วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 17:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2019, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"..คนบ่มีศีล บ่มีธรรม มันกะบ่ต่างหยังกับสัตว์ สัตว์มันบ่ฮู้หยัง กัดกัน กินกัน ทำร้ายชีวิตกัน โตใด๋เหมิ๊ดแฮงเหมิ๊ดกำลังกะถืกกิน คนเฮาสิเป็นคนได้กะเพราะศีล สิเป็นเทวบุตร เทวดาก็เพราะศีล สิเป็นพระอริยเจ้าได้กะเพราะศีล มันต่างกันหม่องนี้ ถ้าบ่มีศีลกะเหมิ๊ดละบาดนิ .."

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







"พากันไปแสวงบุญ...นั่งรถ...ไปทำบุญ ๘ วัด ๙ วัด"

ให้พากัน...ภาวนานะ
อย่าลืมพุทโธ ทุกอิริยาบท
ทานบารมี ก็ทำมาจนเป็นนิสัยแล้ว

พากันไปแสวงบุญ
นั่งรถ ไปทำบุญ ๘ วัด ๙ วัด เป็นชั่วโมงๆ
ยังสู้อานิสงส์ การนั่งสมาธิภาวนา
แม้เพียง ๕ นาที ไม่ได้นะ

ยิ่งถ้าจิตสงบ
ชั่วขณะช้างวีหู งูแลบลิ้น
ยิ่งมีอานิสงส์ผลบุญมากนะ
เปรียบเทียบกัน ไม่ได้เลยนะ

บุญมากนะ การภาวนา
ให้พากันภาวนา...ให้มากๆ

หลวงพ่อโสภา สมโณ...วัดป่าแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา








“บุญเป็นเหมือนเงินในโลกทิพย์”

ถาม: สวดมนต์เช้าเย็นที่บ้านทุกวัน และอุทิศบุญกุศลให้มารดาที่ตายไปแล้ว จะได้รับไหมครับ และความเชื่อที่ว่าการทำบุญใส่บาตร แม่เราที่ตายไปจะได้กินข้าวที่เราใส่ด้วยจริงหรือเปล่าครับ

พระอาจารย์: คือบุญที่เราอุทิศไปมันเป็นข้าวของดวงวิญญาณไง งั้นบุญมันเกิดขึ้นได้หลายวิธี ใส่บาตรก็ได้บุญ รักษาศีลก็ได้บุญ นั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ก็ได้บุญ อยู่ที่ว่าทำแล้วมันเกิดผลหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าสวดมนต์แล้วจะได้ผลทันที บางทีสวดไปแล้วจิตยังฟุ้งอยู่มันก็ไม่ได้ผล วิธีที่ได้ผลชัวร์ๆ แน่ๆ ก็คือใส่บาตร พอใส่บาตรแล้วใจมันก็จะเกิดความสุขเกิดความอิ่มขึ้นมา แต่รักษาศีลรักษาแบบขาดๆ เกินๆ มันก็ยังไม่เกิดความสุขขึ้นมา สวดมนต์ถ้าจะสวดแบบฟุ้งไปฟุ้งมามันก็ยังไม่เกิดผล งั้นเขาจึงนิยมทำบุญอุทิศด้วยการใส่บาตร ทำบุญทำทาน เพราะว่ามันเป็นของที่แน่นอนได้ผลทันที แต่บุญอย่างอื่นนี้มันยังเป็นบุญที่เกิดยาก รักษาศีลก็ยาก ไหว้พระสวดมนต์ก็ยาก นั่งสมาธิก็ยาก ถึงแม้ว่าเราจะรักษาศีลอยู่ สวดมนต์อยู่ นั่งสมาธิอยู่ แต่ผลมันก็อาจจะยังไม่เกิดขึ้นมาก็ได้ งั้นถ้าเราอยากจะอุทิศบุญก็อุทิศด้วยการทำทานดีกว่า ทำทาน ใส่บาตร หรือบริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาลอะไรนี้ ทำแล้วเกิดความสุขใจอิ่มใจขึ้นมาทันที เอาบุญแบบนี้ดีกว่า ถ้าต้องการจะอุทิศบุญ งั้นไม่จำเป็นว่าเวลาจะส่งข้าวให้แม่เราต้องใส่ข้าวให้กับพระ ส่งเสื้อผ้าต้องถวายเสื้อผ้าให้กับพระ ไม่ใช่ อันนี้คือ ของที่เราให้นี้มันจะแปลงเป็นบุญทันที แล้วบุญนี้ก็เป็นเหมือนเงินที่คนที่อยู่ในโลกทิพย์จะเอาไปซื้อของที่เขาต้องการได้ทันที งั้นไม่ต้องกังวลว่า แม่ชอบกินอาหารชนิดนี้ หาซื้ออาหารชนิดนี้ใส่บาตรพระไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะไม่ได้กินอาหาร นี่ไม่ใช่หรอก ใส่อาหารชนิดไหนไปในบาตรก็ได้ เป็นบุญเหมือนกัน เป็นอาหารของใจเหมือนกัน เป็นอาหารทิพย์

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๒

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน








เวลาพระให้ศีล จะลงท้ายด้วยคำว่า

"สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย"

แล้วเราก็รับว่า สาธุ...สาธุ...สาธุ ส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าหมายถึงอะไร เข้าใจเอาว่า สาธุไปตามรูปแบบพิธีกรรม

ความจริงไม่ใช่ ถ้ารู้ความหมาย จะลึกซึ้ง คือพระท่านบอกให้คนที่รับศีลไปนั้น เมื่อรับแล้ว-รักษาได้ดีแล้ว อานิสงส์จะเกิด ดังนี้

สีเลนะ สุคะติง ยันติ = ศีลเป็นเหตุให้ถึงสุคติ

สีเลนะ โภคะสัมปะทา = ศีลเป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ = ศีลเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน

ตัสมา สีลัง วิโสทะเย = เพราะเหตุนั้น พึงชำระศีลให้หมดจด

เห็นมั้ย...อย่าทำเป็นเล่นไป............

รักษาศีลจะไม่ตกนรก รักษาศีลจะมีเครื่องกิน-เครื่องใช้ ทรัพย์สินเงินทอง และศีลที่รักษาดีแล้ว จะทำให้ถึงพระนิพพานได้

แล้วพระท่านก็ย้ำ "ตัสมา สีลัง วิโสทะเย" คือพระบอกว่า เพราะเหตุนี้ พวกท่านทั้งหลาย พึงรักษาศีลให้หมดจด!

พระที่บอกนี้ .............

ไม่ใช่หลวงพ่อ-หลวงพี่-หลวงตา ที่ให้ศีลนะ

หากแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสบอกไว้ ณ ครั้งพุทธกาล

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
วัดปางกึ๊ด อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






เราควรจะวางแผน วางแปลนชีวิตของเรา ประกอบคุณงามความดี อย่าตั้งอยู่ในความประมาทจนเกินไป พวกเราอายุถึงปูนนี้แล้ว นึกย้อนหลังดูซิ นึกไปข้างหน้าดูซิ เราจะอยู่ไปกี่เดือนกี่ปี สุขภาพของเราเป็นยังไง เรามีโรคภัยไข้เจ็บอยู่อย่างนี้ บุญกุศลของเราเมื่อล้มหายตายขณะนี้ เพียงพอหรือยัง

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี








อันความเชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้นั้น
ถ้าว่าปากพูดออกมาก็เป็นเพียงลมปาก ความเชื่อนี้เป็นเพียงความเชื่อแต่หนุนออกมาจากกิเลสบอกให้เชื่อ

พวกเราจึงเชื่อกิเลสมากกว่าธรรม
แต่ถ้าผู้ใดเชื่อธรรมมากกว่ากิเลส
ผู้นั้นแหละเป็นผู้เริ่มตื่น

ตื่นจากหลับแล้ว หมุนตัวออกๆ
ถึงจะไปเกิดอยู่ก็ตาม ความย่นเเห่งวัฏวน ที่จะเกิดแก่เจ็บตายไม่มีที่สิ้นสุดนี้ จะหดย่นเข้ามาๆ
ความสุขก็จะมีมากขึ้น ความทุกข์ก็จะลดน้อยลง

วัฏวน ที่พาให้หมุนเกิดแก่เจ็บตายไม่มีสิ้นสุด ก็จะหดย่นเข้ามาๆ

อำนาจแห่งบุญ ตัดได้หลายด้านหลายทาง คือสกัดความยืดยาวในภพชาติต่างๆ ที่ไม่มีสิ้นสุดนั้น ให้ย่นเข้ามา จนกระทั่งถึงสิ้นสุด วิมุตติหลุดพ้นไปได้ นี่อันหนึ่ง

ผู้เชื่อตามพระพุทธเจ้าเป็นผู้หันมาทางนี้ หันมาทางธรรมจักร เพื่อจะหันออกจากวิวัฏจักร ทะลุพุ่งเลยถึงแดนพ้นทุกข์

ผู้ที่เชื่อตามกิเลส...
ความโลภ ก็เป็นกิเลส ให้จำให้ดีนะ ความโกรธเป็นกิเลส
ราคะตัณหาเป็นกิเลส ประเภทต่างๆ หนักเบา เบามาก หนักมาก มี กิเลสแต่ละประเภทมีหนักมีเบาให้พากันระมัดระวัง

ถ้าเราแก้มันไม่ได้ ก็ให้อยู่ในความพอฟัดพอเหวี่ยงพอสู้กัน อย่าถึงกับมันเอาเราให้ล่มจมนะ

ถ้าว่าความโลภ ก็เอาจนกระทั่งเจ้าของล่มจม ก็ใช้ไม่ได้นะ ความโกรธก็เอาเจ้าของล่มจม ใช้ไม่ได้
ราคะตัณหา เอาให้เจ้าของล่มจม ก็ใช้ไม่ได้


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









ลมภายนอกกับลมภายในนั้นต่างกัน
ลมภายนอกนั้นแต่งไม่ได้ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
ลมภายในนั้นแต่งได้ปรับปรุงแก้ไขได้
ถ้าจิตใจเราตั้งตรงเป็นหลัก อยู่กับที่
มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกอยู่เสมอแล้ว
นิวรณ์และกิเลสทั้งหลายก็ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้

จิตของเราเหมือนอาหารที่อยู่ในชาม
“สติ”เสมือนฝาชามถ้าเราขาดสติเท่ากับเปิดฝาชามไว้
แมลงวัน (กิเลส) ย่อมจะบินมาเกาะ
เมื่อเกาะแล้วมันก็กินอาหารแล้วก็ขี้ใส่บ้างนำเชื้อโรคมาใส่ให้บ้าง
ทำให้อาหารนั้นเป็นโทษเป็นพิษ
เมื่อเราบริโภคอาหารที่เป็นพิษเราก็ย่อมได้รับทุกข์ประสบอันตราย
ฉะนั้นเราจะต้องคอยระวังปิดฝาชามไว้เสมออย่าให้แมลงวันมาเกาะได้
จิตของเราก็จะบริสุทธิ์สะอาดเกิดปัญญาเป็นวิชชาความรู้

อีกนัยหนึ่ง: จิตใจของเราเหมือนขันหรือตุ่มน้ำ
ขันนั้นถ้าปากมันหนาข้างบางข้างก็ย่อมตั้งตรงไม่ได้น้ำก็จะต้องหก
หรือตุ่มมันเอียงมันแตกร้าวน้ำก็ขังอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกันฉันใดก็ดี
“บุญกุศล” ที่จะไหลมาขังอยู่“ในจิตใจ”ของเราได้เต็มเปี่ยม
ก็ด้วยการทำจิตให้เที่ยงไม่ตกไปในสัญญาอดีตอนาคตทั้งดีและชั่ว
บุญกุศลซึ่งเปรียบเหมือนน้ำบาดาลหรือน้ำตก
ก็จะไหลซึมซาบมาหล่อเลี้ยงกาย ใจของเราอยู่เสมอไม่ขาดสาย
ไม่มีเวลาหยุดเป็น “อกาลิโก” ให้ผลไม่มีกาล
การปรับปรุงจิตใจนั้นเราต้องคอยตรวจตราดูว่า
ส่วนใด ควรแก้ไขส่วนใด ควรเพิ่มเติมส่วนใด ควรปล่อยวาง
จะแก้ไปอย่างเดียวก็ไม่ได้จะปล่อยไปอย่างเดียวก็ไม่ได้
ต้องดูว่าสิ่งใดควรแก่ข้อปฏิบัติของเราเราก็ทำ

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร