วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 17:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2019, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"พระอรหันต์แต่ละองค์ท่านได้สำเร็จไม่เหมือนกัน แตกต่างกันทั้งหมด พระโมคคัลลานะ ท่านก็สำเร็จทางฤทธิ์ไม่มีองค์ไหนได้เท่า พระสารีบุตรท่านก็เลิศด้านปัญญาส่วนฤทธิ์ท่านก็มีบ้าง แต่ไม่ได้สนใจในทางนี้ พระเณรสมัยใหม่บวชไม่ทันไร ถามหาคำภาวนาที่สำเร็จบอกอยากได้ พอถามธาตุ ๔ ธาตุ ๖ ธาตุ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ยังแปลไม่ได้ไม่รู้จัก แล้วจะเอาอะไรมาสำเร็จ จะให้พอภาวนาพุทโธแล้วเหาะได้เลยหรือไม่มีทาง บอกให้หมั่นภาวนา ก็เห็นมีแต่ก้มหน้านับข้อนิ้วมือกัน แม่นหยัง ก็เล่นโทรศัพท์ ผมภาวนาหามาตั้งแต่อายุ ๙ ปี หาอยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้ก็มีแก้ไขตนเองทุกคืน มันจึงบอกกันไม่ได้หรอก พูดเป็นปีก็ไม่หมด ทางไปนิพพานเส้นผมแบ่งสามยังยากที่จะเข้าได้ ดูตัวเราสิใหญ่ขนาดไหน ทางลัดไม่มี มีแต่ทางของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
" ธรรมคำสอน"
หลวงปู่ประไพร สุภโร




พระฝรั่งรูปหนึ่งเคยบ่นกับหลวงพ่อชาว่า ทำไมพวกเราตั้งอกตั้งใจมากแต่สงบยาก ในเมื่อเพื่อนพระไทยหลายรูปดูจะสงบง่ายกว่าเราเยอะ หลวงพ่อตอบว่า “คนมีการศึกษามากมักจะคิดมาก สงสัยมาก สงบยาก พระไทยส่วนใหญ่เป็นลูกชาวนา มีการศึกษาน้อย ไม่คิดมาก ไม่สงสัยมาก ศรัทธาท่านแรงกล้า จึงสงบง่ายหน่อย” อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อให้กำลังใจ “จิตของพวกท่านเหมือนบ้านหลังใหญ่ มีหลายห้อง จะทำความสะอาดก็ต้องใช้เวลามากกว่ากระต๊อบก็จริง แต่สะอาดแล้วคงจะน่าอยู่กว่า ทำอะไรได้มากกว่า”

ทุกวันนี้คนไทยมีการศึกษามากขึ้น คนในเมืองนิสัยคิดมากสงสัยมากกำลังถึงระดับอินเตอร์เสียแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ขออย่าท้อแท้ จิตถึงจะฝึกยากก็ฝึกได้ ถ้าขยันทำความเพียรต่อเนื่อง ในที่สุดกระแสความคิดฟุ้งซ่านจะแปลงเป็นพลังปัญญา

พระราชพัชรมานิต (พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ)






ให้ดูใจ ถ้าหากว่าเราดูใจของเราแล้ว ทำดีได้ดีจริง ใจมีความสบาย ใจมีความสุขจริง ทำไม่ดีได้ความไม่ดีจริง ใจไม่สบายจริงใจเป็นทุกข์จริง ถ้าเราดูใจของเราแล้วมันชัดเหลือเกิน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ดูใจของเรามากๆ แล้วคิดว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอันนี้เราจะยอมรับอย่างสนิทใจ อย่าใจร้อนค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อนใจร้อนจะร้อนใจ ร้อนใจเพราะไม่ได้ดั่งใจ ทำใจเย็นๆ แต่ว่าต้องมีความพยายามให้มากพอใจในการทำให้มากอันนี้เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง...

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์
อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร






พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

คุณแม่จันดี เล่าว่า...“การปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้เพราะ ช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติดเพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ-เห็นในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลก นอกจากผู้ภาวนาแต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเองเป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร...ไม่ต้องให้ใครมาโกหก เราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล...ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างามอยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป เป็นแต่ผู้คนจะมีจิตยินดีและต้องการหรือไม่”

ท่านให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริงตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบากแม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า...“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นเอง พระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย เร่งเลย...”

ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย...”

ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า...“อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”

จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด.. ถึด.. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง

ท่านบอกว่า...ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ

...คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...

เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น...พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า...“ อ้าย (พี่) หมดห่วงแล้ว...”


คุณแม่จันดี โลหิตดี





หลวงปู่มั่นเพิ่นว่า บุญบ่ต้องเสียเงินเสียทอง บ่ต้องไปแสวงหาที่ไหน พวกทำนาก็ ทำนาไปนำ พุทโธไปนำ นาก็ได้ บุญก็ได้ พวกเฮ็ดงานก็ เฮ็ดงานไปนำ พุทโธไปนำ งานก็ได้ บุญก็ได้ บ่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มันบ่เอา เอาแต่เฮ็ดงานไปนำ เบิ่งโทรทัศน์ไปนำ จิตก็หมุนอยู่ในวัฏวน จำคำหลวงปู่มั่นไว้เด๊ะ
(โอวาทธรรม หลวงปู่ทุย)





ขอให้จิตเป็นปัจจุบันเถอะ อดีตที่ผ่านมาแล้วอย่าไปคำนึง อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปคำนึง ทำให้เป็นปัจจุบัน ดูหัวใจตัวเอง มันคิดไปไม่ดีก็ร้องหักห้ามมัน ห้ามเข้าๆ พอห้ามหลายครั้งมันก็อยู่เข้าๆ ก็จับหลักได้เท่านั้นเอง

หลวงปู่ลี กุสลธโร






ถ้าจะแก้กรรมเวรให้ถูกจุดตรงๆ แล้ว ต้องทำสมาธิ
เพราะการทำสมาธิเป็นการฝึกหัดจิตโดยตรง
คือตัวผู้ก่อกรรมทำเวรนั่นเอง
เมื่อจิตเห็นความส่งส่ายเป็นตัวกรรมตัวเวรแล้ว
ก็จะได้ตั้งสติควบคุมจิตให้อยู่ในความสงบ
มีสติรู้อยู่อย่างเดียวไม่ส่งส่ายออกไปแสวงหากรรมเวร
แล้วกรรมเวรของจิตก็จะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จากหนังสือ เทสโกวาท





เป้าหมายของการปฏิบัตินี้ก็คือ
ให้จิตมันเห็น..เห็นแล้วก็รู้..แล้วก็ปล่อยวางด้วย
ว่า ไม่มีเรา...ไม่มีตัวเราเลย เรานี่แค่สมมติเฉยๆ

ถ้าจิตไม่เห็นนี่ยังไงมันละอุปาทานไม่ได้

เพราะอุปาทานมันเหนียวแน่นมาก
มันยึดว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่
ยึดว่าร่างกายเป็นเรา ยึดเวทนาเป็นเรา
ยึดจิตว่าเป็นเรา ยึดธรรม "เรา" หมด
แต่จริงๆ แล้ว #มันเป็นของเกิดดับ_ไม่มีตัวตน_เป็นธรรมชาติ
มันมาจากธรรมชาติล้วนๆ ความหลงนี่มันมาทีหลัง
.
เมื่อเรา "รู้" แล้ว แต่เรา "วาง" ยังไม่ได้
เราก็เลยมาปฏิบัติ เพื่อให้จิตเราเนี่ยมันวางได้
การที่มันจะวางได้นี่
มันก็ต้องปฏิบัติตามวิธีการของพระพุทธเจ้า
ก็ต้องมีสติด้วย ควบคุมจิตให้อยู่กับตัวเอง
ถ้าใครมีสติดี...ก็คุมได้เร็ว คุมปั๊บ ก็อยู่แล้ว...
อยู่แล้ว....ก็พยายามให้จิตมันรู้....
อะไรเกิดขึ้นให้มัน "รู้" นี่มีสัมปชัญญะขึ้นมาแล้ว
พอรู้....ก็เห็น...ทีนี้ เห็นว่ามันผ่านมาผ่านไปเกิดแล้วก็ดับไป

การที่เห็นความเกิดดับก็คือการเห็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
ความรู้สึกว่ามันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอันนี้
มันจะซึมเข้าไปในจิตของเรา เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้
แต่ว่าปัญญาญาณตรงนี้ มันซึมเข้าไปในจิตของเรา
เมื่อมันซึมเข้าไปในจิต จิตมันจะปล่อยของมันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมันลงสู่ "อนัตตา" ...มันจะทิ้ง....
"ทิ้ง" เพราะมันไม่ใช่ของเราแน่นอน

.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร