ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

อานิสงส์การอนุโมทนาบุญ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58197
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 25 ต.ค. 2019, 05:07 ]
หัวข้อกระทู้:  อานิสงส์การอนุโมทนาบุญ

อานิสงส์ของการอนุโมทนาในบุญคนอื่น
ผลของบุญนั้นมีความมหัศจรรย์มาก ทำบุญเองก็ได้บุญ ชวนผู้อื่นทำบุญก็ได้บุญ บางคนไม่ได้สละทรัพย์ เป็นเจ้าของวัตถุทาน ไม่ได้เป็นผู้ถวายทานด้วยมือ อีกทั้งไม่ได้อยู่ร่วม ในการให้ทานกับเขาด้วย แต่มารู้ทีหลังว่าคนอื่นเขา ให้ทาน รู้แล้วก็ รู้สึกยินดีเลื่อมใสไปกับเขาอนุโมทนาบุญกับเขา
บุคคลนั้น ก็จะพลอยได้รับผลของบุญด้วยอย่างน่าอัศจรรย์

ดังเช่น ผลบุญที่เกิดกับเพื่อนของ นางวิสาขามหาอุบาสิกา

การอนุโมทนาบุญจัดเป็นการทำบุญ ๑ ใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ ปัตตานุโมทนามัย (บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ) หากการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

ในพระธรรมบทมีอยู่ว่า

ครั้งหนึ่ง พระอนุรุทธะเถระจาริกไปในดาวดึงส์เทวโลก เห็นทิพย์วิมานหลังใหญ่ กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ แวดล้อมด้วยอุทยาน และสระโบกขรณี ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปไกลถึงร้อยโยชน์ เจ้าของวิมานนั้น เป็นเทพธิดาวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ มีกลิ่นทิพย์หอม ยวนใจฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อยามเยื้องกราย หรือร่ายรำก็มีเสียงทิพย์ อันไพเราะ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่

พระอนุรุทธะเถระ ถามเทพธิดาเจ้าของวิมานนั้นว่า

” เธอทำบุญด้วยอะไร ทิพย์สมบัตินี้จึงเกิดขึ้นแก่เธอ ”

นางเทพธิดา ตอบพระเถระว่า

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง ๒๗ โกฏิ สร้างบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและสหายอีก ๕๐๐ คน ไปเที่ยวชมปราสาท ดิฉันได้เห็นมิคารมาตาปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใสในบุญของเธอ จึงอนุโมทนาบุญกับเธอว่า… สาธุ สาธุ

” ด้วยอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญนี้ ทิพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดแก่ดิฉันเจ้าค่ะ ”

นางวิสาขาสร้างบุพพารามมหาวิหาร ด้วยการสละเครื่องประดับนั้น ซึ่งมีราคาถึงเก้าโกฏิเจ็ดพันกหาปนะ สร้างปราสาทหลังใหญ่ สมควรเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ประดับด้วยห้องหนึ่งพันห้อง คือชั้นล่างห้าร้อยห้อง ชั้นบนห้าร้อยห้อง

โดยที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง จัดไว้อย่างดี น่าจับใจ งานไม้ที่น่ารื่นรมย์ ก็ตกแต่งสำเร็จเป็นอย่างดี งานปูนก็พิถีพิถันทำอย่างดีน่าปลื้มใจ วิจิตรไปด้วยจิตรกรรม มีมาลากรรมลายดอกไม้ และลดากรรมลายเถาไม้เป็นต้น ที่ประดับตกแต่งไว้อย่างงดงาม และสร้างปราสาทห้องรโหฐาน หนึ่งพันปราสาท เป็นบริวารของปราสาทใหญ่นั้น และสร้างกุฎีมณฑปและที่จงกรมเป็นต้น เป็นบริวารของปราสาท เหล่านั้น ใช้เวลา ๙ เดือนจึงสร้างวิหารเสร็จ เมื่อวิหารสำเร็จเรียบ
ร้อยแล้ว

นางวิสาขาใช้เงินฉลองวิหารถึงเก้าโกฏิกหาปนะ นางพร้อมด้วยหญิงสหายประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นปราสาท
ได้เห็นสมบัติของปราสาทนั้น ดีใจกล่าวกะพวกเพื่อนหญิงว่า

” เมื่อฉันสร้างปราสาทหลังนี้ งามถึงเพียงนี้ ขอเธอทั้งหลาย จงอนุโมทนาบุญที่ฉันขวนขวายนั้น ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ เพื่อนหญิงทั้งหมด มีใจเลื่อมใส ต่างอนุโมทนาว่า อโห สาธุ อโห สาธุ ดีจริง ๆ ดีจริง ๆ.”

บรรดาเพื่อนหญิงเหล่านั้น เพื่อนอุบาสิกาคนหนึ่ง ได้ใส่ใจถึง การแผ่ส่วนบุญให้นั้นเป็นพิเศษ

ต่อมาไม่นาน นางได้ตายไป บังเกิดในภพดาวดึงส์ ด้วยบุญญานุภาพของนางได้ปรากฏวิมานหลังใหญ่ ยาวกว้างและสูงสิบหกโยชน์ ประดับประดา ด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบก
ขรณีเป็นต้นมิใช่น้อย ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีของตน ไปได้ร้อยโยชน์ อัปสรนั้น เมื่อจะเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน สำหรับมหาอุบาสิกาวิสาขา เพราะมีจาคะไพบูลย์ และมีศรัทธสมบูรณ์จึงบังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของ ท้าวสุนิมมิตเทวราช

ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปเทวโลก เห็นเพื่อนหญิงของนางวิสาขานั้นเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทราบว่านางวิสาขา บังเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของท้าวสุนิมมิตเทวราช

ส่วนในที่นี้ ท่านพระอนุรุทธะกลับมนุษยโลกแล้ว ได้กราบทูลเนื้อความที่ตนและเทพธิดาพูดกัน ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงทำเนื้อความนั้น ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ เกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมแก่ บริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล
……………………………………………………………
อาจาริยบูชาคุณ ครบ ๘๒ ปี

ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก บ้านปง ต. อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่










ให้ดูเรื่องของใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จะไปแก้ปัญหาอย่างอื่นไม่มีจบ
แก้ที่ใจอย่างเดียวจบ
ถ้าเราไม่แก้ใจ ไม่มีทางที่จะจบ

พระอาจารย์จันมี อนาลโย









คนดีมีศีลธรรมหายากยิ่ง

หาคนดีมีศีลธรรมในใจหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา
ได้คนเป็นคนดีเพียงคนเดียว
ย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นล้านๆ
เพราะเงินเป็นล้านๆ
ไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกอย่างได้อย่างถึงใจ
เหมือนได้คนดีทำประโยชน์

หลวงปู่มั่น​ ภูริทัตโต











พุทโธ
"พุทโธ" หมายความว่า ให้ใจ
ยึดเอาพุทโธเป็นอารมณ์
เพื่อป้องกันไม่ให้จิตออกไป
สู่อารมณ์ภายนอก เพราะ
อารมณ์ภายนอกมันชอบ
ไปจดจ่ออยู่กับ รูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัส ความถูกต้อง
ทางกาย หากทุกสิ่งทุกอย่าง
มันไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จิตมัน
จะไม่รวมลง นี่แหละ เรียกว่า
มาร คือ ไม่มีสติ อย่าให้จิต
ไปจดจ่ออย่างนั้น ให้มาอยู่
กับผู้รู้ ให้น้อมเอา
#พระพุทธเจ้า_พระธรรม_พระสงฆ์
เป็นอารมณ์ จะอยู่ในอิริยาบถใด
ก็ให้มีความเพียร ผู้ที่ภาวนา
จิตสงบลงชั่วช้างพับหู งูแลบลิ้น
ชั่วไก่กินน้ำ นี่ อานิสงส์อักโข
ให้ตั้งใจทำไป.. "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง
จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)









เพราะ "อคติ" เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมยากที่จะเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้
แม้แต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าก็ตาม

คนเรานั้นหากไม่มีความไว้วางใจกันแล้ว
ย่อมอยู่ร้อนนอนทุกข์
ถ้าเป็นอย่างนั้น
ต่างคนต่างอยู่
หรือเป็นแค่เพื่อนกันไม่ดีกว่าหรือ
ความทุกข์จะได้ลดลง
ถ้าอยู่แล้วทุกข์ทั้งสองฝ่าย
จะมีประโยชน์อะไร

ดังนั้นถ้ารักจะเป็นแฟนกัน
ก็ควรมีความไว้วางใจกันตามสมควร
แม้อดีตจะมีเรื่องที่เจ็บปวด
ก็ไม่ควรฝังใจอยู่กับอดีต
หรือปล่อยให้อดีตครอบงำจิตใจ
จนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล








รูปร่างแบ่งแยกมนุษย์ให้รู้ว่าสวยขี้เหร่อย่างใด ใจก็แบ่งแยกมนุษย์เรื่องดี-ชั่ว สะอาด-สกปรก ได้อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท








เรื่อง "อดีตชาติพราหมณ์เคยเกิดเป็นพ่อของพระพุทธเจ้า ๕๐๐ชาติ อา ๕๐๐ชาติ ปู่ ๕๐๐ชาติ"

(เรื่องเล่าชาดกจากพระไตรปิฎก)

สาเกตชาดก

ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารอัญชนวัน เมืองสาเกต วันหนึ่งได้เสด็จเข้าไป บิณฑบาตในเมืองสาเกตพร้อมด้วยหมู่ภิกษุ ขณะที่ทรงดำเนินอยู่นั้น มีพราหมณ์แก่คนหนึ่งกำลังจะออกไปนอกเมือง เห็นพระพุทธองค์ที่ระหว่างประตูเมือง จึงหมอบลงแทบพระยุคลบาท และยึดข้อพระบาททั้งสองไว้แน่น แล้วกราบทูลว่า

“พ่อมหาจำเริญ ธรรมดาว่าบุตรต้องปรนนิบัติมารดาบิดาในยามแก่มิใช่หรือ เหตุไรพ่อจึงไม่แสดงตนแก่เราตลอดกาล มีประมาณเท่านี้”

จากนั้นพราหมณ์ได้พาพระพุทธองค์ไปยังเรือนของตน เมื่อเสด็จถึงเรือน นางพราหมณีได้เข้ามาหมอบแทบบาทยุคลของพระพุทธองค์ แล้วร่ำไห้ว่า

“พ่อคุณทูนหัว พ่อไปไหนเสียนานถึงปานนี้ ธรรมดาบุตรต้องบำรุงมารดาบิดายามแก่มิใช่หรือ” แล้วบอกให้บุตรและธิดาพากันมาไหว้พระพุทธองค์ด้วยคำว่า “พวกเจ้าจงไหว้พี่ชายเสีย”

จากนั้นพราหมณ์สามีภรรยาได้ถวายมหาทาน พระศาสดาครั้นเสวยแล้วได้ตรัส "ชราสูตร" แก่พราหมณ์ทั้งสอง ในเวลาจบพระสูตร ทั้งสองได้ตั้งอยู่ในพระอนาคามีผล

เมื่อกลับสู่พระวิหาร เหล่าภิกษุต่างประชุมสนทนากันว่า เหตุไรพราหมณ์จึงบอกว่าพระศาสดาเป็นบุตรของตน และพระศาสดาก็ทรงรับ ทั้งที่พระบิดาของพระพุทธองค์ คือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาคือ พระนางมหามายา เมื่อพระพุทธองค์ทราบเรื่องที่ภิกษุสนทนากัน จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสแก่เหล่าภิกษุว่า

"ในอดีตกาล พราหมณ์เคยเป็นบิดาของพระองค์ ๕๐๐ ชาติ เป็นอา ๕๐๐ ชาติ เป็นปู่ ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสาย ส่วนนางพราหมณีเคยเกิดเป็นมารดาของพระองค์ ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ"

จากเรื่องราวที่ปรากฏในสาเกตชาดก ซึ่งมีมาในพระไตรปิฎกนั้น ทำให้เราทราบชัดว่า มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเคยเกิดตายกันมาแล้วหลายครั้ง ในแต่ละครั้งก็มีความเป็นไปของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันไป ขึ้นกับวิบากกรรมที่ตนได้กระทำ

ที่มา สาเกตชาดก ในพระไตรปิฏก










“..แท้ที่จริงความตายนั้นไม่เท่าไรหรอก ก่อนที่จะตายนั่นซีมันสำคัญ จะตั้งสติ รักษาจิตด้วยอาการอย่างไร ให้มันคงที่ จะไม่ให้หวั่นไหว ตรงนั้นมันสำคัญที่สุด..”

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








"เวลาเป็นอยู่มีชีวิตอยู่
ก็อยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้
วิ่งวุ่นอยู่ตั้งแต่เรื่องข้างนอก
เรื่องข้างในคือใจของตัวเอง มันสุขมันสบายไหม
มันสงบไหม เข้าใจเหตุผลตามเป็นจริงไหม
มีสติ มีปัญญารักษาใจ

... ให้ปลอดภัยจากความยุ่งเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ไหม
เราไม่ได้ตรวจตราพิจารณาดูใจของตัว
มันจึงชั่วจึงเสีย จึงลุ่มจึงหลง
เมื่อความตายเข้ามาถึงก็ร้องไห้เสียใจ
คิดอยากให้อายุยืนยงคงอยู่ต่อไป
เพื่อจะได้ทำบุญสุนทาน
สะสมคุณงามความดีอย่างนั้นอย่างนี้

เวลาจะตายมาจริงจังจึงคิดได้
แล้วจะไปทำได้อย่างไรล่ะ
แต่ตัวของตัวเองก็ลุกไม่ได้ เจ็บปวด
เหน็ดเหนื่อยอยู่ทุกหนทุกแห่งไป

ไม่มีอะไรสุข ไม่มีอะไรสบาย
มันเป็นอย่างนั้น เพราะใจไม่สบาย
ใจวุ่นวาย ใจไม่เห็นตามเป็นจริง
เราจึงควรพิจารณาให้มากเรื่องความตาย"

หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร








ดูผม ดูขน ดูเล็บ ดูฟัน ดูหนัง พิจารณาหนังเป็นยังไง แล้วพิจารณาเข้าไปข้างในของหนัง หนังเป็นยังไง เยิ้มไปด้วยปุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนอง ดูเข้าไปข้างในเท่าไรเป็นป่าช้าผีดิบในตัวเขาตัวเรา นี่คือการพิจารณากรรมฐาน ๕ เป็นศาสตราอาวุธที่สำคัญมาก อย่าปล่อยเรื่องร่างกาย สำหรับสัตว์โลกติดกายกันทั้งนั้น ราคะตัณหาก็มีกายเป็นพื้นฐานสำคัญ จะกำเริบเสิบสานขึ้นก็อาศัยร่างกายนี้เป็นเครื่องมือ เราจึงต้องพิจารณาสิ่งนี้เพื่อตัดทอนกำลังวังชาของกิเลสราคะตัณหานี้ให้น้อยลงๆ พิจารณาเห็นชัดเจนเท่าไรในเรื่องร่างกายทั้งข้างนอกข้างในละเอียดทั่วถึงไปหมดแล้ว หลายครั้งหลายหน ดูจนเข้าใจ

พิจารณากลับไปกลับมาเหมือนเขาคราดนา คราดกลับไปกลับมาจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียด ควรแก่การปักดำแล้วเขาก็ปักดำกัน อันนี้การพิจารณากรรมฐาน ๕ มีหนังเป็นสำคัญ ก็พิจารณาเข้าไปจนกระทั่งภายในลึกซึ้ง พอหนังแล้วเป็นเนื้อ เป็นยังไงสวยงามไหมเนื้อ เอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง อาหารใหม่อาหารเก่า หมดทั้งคนนี้เป็นส้วมเป็นถานด้วยกันทั้งนั้นแหละ มีหนังเท่านั้นมาหลอกให้เราหลง หลงเขาหลงเราตลอดเวลา เมื่อเปิดหนังออกแล้วมันจะกระจายไปหมด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงมอบให้เพียง ตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า แล้วก็หยุด พอเลิกหนังออกแล้วดูได้ยังไง เปิดหนังออกแล้วดูได้เมื่อไร ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งผู้หญิงผู้ชายมันดูไม่ได้ นี่ละท่านจึงสอนไปถึงหนังให้พิจารณา

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"นักปฏิบัตืให้พิจารณาร่างกายเป็นสำคัญ"
๑ สิงหาคม ๒๕๔๘









"ไม่มีห่วง ไม่มีดีใจ ไม่มีเสียใจ ไม่มีพอใจ ไม่มีหัวเราะ ไม่มีร้องไห้ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีดี ไม่มีเลว จึงใกล้นิพพาน ถ้ายังห่วงแสดงว่ายังไกลอยู่ ยังเก็บ ยังกอบ ยังกำ ยังโกยอยู่ แสดงว่ายังห่างอยู่มาก"

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/