วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาหลักมาวางให้ดูก่อน

พระภิกษณีชื่อวชิรา (ตอบมาร)

"นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์วา รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น" (สํ.ส.15/554/198)

ความที่เน้น ในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษาเช่น

"ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21)

"เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248)

อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ
ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง



จะเห็นได้ว่า คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะตีความเรื่องที่ตนอ่านที่ตนเห็นมาผิดหมดเลย คือ จะเอาปรมัตถ์ (อะไรก็ไม่รู้) ไม่เอาสมมติ :b32: แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรสมมติ อะไรปมัตถ์ เลยกลายเป็นขวางโลกไปด้วยประการฉะนี้แล. เอวัง

จบข่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

คุณกรัชกาย
เข้าใจหรือยังว่า
ตัวตนคนกำลังเห็นผิด
จนกว่าจะเริ่มฟังความจริง
แล้วเข้าใจว่าจิตเห็นสีไม่ได้เห็นคนสัตว์วัตถุ
:b16:
อนุสาสนียปาฏิหาริย์คือ
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เห็นทันทีดับเห็นผิดได้ทันทีเกิดเข้าใจเห็นถูกตามได้ทันที


เอาหลักมาตั้งให้ดูนะ

จักขุ+รูป
โสต+สัทท
ฆาน+คันธ
ชิวหา+รส
กาย+โผฏฐัพพ
มโน+ธัมม

ไหนลองว่ามาสีอยู่ตรงไหน

cool
ร่างกายทั้งหมดทุกอวัยวะเลยคือมหาภูตรูป
มหาภูตรูปไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม=ไม่รู้สึกอะไรเลย
แต่มีนามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นสภาพที่เป็นนามไปรู้ว่ามีรูป
และรูปที่ถูกรู้ตอนที่มองเห็นก็ไม่ใช่ตาเพราะทุกคนมองตาตัวเองไม่เห็น...อิอิอิ
ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงตามที่กำลังฟังไม่เข้าใจหรือคะ
:b12:
คำว่าจักขุแปลว่าตา
ตาคือมหาภูตรูป
มหาภูตรูปคือธาตุ4
ตาเกิดจากการรวมตัวของธาตุ4
จะรู้ว่ามีมหาภูตรูปตรงไหนต้องแตะต้องสัมผัสไม่ใช่คิดเอา
ที่ลืมตาดูมองเห็นโน่นนั่นนู้นนั่นน่ะค่ะไม่รู้ว่าตาไม่เห็นเพราะตาไม่รู้อะไรเลยที่เห็นคือจิตเห็นค่ะ
และจิตเห็นเกิดเห็นรูปที่ปรากฏได้เพียง1รูปคือสีสันวรรณะตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อีก27รูปเห็นไม่ได้
และรูปที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่เป็นอุปาทายรูปที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสีกลิ่นรสโอชาประกอบอยู่
:b12:
:b4: :b4:
https://youtu.be/x7ovq2R30a8



เพ้อเจ้อน่ารำคาญ :b13: เสียเวลาเปล่า

:b32:
บอกความจริงให้รู้สึกตัวยังคิดไม่ได้อยู่อิ๊กกกก555
มหาภูตรูปคือรูปธรรม
จิต/เจตสิกคือนามธรรม
นิพพานคือนิพพาน
ทั้งหมดเป็นธัมมะจึงเป็นเราไม้ได้...เออเนาะ
ไม่เข้าใจเหรอว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่คน
ที่คิดว่ามีคนแล้วนั้นน่ะเรียกว่าอัตตาคือ
สักกายทิฏฐิ=เห็นผิดว่ามีตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราไม่รู้ว่าตัวตนไม่รู้=มีกิเลสอวิชชา
ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แปลกแยกออกไปจากปกติเพื่อไปทำอะไรเพราะมันมีทั้งหมดแล้วทั้งตัวตนน่ะ
ก็บอกแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่กำหนดมาแล้วไม่ได้ทำบอกให้คิดให้ตรงทีละ1ทาง
:b32: :b32:
:b12:
จะไปรู้ความจริงของเห็นตอนไหน
ปสาทรูปคือรูปพิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คนเดียว
จิตเห็นเกิดจากมีจักขุปสาทะรูปตรงกลางตาที่รับกระทบรูปที่ถูกเห็น
คนตาบอดเกิดจากไม่มีจักขุปสาทะรูปคือตาพิการจึงมองไม่เห็นส่วนคนตายมีตาไม่มีจิตหมดทางรู้จักเห็น
บอกแล้วใช่ไหมว่าเลือกเห็นไม่ได้เพราะทุกคนที่มีตาเนื้อและมองเห็นจากมี3ธัมมะประสานกันจึงเกิดเห็นได้
จักขุวิญญาณ(จิตเห็น)=จิต+จักขุปสาทะรูป(รูปใสพิเศษตรงกลางตา)+อุปาทายรูป(คือสีอยู่ที่มหาภูตรูป)
จิตได้ยินเกิดจากมีโสตปสาทะรูปรับกระทบเสียงอยู่ลึกๆภายในหูโน่นไม่ว่าจมูกลิ้นกายใจก็มีจุดที่รับเฉพาะ
:b4: :b4:


ที่พูดที่ว่ามาที่รำพันมานั่นน่ะ มันอยู่ในหนังสือชั้นจูฬตรี :b32:

:b12:
สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน
:b12:
:b4: :b4:


คนที่อ่านหนังสือแล้วตีความผิดแบบคุณโรสมีแต่ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิหนาขึ้นๆ

:b12:
คนไม่ฟังเนี่ยไม่มีปัญญาเข้าใจถูกตรงตามได้เลยอ่ะ
ระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกตรงทางได้ทีละ1ทาง
เพราะความจริงตรงสัจจะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแสดงตรงทางทีละ1ทาง
เพราะว่าแต่ละ1ทางมันเกิดดับทีละ1ขณะจิตตรงทีละ1ทางไม่เกิดพร้อมกันแล้วก็มีครบทั้ง6ทางแล้วไม่ได้ทำ
:b34:
สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกคำไม่เปลี่ยนแปลงสัจจะไปจากปัจจุบันแม้แต่คำเดียวไม่เข้าใจเหรอเออ
เห็นเป็นธัมมะเป็นจิตไม่ใช่เราและตอนนี้เราน่ะเห็นผิดคิดผิดพูดผิดเพราะไม่พูดตรงสัจจะให้ตรงความจริง
เราเห็นคืออัตตาตัวตน...แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็นตรงสัจจะทรงแสดงว่าไม่มีเราในเห็น555
มื่อใด๋สิฮู้เรื่องน๊ออออ....บอกให้ฟังกะบ่ฟัง...บ่ฮู้จักวาปัญญาของเจ้าของบ่มีไปท่องจำแต่คำที่บ่แมนปัญญา
:b32:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


เหมือนเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอไม่ได้ ทำไมล่ะ?

จนท. พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึ :b32:
จนท. อ๋อ ปวดอึ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังค่ะ
คุณโรส. อึ
จนท. จะอึก็รีบไปสิคะ เดี๋ยวขี้แตกเลอะกระโปรงหรอก :b13:

คุณโรสก็ยืนอึอึอยู่นั่น

มันทำอะไรไม่ได้
แขน ขา เนื้อตัว หัวหู บัตรปชช. เป็นบัญญัติที่เขาบัญญัติเรียกเพื่อสื่อสารกัน ว่านี่เรียกว่าแขนนะ นี่เรียกว่าขานะ เป็นต้น พอเข้าใจไหมเนี่ยหือ

:b32:
ไม่ลืมตาดูเหรอรอบๆตัวเนี่ย
อะไรบ้างที่ไม่ใช่มหาภูตรูปคิดสิ
การจะรู้สัจจะของเห็นรู้ได้ที่กายตัวเอง
ก็คิดเห็นที่ตาตัวเองดูเทียบตามคำสอนให้ตรง
โลกของเห็นอย่างเดียวไม่คิดนึกอะไรปนทั้งนั้น
จิตเห็นเกิดจากลืมตาดูแล้วมีแสงกระแทกตามันไม่เจ็บ
เพราะรูปพิเศษตรงกลางตารับกระทบได้แค่แสงสีไม่เข้าใจเหรอ
จิตรู้รูปของสีมีสีเป็นอารมณ์ทางตาถ้ารู้อารมณ์เป็นหินกระแทกตาก็ตาแตกสิคะ
ตา=มหาภูตรูป+หิน=มหาภูตรูปถ้าบวกกันก็เจ็บปวดเลือดไหลซิปๆเลยยังไม่รู้อีกอ่ะ
รูปารมณ์ของจิตเห็นคือแสงสีที่มีระยะห่างมาตกกระทบประสาทตามันเป็นปกติของตาเห็นรูป
ตาเห็นรูปตามอภิธรรม
ไม่ใช่คิดเอาว่าตาเห็นรูปภาพ555
:b32:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขนแต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้างแข็งบ้างนุ่มบ้างทีละ1อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


เหมือนเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า คุณโรสไปทำบัตรประชาชนที่อำเภอไม่ได้ ทำไมล่ะ?

จนท. พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึ :b32:
จนท. อ๋อ ปวดอึ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังค่ะ
คุณโรส. อึ
จนท. จะอึก็รีบไปสิคะ เดี๋ยวขี้แตกเลอะกระโปรงหรอก :b13:

คุณโรสก็ยืนอึอึอยู่นั่น

มันทำอะไรไม่ได้
แขน ขา เนื้อตัว หัวหู บัตรปชช. เป็นบัญญัติที่เขาบัญญัติเรียกเพื่อสื่อสารกัน ว่านี่เรียกว่าแขนนะ นี่เรียกว่าขานะ เป็นต้น พอเข้าใจไหมเนี่ยหือ

:b32:
ไม่ลืมตาดูเหรอรอบๆตัวเนี่ย
อะไรบ้างที่ไม่ใช่มหาภูตรูปคิดสิ
การจะรู้สัจจะของเห็นรู้ได้ที่กายตัวเอง
ก็คิดเห็นที่ตาตัวเองดูเทียบตามคำสอนให้ตรง
โลกของเห็นอย่างเดียวไม่คิดนึกอะไรปนทั้งนั้น
จิตเห็นเกิดจากลืมตาดูแล้วมีแสงกระแทกตามันไม่เจ็บ
เพราะรูปพิเศษตรงกลางตารับกระทบได้แค่แสงสีไม่เข้าใจเหรอ
จิตรู้รูปของสีมีสีเป็นอารมณ์ทางตาถ้ารู้อารมณ์เป็นหินกระแทกตาก็ตาแตกสิคะ
ตา=มหาภูตรูป+หิน=มหาภูตรูปถ้าบวกกันก็เจ็บปวดเลือดไหลซิปๆเลยยังไม่รู้อีกอ่ะ
รูปารมณ์ของจิตเห็นคือแสงสีที่มีระยะห่างมาตกกระทบประสาทตามันเป็นปกติของตาเห็นรูป
ตาเห็นรูปตามอภิธรรม
ไม่ใช่คิดเอาว่าตาเห็นรูปภาพ555
:b32:
:b32: :b32:

บอกก็บอกแล้วบอกอีกว่า
มหาภูตรูปไม่รู้ที่ตั้งทางตาเพราะตาใช้จักขุปสาทะรูปรู้สีที่มหาภูตรูป/รูปที่เห็นได้มีแค่1รูปที่เกิดพร้อมแสง
การรู้ที่ตั้งของมหาภูตรูปรู้ได้ทางกายสัมผัสใช้กายปสาทะรูปรู้รูปของธาตุ3เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวในมืด
:b16:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอาหลักมาวางให้ดูก่อน

พระภิกษณีชื่อวชิรา (ตอบมาร)

"นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์วา รถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น" (สํ.ส.15/554/198)

ความที่เน้น ในแง่ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษาเช่น

"ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21)

"เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248)

อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์บรรยายลักษณะของพระสูตร (สุตตันตปิฏก) ว่าเป็นโวหารเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยโวหาร คือ ใช้ภาษาสมมติ
ส่วนพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา เพราะเนื้อหาส่วนมากแสดงโดยปรมัตถ์ คือ กล่าวตามสภาวะแท้ๆ (วินย.อ.1/21...) นี้เป็นข้อสังเกตเพื่อประดับความรู้อย่างหนึ่ง



จะเห็นได้ว่า คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะตีความเรื่องที่ตนอ่านที่ตนเห็นมาผิดหมดเลย คือ จะเอาปรมัตถ์ (อะไรก็ไม่รู้) ไม่เอาสมมติ :b32: แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรสมมติ อะไรปมัตถ์ เลยกลายเป็นขวางโลกไปด้วยประการฉะนี้แล. เอวัง

จบข่าว

cool
รูปตามพระอภิธรรมมี28รูป
รูปที่ปรากฏให้เห็นได้ตามพระอภิธรรมมีแค่1รูปคือสี(ที่เกิดพร้อมแสงสว่างตอนลืมตาดู)
อีก27รูปไม่มีแสงเกิดร่วมด้วยได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสสัมผัสต่างๆมันมืดคิดก็มืดเออแล้วตอนนี้คิด+เห็นไม่ได้
เพราะจิตเห็นไม่เกิดพร้อมกันกับจิตคิดนึกเพราะเห็นเกิดพร้อมแสงส่วนจิตคิดนึกมันมืดสนิทคิดเป็นไหมคะ
:b20:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้
ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ
แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน
รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด
การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ
ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย
อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง
จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท
เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต
แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้
ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ
แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน
รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด
การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ
ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย
อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง
จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท
เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต
แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ
onion onion onion

ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง
ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ
แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ
การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ
จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้
ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ
แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน
รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด
การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ
ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย
อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง
จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท
เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต
แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ
onion onion onion

ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง
ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ
แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ
การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ
จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5
onion onion onion


คุณโรสหลงไปไกล :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ทุกคนกำลังมีเดี๋ยวนี้
ตรงกับทุกคำที่มีในพระไตรปิฏกตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะ
แตกย่อยรายละเอียดเหมือนกองฝุ่นจนไม่เหลือซากความเป็นตัวตน
รูปที่ปรากฏให้เห็นมีเพียงสีเท่านั้นที่เกิดพร้อมมีแสงสว่างรูปอื่นๆเกิดในความมืด
การเกิดดับมีที่ภายในกายและจิตใจของตนเองตรงที่มีตัวตนไม่อยู่ข้างนอกเลยนะคะ
ทุกคนเห็นเพียงสีกระทบตาดำดับที่ตาดำแล้วมืดทันทีคิดนึกจำทำสิ่งต่างๆในความมืดมิดเลย
อะไรที่เห็นนอกตานั้นน่ะไม่ได้มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพนิมิตของสีที่ดับนับไม่ถ้วนหลากสีตัดกันจนเกิดรูปร่าง
จะรู้ที่ตั้งตรงที่มีมหาภูตรูปนั้นได้ตรงมีที่ตั้งของแข็งค่ะคือรู้จากประสาทกายไปสัมผัสกระทบในความมืดสนิท
เพราะจักขุปสาทะรู้แค่สีอยู่ไกลๆจะไปเกิดพร้อมกับกายปสาทะที่สัมผัสแตะต้องใกล้ๆไม่ได้มันคนละขณะจิต
แต่ละ1ขณะจิตมีอายตนะคือที่ประชุมกันของตัวจริงธัมมะคนละที่คนละทางและเกิดดับหมดไปทีละ1ไม่ซ้ำ
onion onion onion

ยกตัวอย่างชัดๆเรื่องเงินๆทองๆ...เงินและทองคือมหาภูตรูปไม่มีจิตครอง
ชาวบ้านเนี่ยใช้เงินทองได้จับแตะต้องได้ทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนเงินทองได้ไม่มีอาบัติ
แต่พระภิกษุใช้ได้เพียงของนอกกายที่เป็นปัจจัยสี่เพื่อลดความโลภอยากได้รู้ตัวว่าไม่ต้องใช้เงินไปเลี้ยงใคร
เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดโทษแห่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ว่ารับและยินดีในเงินและทองไม่ได้ต้องโทษอาบัติ
การปลงอาบัติจะต้องกระทำกับภิกษุในพระธรรมวินัยที่ไม่ทำผิดข้อรับเงินจึงพ้นโทษตกไปอบายภูมิ
จะเป็นสมมุติอะไรก็ให้เข้าใจให้ถูกก่อนถึงจะไม่ทำผิดค่ะ...เงินทองสำหรับผู้ยังเสพแสวงหากามคุณ5
onion onion onion


คุณโรสหลงไปไกล :b32:

:b32:
อธิบายความจริงตรงสัจจะตามคำของตถาคตให้เข้าใจให้รู้สึกตัว
ไม่ได้บอกให้ไปทำอะไรบ้าๆที่ไหนการฟังทำให้เข้าใจตรงคำทันที
บอกแล้วบอกอีกว่าไม่ต้องไปทำอะไรถ้ายังทำฟังไม่ตรงทางหูค่ะ
เพราะหูเป็นทางเอกทางเดียวที่เกิดเสียงทำให้คิดเห็นถูกตรงทางได้
บอกไม่เข้าใจเหรอว่าทุกคำในทั้ง3ปิฏกแค่ใบไม้ในกำมือของตถาคต
แค่ใบไม้3ใบเนี่ยยังคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรงที่เห็นทางตาไม่ถูกเลย
ทรงแสดงเพียง3ปิฏกเพื่อให้ฟังเข้าใจในความเป็นไปของตัวตนตรงปัจจุบันที่มีว่า
ไม่มีตัวเราไม่มีตัวเขาไม่มีตัวใครเพราะมีแต่ธัมมะที่กำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติธรรมดา
ก็คือธรรมดาไหมที่คุณไม่เคยทำสัมมาทิฏฐิคือไม่เคยมีความคิดเห็นที่กำลังเห็นถูกตรงตามคำตถาคตเลย
:b34: :b34:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 08 พ.ค. 2020, 22:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อะไรที่คิดว่ามีให้เห็นทุกๆด้านน่ะคือคิดเอา
เห็นจริงๆมีเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น
อ่ะคิดสิลืมตาดูอยู่เนี่ยคิดว่ามี
อะไรบ้างที่กำลังกระทบตาคุณ
เดี๋ยวนี้เลยที่กำลังเห็นตรงหน้าคุณกระทบปุ๊บดับมืดในตาดำทันทีอีก5ทางเกิดในความมืด
มีแสงสีกำลังกระทบไปที่ตาของคุณและดับมืดแล้วและมีครบทุกทาง6ทางแล้วด้วยตกลงมืดสนิทเลย
เออ...ยังมีตัวเราอยู่...เรียกว่ามีสักกายทิฏฐิและมีอุปาทานขันธ์มีกิเลสตัณหาอวิชชาครบเลยที่ไม่มีคือปัญญา
เมื่อไหร่จะเริ่มต้นศึกษาตรงความจริงจากการฟังเพราะการฟังไม่ได้มีตัวอักษรมาเรียงไว้ให้ได้ยินล่วงหน้าจ้ะ
http://www.dhammahome.com/
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2020, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย
ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน
แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น
ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต
ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ
ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ
หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่
สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม
ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2020, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย
ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน
แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น
ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต
ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ
ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ
หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่
สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม
ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง
:b12:
:b4: :b4:


แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว :b32: นี่ไปสวรรค์แระ

สรุปแล้วเลอะเทอะ :b13: ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2020, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย
ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน
แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น
ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต
ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ
ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ
หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่
สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม
ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง
:b12:
:b4: :b4:


แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว :b32: นี่ไปสวรรค์แระ

สรุปแล้วเลอะเทอะ :b13: ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม :b32:

:b32:
คุณๆทั้งหลายคะ...คุณคิดว่าโรสกำลังเพียรทำอะไรคะ
เพราะที่โรสทำได้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือทำได้แค่บอก
คือว่ายกปัญญาที่เข้าใจไปให้ใครไม่ได้แม้พระพุทธเจ้าก็ทำได้แค่บอก
เพราะการบอกเป็นหน้าที่ของปรโตโฆสะ(ผู้ที่ถ่ายทอดตรงความจริงตามคำตถาคตให้ผู้อื่นเข้าใจถูกตาม)
ส่วนการฟังเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะปรุงแต่งอะไรอะไรที่กำลังฟังและเข้าใจตรงตามที่กายใจตัวเองกำลังมีค่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2020, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
มี2ภพภูมิที่มองเห็นได้ทางตาเนื้อตามปกติได้ทันทีที่ฟังเข้าใจถูกตาม
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงเพื่อให้คิดเห็นถูกตามคำของพระองค์ทันที
แมวเห็นงูเห็นจิ้งจกเห็นอันนี้คือภพภูมิดิรัจฉานเห็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น
ตัวคุณที่คิดว่าเห็นตัวเองเห็นคนสัตว์วัตถุภายนอกเต็มไปหมดคือภาพนิมิตตามภพภูมินี้
แต่สัจจธรรมของเห็นตามที่ทรงตรัสรู้คือมีแค่จิตเห็นที่รู้แจ้งในอารมณ์ตรงที่มีสีสันวรรณะ
ไม่มีใครหรือภพภูมิใดๆเป็นเจ้าของเห็นที่กำลังเห็นมีแต่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคือมีอุปาทานขันธ์
โลกจึงมืดด้วยอวิชชาจนกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความจริงและอธิบายความจริงให้รู้สึกตัวว่าทุกคนไม่รู้
:b12:
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 พ.ค. 2020, 09:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2020, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
อีกอย่างนะการเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเนี่ย
ต้องเข้าใจตอนเป็นมนุษย์ถึงจะเข้าใจว่าภพภูมิอื่นก็เห็นสิ่งเดียวกัน
แมว สุนัข คน เปรต เทวดา อินทร์ ยักษ์ พรหม ต่างก็เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้น
ตอนเป็นคนต้องเข้าใจให้ถูกก่อนตายคือมีปัญญาคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำของตถาคต
ตายลงไปปุ๊บไปเกิดเป็นแมวลองบอกแมวสิว่าปลาทูน่ะไม่มีเห็นแค่สีแมวจะฟังรู้เรื่องไหมคะ
ถ้าไปเกิดเป็นเปรตกำลังทุกข์ทรมาณร่างกายหิวโหยอยู่เนี่ยจะมีเวลาฟังว่าเห็นแค่สีไหมคะ
หรือถ้าไปเกิดเป็นพรหมเสกอันโน่นอันนั้นเนรมิตได้หมดบอกว่าเห็นแค่สีจะเข้าใจไหมเพลินอยู่
สวรรค์ของเทวดาคือการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ฟังพระสัทธรรม
ส่วนคนเหรอจากเป็นเทวดาได้มาเป็นคนแล้วก็ทำแบบเดิมคืออยากได้บุญคือต้องการไปสวรรค์ลืมว่าขอมาฟัง
:b12:
:b4: :b4:


แต่ละ คคห.ๆ ล้วนคิดตีความเพ้อเจ้อไปทั่ว :b32: นี่ไปสวรรค์แระ

สรุปแล้วเลอะเทอะ :b13: ผสมผสานเหมือนผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรม :b32:

:b32:
คุณๆทั้งหลายคะ...คุณคิดว่าโรสกำลังเพียรทำอะไรคะ
เพราะที่โรสทำได้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือทำได้แค่บอก
คือว่ายกปัญญาที่เข้าใจไปให้ใครไม่ได้แม้พระพุทธเจ้าก็ทำได้แค่บอก
เพราะการบอกเป็นหน้าที่ของปรโตโฆสะ(ผู้ที่ถ่ายทอดตรงความจริงตามคำตถาคตให้ผู้อื่นเข้าใจถูกตาม)
ส่วนการฟังเป็นหน้าที่ของผู้ฟังที่จะปรุงแต่งอะไรอะไรที่กำลังฟังและเข้าใจตรงตามที่กายใจตัวเองกำลังมีค่ะ
:b32: :b32:


เรื่องพูดบอกนี่ ชุมโจรก็บอกให้ลูกน้องฟัง เฮ้ย สูทั้งหลายจงฟังข้าผู้เป็นหัวหน้าพวกเอ็ง คืนนี้พวกเราจะออกปล้นบ้านเศรษฐีในเมืองตอนดาวโจรขึ้นตรงหัว พวกเอ็งเตรียมลับหอกลับดาบให้คมนะ ได้ยินกันทุกคนแล้วนะ ถ้ายังงั้นตอนนี้ไปพักเอาแรงก่อน แล้วพวกเราจะรวมตัวกันเมือโจโรฤกษ์ประดับท้องฟ้า

นี่หัวหน้าก็บอกให้ลูกน้องฟังนะ นี่ก็เป็นปรโตโฆสะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร