วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2019, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่บวชมานี้ยังไม่เคยคิดว่าจะสึกเลย มันไม่มีเวลาคิดมัน "พุทโธ"ตลอดเวลา

ถาม : ช่วงที่พระอาจารย์บวชแล้วไปอยู่วัดป่าบ้านตาดกับหลวงตาตั้ง ๙ ปีตอนนั้นมีความรู้สึกอยากจะสึกไหมคะ

พระอาจารย์ : ไม่เคย ถ้าคิดจะสึกก็สึกไปนานแล้วซิ

ถาม : คือใจมั่งมั่นว่าจะบวช

พระอาจารย์ : มันไม่เคยคิดเลย ตั้งแต่บวชมานี้ยังไม่เคยคิดว่าจะสึกเลย มันไม่มีเวลาคิดมันพุทโธตลอดเวลา มันมีสติควบคุมใจอยู่ตลอดเวลา ใจมันสงบอยู่ตลอดเวลา มันไม่เคยคิด มันมีความสุขมันจะไปสึกหาอะไร สึกไปแล้วทุกข์ สึกไปต้องทำมาหากิน บวชแล้วไม่ต้องทำมาหากิน ข้าวก็ฟรี บ้านก็ฟรี จะไปสึกหาอะไร

ถาม : แล้วนิพพานนี้อยู่แค่เอื้อมไหมคะ

พระอาจารย์ : นิพพานก็อยู่ในใจนี่แหละ หยุดกิเลสได้ หยุดความโลภ โกรธ หลงได้ก็ถึงนิพพานแล้ว ไม่ยากตรงไหนเลย ฆ่า ๓ ตัวนี้ได้ ฆ่าความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ก็ถึงนิพพานแล้ว มันอยู่ในใจเรา มันรอจะโผล่ในใจเราตลอดเวลา เราไม่ยอมให้มันโผล่ เราชอบเอากิเลสมาปิดมันไว้ กิเลสเป็นตัวปิดนิพพานไว้รู้หรือเปล่า ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้มันทำให้เราไม่ได้นิพพานกัน พอเราทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลงได้นิพพานก็โผล่ขึ้นมาแล้ว

ถาม : แล้วพระอาจารย์ใช้เวลานานเท่าไร

พระอาจารย์ : เราไม่ได้ไปจดไปจำ สู้มันไปเรื่อยๆ ทำมันไปเรื่อยๆ

ถาม : อันนี้ฟังจากหลวงตาบอกว่าวันที่๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ฟ้าดินถล่ม คือหนูมาฝากเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ ก็อยากทราบว่า ฟ้าดินถล่มวันไหนคะ อยากรู้เอาไว้ระลึกถึง

พระอาจารย์ : ยังไม่ถึงเวลา

ถาม : หนูจะคอยเวลานั้นค่ะ

พระอาจารย์ :ไว้เรา (ลูกศิษย์)ไปปฏิบัติให้ได้ก่อน แล้วเราจะบอก ให้ฟ้าดินถล่มทลายของเรา(ลูกศิษย์)ไปก่อน แล้วเราจะบอก

ถาม :ขอให้หนูพ้น

พระอาจารย์ : ถ้าหนูถล่มทลายเมื่อไรแล้วเราจะบอก

ถาม : ไม่รู้มันจะยากไหม

พระอาจารย์ : ยากไม่ยากก็ลองทำดูซิ บอกไปตอนนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร บอกแล้วไม่เกิดประโยชน์ ให้พยายามเพียรพยายามปฏิบัติดีกว่า อย่าไปสนใจเรื่องคนอื่นเลย

สนทนาธรรมะบนเขา ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
หลวงพ่อสุชาติ อภิชาโต
วัดวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี






ใจเบิกบาน ใจรู้เท่าต่อสิ่งทั้งปวง
ไม่มีความดิ้นรนต่อสิ่งที่ไม่พอใจ
สิ่งที่พอใจก็ไม่มีความฟูขึ้นไปตามอารมณ์
เรียกว่า พุทโธ เป็นผู้รู้ยิ่ง

หลวงปู่ขาว อนาลโย






อย่าท้อ เราจะท้อไปทำไม

ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

สู้สร้างความดีไปดีกว่า

ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปท้อ

แล้วสิ่งดีๆจะย้อนกลับหาเราเอง

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม








"คิดหมิ่นเหม่ไม่ได้ อุปมาเปรียบเหมือน ขาหนึ่งเหยียบประตูพระนิพพาน อีกขาข้างหนึ่งเหยียบปากกระทะทองแดง สามารถจะตกนรกได้ภายในฉับพลัน สำหรับชีวิตนักบวช ถ้าทำดีก็ได้บุญมาก ถ้าทำชั่วก็ได้บาปมาก"

หลวงปู่ลี กุสลธโร







"ถ้าหากเป็นแต่เพียงแค่ความรู้ พินิจพิจารณารู้เฉย ๆ แต่ว่า ใจไม่เห็นพร้อม ใจไม่ยอม ก็ไม่เกิดผลประโยชน์"

หลวงปู่ศรี มหาวีโร





คนส่วนใหญ่ใช้ยาเสพติดเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ ความคิดก็เป็นของเสพติดเหมือนกัน เวลาเราเป็นทุกข์ เราไม่อยากเผชิญหน้ากับความทุกข์ อยากจะหลบหลีกหรือลืมความทุกข์ชั่วคราว วิธีง่ายสุดคือให้จิตเพลินอยู่กับความคิด เอาเรื่องความสุขในอดีตมาเป็นเครื่องบันเทิง เอาความคาดหวังในอนาคตเป็นเครื่องบันเทิง นี้คือสัญชาตญาณของปุถุชนทั่วไป ก็น่าเห็นใจเหมือนกัน แต่พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่าผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริง แล้วแก้ที่เหตุ

พระอาจารย์ชยสาโร






“การสู้เวทนา” จะทำให้ “จิต" เห็นธรรมง่าย ถ้าหากจะสู้กันจริง ๆ จัง ๆเชื่อมั่นว่าคนนั้นไม่ถึง 7 วันจะต้องเห็นในจิตในใจของตน (ตาทิพย์)

คือ เราสู้เอาชีวิตเป็นประกัน มันจะปวดขนาดไหนก็ปวดไป จะไม่ยอมขยับเขยื้อน เรานั่งอยู่ขาใด มือใดท่าใด เราจะนั่งอยู่อย่างนั้น

เวลามันจวนจะตายจริง ๆ มันเจ็บมันปวดนั้น เวทนาใหญ่เกิดขึ้น มันเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนนั่งอยู่ในกองไฟ หรือเหมือนเอาหลาวทิ่มขึ้น ไปบนอากาศ แล้วนั่งอยู่บนปลายแหลน ปลายหลาว

ถ้าหากจิต “ไม่รวม” ให้ใจไม่เป็นธรรม มันก็ทำท่าจะตายถ่ายเดียว คนที่ใจไม่เด็ด ไม่ยอมเสียสละชีวิต มันก็อยู่ไม่ได้ จะต้องลุกต้องหนี ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ

“อิริยาบถ” นี้ปิดบัง “ทุกข์” เอาไว้ไม่ให้เราเห็นชัดเจน ถ้าเราสู้ทนเอา เรานั่งก็ท่านี้แหละ

พิจารณาดู “ตามเป็นจริง” ของมัน “กาย” นี้มัน “ไม่ทราบอะไร” ตายเอาไปเผาไฟ ฝังดิน มันก็ไม่เห็นบ่น

หาก “จิต” ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริงเมื่อไร ตายก็ให้มันตายไป ถ้าหาก “มันไม่ตาย” “สิ่งที่เหนือตาย” คืออะไร เราจะทราบ

“สิ่งใดมันตายไปก็ให้มันตายไป” “สิ่งใดที่มันเหลืออยู่” เราจะเอา “อันนั้น” แหละ “เป็นตัวของเรา” “เป็นของของเรา”

นี่...”นักสู้” ต้องสู้แบบนั้น เวลาต่อสู้กันจริงจัง ระยะนั้นแหละ “ธรรมอัศจรรย์” จะเกิดขึ้น ถ้าเราต่อสู้ได้

เราจะทราบเรื่องของจิตของใจว่าเป็นอย่างไร “ความอัศจรรย์” ที่ไม่เคยเห็น เคยเป็นมาก่อน มันปรากฏขึ้น มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสว่างไสว โล่งอกโล่งใจ เมื่อเวลามันจะตายจริงจังมันก็แบบนี้แหละ

ถ้าเรา “สู้มันได้” เรา “เข้าใจ” “ตามเป็นจริง” “เวทนา” หน้าไหนมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร “จิตใจ” ของเราจะ “ไม่ลุ่มหลง” อีก (กลางคืนสว่างยิ่งกว่ากลางวัน)

ขอทุกท่านจงพากเพียร กระทำบำเพ็ญ ติดต่อกัน ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้หยุด ไม่ให้ถอย จนให้เห็นประจักษ์ในตัวของตัวว่า “จิตที่ละขันธ์ได้” “ถอนได้” “ไม่ติดไม่ข้องกับขันธ์” นั้นบรมสุขอย่างไร....

พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร







ถ้าจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที จนแบกไม่ไหวแล้วก็เลยปล่อยมันตกลง....ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี้แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าการแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใดแต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอกว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เพียงใด

หลวงปู่ชา สุภทฺโท






นับแต่ตื่นจากหลับนอน
ครูตากระทบรูป แม่ได้เรียน
ครูหูกระทบเสียง แม่ได้เรียน
ครูจมูกกระทบกลิ่น แม่ได้เรียน
ครูปากลิ้นกระทบรสชาติ แม่ได้เรียน
ครูกายได้สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง นุ่มนวล แม่ได้เรียน
ครูใจกระทบอารมณ์ แม่ได้เรียน
แม่จึงว่า แม่ได้เรียนธรรมอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาพัก
ต่างครูก็ต่างหน้าที่ตามปกติของเขาไป
เป็นแต่ใจของเรานี้เองจะเกาะเกี่ยวอย่างใด
อย่างชอบหรืออย่างไม่ชอบ
แต่แม่เรียนรู้อย่างรู้เท่ารู้ทัน
ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอนมาอย่างนี้
แต่ก่อนเคยมีผู้ถามอัญญาท่านมั่นว่า
"พระธุดงค์พระป่าเรียนหนังสืออย่างไรกัน"
เพิ่นตอบว่า "เรียนด้วยการหลับตา แต่ตื่นใจ"

- คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ









ใช้ชีวิตอยู่กับโลก อยู่กับความคิด
อยู่กับ "เงา" อย่างมีปัญญา
ใจเห็นเงา แต่เงาไม่ใช่ใจ....

คติธรรม
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
พุทธธรรมสถานปัญจคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา







"ความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับใจกับตัวของเรานั้น ขอให้ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ชั้นดีของเรา เพราะว่าได้สอนเราให้รู้จักทุกข์ เมื่อรู้จักแล้วจะได้หาทางแก้ไข"

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท






...เศษของกรรม...
..บางคน ร่างกายก็ไม่สมประกอบ ตาก็ไม่มีกับเขา ตาบอดไปข้างหนึ่ง หรือสองข้าง หูก็เหมือนกัน เคยได้ยินได้ฟัง ก็ไม่ได้ยินได้ฟัง ร่างกายไม่สมประกอบสักอย่าง แขนขาด ขาขาด หูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียขา ร้อยอันพันอย่าง ซึ่งเราเห็นกันอยู่ทั่วโลก เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องเศษกรรมที่นำสนอง เนื่องจากการกระทำของเรา หรือเรียกว่าเป็นผลงานของเรา ซึ่งเราได้ทำมาก่อน ผู้ใดสร้างผลงาน หรือประพฤติปฏิบัติงานด้านใด ด้านดี ก็ส่งเสริมให้ดี ด้านไม่ดี ก็ส่งเสริมไปตามเรื่อง เพราะเรื่องของกรรมนี้ เสกสรรไปหลายแบบ แล้วแต่ตัวเรา คิดเอาทำเอา เราทำสิ่งดี ก็ได้ดี เราทำไม่ดี ก็ได้สิ่งไม่ดี พวกกรรมเหล่านี้ ยิ่งซื่อสัตย์ตรงดิ่งเลย ไม่มีการเอนเอียง เรียกว่าไม่มีอคติ อันของเหล่านี้ เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร...








"ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไป ถ้าจิตใจดีขึ้น
จัดว่าเป็นกำไร และไม่ว่าจะได้อะไรมา
ถ้าจิตใจเลวลง ถือว่าเป็นการขาดทุน"

หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร