะ

สงสัยค่ะ ว่าทำไมเวลานั่งสมาธิไปสักพัก เราจะรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้หายใจ หรือบางครั้งก็หายใจแผ่วมากๆ
พอรู้สึกตัว เราจะชอบลืมตา แล้วเลิกนั่งไป

ถ้าเป็นแบบนี้ ควรทำไงต่อดีคะ หรือนั่งไปเรื่อยๆแบบนั้น คือ กลัวว่าหัวใจจะหยุดเต้น


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร