วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2019, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง "นิพพานเที่ยง พ้นจากไตรลักษณ์"

"นิพพาน" เป็นขั้นสุดท้าย ถึงนิพพานแล้วก็ "สมบูรณ์แบบเต็มที่" ไม่มีอะไรบกพร่อง เรียกว่า "ผู้ถึงนิพพานแล้วเที่ยง" เต็มสมบูรณ์แบบ ท่านเป็นขั้นๆ ขั้นนิพพานเป็นขั้นที่พอ พ้นแล้วจาก "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" ความเปลี่ยนแปลงไม่มี ตรงแน่ว ถึงนั้นสมบูรณ์แบบ เป็นขั้นๆๆ นรกก็เหมือนกัน นรกหลุมนั้นหลุมนี้ ๒๕ หลุม หลุมลึกที่สุดคือ "อเวจีมหานรก" อันนี้เรียกว่า "ทุกข์สุดยอด" เลย ชั่วฟ้าแมบฟ้าแลบ ได้รับความสุขขณะฟ้าแลบไม่มีในนรกหลุมนี้ ตกก็นานอีก นั่น "กรรมมันต่างกัน"

คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







“เราถือกันว่า..มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก จริงอยู่..กิเลสมีพลังมาก แต่ธรรมะมีพลังมากกว่า ถ้ากิเลสยังอยู่เหนือธรรมะก็เป็นเพราะว่าการปฏิบัติธรรมของเรายังไม่ถึงธรรมเท่านั้นเอง แต่ธรรมะชนะกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ ไม่มีกิเลสตัวไหนที่ทนต่อพลังธรรมถ้าเราทำธรรมให้ถึงขั้น”

โอวาทธรรม พระอาจารย์ ชยสาโรภิกขุ









เรื่อง “เงินทองกองเท่าภูเขา ก็ไม่ได้สำคัญยิ่งไปกว่าใจดวงนี้ที่มีธรรม คือ สติสมบัติ ปัญญาสมบัติ”

“สติ” นี่เองจะเป็น “กุญแจดอกสำคัญ” ไขไปสู่ประตู “พระไตรปิฏกภายใน” เพื่อเปิดเข้าไปสู่ “ประตูพระนิพพาน”

“คนไม่มีสติ ไม่มีปัญญา” มีแต่กิเลสฉุดลากไปๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย ไม่ได้สร้างความดีงาม ไม่มีสติปัญญาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเข้าสู่ใจเลย เป็นบุคคลที่ไร้ค่าไร้ราคา “มีเงินกองเท่าภูเขา ไม่ได้สำคัญยิ่งกว่าสติสมบัติ ปัญญาสมบัตินี้นะ” อันนี้สำคัญมากทีเดียว คนเรามองตั้งแต่ภายนอก ไม่ได้มองดูภายใน ซึ่งจะเป็นผู้ครองสมบัติทั้งหลาย แล้วจะเป็นผู้สังหารตน ก็คือ “ใจที่ไม่ดี” นั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ

สมบัติอะไรก็ตามในโลกนี้ สู้ธรรมสมบัติภายในใจไม่ได้ สมบัติภายในใจเลิศเลอสุดยอด ขอเพียงให้ใจกับธรรม ได้สัมผัสกัน มันจะแสดงฤทธิ์เดชเป็นที่อัศจรรย์ เมื่อ “หัวใจได้ความสง่างาม” แล้ว อยู่ใต้ร่มไม้ร่มใด ภูเขาลูกใด ถ้ำหรือเงื้อมผาแห่งใด สถานที่แห่งนั้นย่อมพลอยสง่างามตามไปด้วย “สติ” นี่เองจะเป็น “กุญแจดอกสำคัญ” ไขไปสู่ประตู “พระไตรปิฏกภายใน” เพื่อเปิดเข้าไปสู่ “ประตูพระนิพพาน”

โอวาทธรรม หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน








ภาวนาเพราะอยากได้อิทธิฤทธิ์
โอ้ย ! ผิดทางแล้วไอ้หนู

ตัณหาพาให้เสียคน
อย่ากินขนมสอดใส้ใส่ยาพิษเลย
มีแต่ริษยา บ้าอำนาจ หลงอัตตา

ฤทธิ์เป็นของเสื่อมได้
เก่งแค่ไหนก็หนีกรรมไม่พ้น
อย่าไปหลงกลกิเลสจะได้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลบ้า

อิทธิฤทธิ์สู้บุญฤทธิ์ไม่ได้หรอก
อิทธิ์ฤทธิ์เป็นของร้อน บุญฤทธิ์เป็นของเย็น

บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ทรงบุญฤทธิ์ดีกว่า
เทพพรหมท่านเคารพบูชาทางดับทุกข์ มีอะไรท่านก็ช่วยเอง
เจริญสติกระทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งดีที่สุด

โอวาทธรรม : พระอาจารย์คม อภิวโร






ผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ผู้นั้นย่อมชนะได้ซึ่งความร้อน อุณหัสสคือความร้อนอันเกิดแก่ตน มีทั้งภายในและภายนอก ภายนอกมีเสือสางคางแดง ภูตผีปีศาจ เป็นต้น ภายในคือกิเลส วิชัยคือความชนะ ผู้ที่มาน้อมเอาสรณะทั้งสามนี้เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมจะชนะความร้อนเหล่านั้นไปได้หมดทุกอย่างที่เรียกว่า อุณหัสสวิชัย

อุณหสฺสวิชดย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร พระธรรมเป็นของยิ่งในโลกทั้งสาม สามารถชนะซึ่งความร้อนอกร้อนใจอันเกิดแต่ภัยต่างๆ ปริวชฺเช ราชทนฺเฑ พยคฺเฆ นาเค วีเส ภูเต อกาลมรเณน จ สพฺพสฺม มรณา มุตฺโต จะเว้นห่างจากอันตรายทั้งหลายคือ อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพิษ ภูตผี ปีศาจ หากว่ายังไม่ถึงคราวถึงกาลที่จักตายแล้ว ก็จักพ้นไปได้จากความตายด้วยอำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตนน้อมเอาเป็นสรณะที่พึ่งที่นับถือนั้น

ความข้อนี้มีพระบาลีสาธกดังจะยกมาอ้างอิงในสมัยเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์หนุ่ม ๕๐๐ รูป ประทับอยู่ในราวป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ เทวดาทั้งหลายพากันมาดู แล้วกล่าวคาถาขึ้นว่า เยเกจิ พุทฺธํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺ สนฺติ อปายภูมิ ปหาย มานุสํ เทหํ เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ แปลความว่า บุคคลบางพวกหรือบุคคลไรๆ มาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเป็นต้น เมื่อละร่างกายอันเป็นของมนุษย์นี้แล้ว จักไปเป็นหมู่แห่งเทพดาทั้งหลายดังนี้

สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่กลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้งสามจริงๆ แล้ว จะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความร้อนอกร้อนใจได้แน่นอนทีเดียว

โอวาทธรรมโดยพระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร บันทึกโดย พระอาจารย์วัน อุตฺตโม และ พระอาจารย์ทองคำ ญาโณภาโส ณ วัดป่าบ้านหนองผือ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒







พระท่านสอนว่า

" กิจฺโฉ​ มนุสฺสปฺปฎิลาโภ"
(กิด-โฉ-มะ-นุด-สับ-ปะ-ติ-ลา-โพ)​

"การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก"
ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมา
โสภาภาคย์ มีหน้าตาดียิ่งหายากที่สุด

ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือ มีคุณสมบัติของมนุษย์ครบ คือ คุณธรรม มีศีล​ ๕​ ครบ จึงจะเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนแก่ชราเป็นอัมพาต

บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็มาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้

บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา​ ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ช่วยซื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยให้ลูกเล่าเรียนจบเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน

หลวงพ่อจรัญ​ ฐิตธัมโม








อานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน
ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย
อันนี้มีประโยชน์มาก
ประโยชน์ที่จะได้แก่คนตายก็หมายถึงว่า
ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงเราก่อน
ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ
เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ
นี่แหละเรื่องของบุญ

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร