ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

แสวงหาสุข
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57826
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 13 ก.ค. 2019, 07:24 ]
หัวข้อกระทู้:  แสวงหาสุข

..."เพิ่นครูอาจารย์มั่นมาอยู่บ้านห้วยทราย มีหมาเเดงตัวหนึ่ง เป็นหมาตัวผู้ หลงมาอาศัยกับพระเณรในวัด

หมาตัวนี้ลักษณะหลังอานหางม้วน เชื่อฟังพระเณรไม่เห่ารบกวน ไม่สนใจหมาตัวเมีย ชอบอยู่อย่างสงบ เวลาพระเณรบิณฑบาตร ก็เดินตาม ไม่รังเเกหมาตัวอื่นทั้งในเเละนอกวัด

ที่นี้เพิ่นครูอาจารย์มั่นจะลงไปอยู่อำนาจเจริญ พอหมาตัวนั้นรู้ว่าเพิ่งจะไปจาก มันก็อาลัยรัก คอยติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง

เเละจะมอบเฝ้าอยู่ไม่ให้คาดสายตา เพิ่นครูอาจารย์มั่นก็ชอบพูดสอนมันหลายอันหลายอย่าง ที่แปลกคือหมามันไม่กินอาหารตอนเที่ยง

วันที่เดินทางมันไม่ยอมห่างครูอาจารย์มั่นเลย พระเณรก็ไล่ให้มันหนี เเต่ครูอาจารย์มั่นก็บอกว่า

" ปล่อยมันให้มันไปด้วย มันอยากไป มันตกสวรรค์มาเกิด มันจะไปสวรรค์อีก"

หมาจึงได้เดินทางไปกับคณะด้วย ที่นี้พอรู้ว่าเป็นหมาตกสวรรค์มา พระเณรต่างก็สนใจมันเป็นพิเศษ

การเดินทางหลายวัน พระเณรกลัวมันเนื่อยก็เลยอ้มมันขึ้นนั่งเกวียนข้างกับคนขับ ตามันก็จ้องครูอาจารย์มั่นไม่ให้ขาดหายไปได้

หมาตัวนี้ฉลาดใกล้ๆมนุษย์จริงๆ มันเคยเป็นข้ารับใช้ของเพิ่นครูอาจารย์มั่นมาก่อน...

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ



เรื่อง​ "คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก"

"หลวงพ่อคะ ลูกได้ทำบุญทำทานทำกุศลไว้มาก แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด​ ชีวิตมีแต่อุปสรรค มีแต่ปัญหาถูกคนนินทาบ้าง ถูกคนว่าร้ายบ้าง แสดงว่าบุญที่ทำในชาตินี้ไม่ให้ผลดี ใช่ไหมเจ้าคะ"

นั่นแหล่ะให้ผลดีมาก เป็นมหากุศล ก็ทำถูกแล้วนี่ เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเพื่อพบกับคำนินทาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

นัตถิ โลเก อนินทิโต
"คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก"

คนที่บุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ คนที่มีบุญเล็ก ถูกนินทาเล็ก อย่างพระพุทธเจ้าเขาไม่นินทานะ เขาด่าต่อหน้าเลยนะ โดนหนักกว่าเรามาก นั่นแหล่ะท่านมีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ด่าแหลกเห็นไหมล่ะ

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบุญกุศลชาตินี้ชาติหน้าอะไรหรอก มันเป็นกฎธรรมดา เราเกิดมาแล้วถูกนินทาแน่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปนะ อีกประการหนึ่งขอให้คิดว่าคนที่นินทาคนก็ดี คนด่าก็ดี เป็นลักษณะของคนบ้า เราก็ไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมาก็หมดเรื่อง ให้เขาบ้าเพียงฝ่ายเดียว

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตอบพราหมณ์ พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ พราหมณ์โมโหที่ลูกศิษย์ของแกสรรเสริญพระพุทธเจ้า แกรู้ก็ไปชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยปล่อยให้แกเทศน์แทน ตามพระบาลีท่านบอกว่า ด่าแบบทาสกรรมกรด่ากัน ด่าไปด่ามาแกเหนื่อย​ แกก็หยุดแล้วชี้หน้า

"สมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว"
พระพุทธเจ้าถามว่า
"ตถาคตแพ้เธอตรงไหนเล่า?"
ท่านพูดเรียบๆ นะ
พราหมณ์ตอบว่า
"ข้าด่าแก แกไม่ด่าตอบนี่หว่า"

พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบว่า
"พราหมณ์ ตถาคตมีความรู้สึกว่าถ้าใครโกรธตถาคต ตถาคตโกรธตอบ ตถาคตเลวกว่าคนนั้นนะ"

โดนน็อคเลย อีตานั้นนั่งทรุดเลย ยกมือไหว้กล่าวว่า
"วาจาของท่านเป็นสุภาษิต เหมือนกับหงายของที่คว่ำมารับน้ำค้าง" ท่านก็เลยขอบวช บวชแล้วได้เป็นอรหันต์

แบบนี้ถึง ๔ คนด้วยกัน ไม่ทราบว่าทำบุยอะไร ด่าพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ อย่าไปเอาเข้านะ นี่พึ่งได้แค่ ๔ คน แต่อย่าไปว่าท่านนะ ท่านเป็นอรหันต์ไปนิพพานหมดแล้ว

ไอ้นี่แหล่ะการนินทาเราหลบไม่ได้ ต้องถือว่าตามคติของพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสงฆ์ ระหว่างพระองค์เดินไปกับพระสงฆ์ เมืองนาลันทากับกรุงราชคฤห์ต่อกัน

ที่พรามหณ์นำคณะตามไป ท่านลุงนินทาพระพุทธเจ้า หลานสรรเสริญพระพุทธเจ้า ตอนเช้าไปบิณฑบาตรชาวบ้านเขาก็เล่าให้ฟัง พระฉันข้าวเสร็จก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และเล่าให้พรพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าก็บอกว่า

"พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจในวาจาทั้งสอง คือนินทาและสรรญเสริญ ถ้าเราดีเขาก็นินทาว่าเลว เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด ถ้าเราเลวเขาก็สรรญเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตามเขาพูด เราจะดีหรือเลวอยู่ที่การประพฤติและปฏิบัติเท่านั้น"

พูดสั้นๆ เท่านี้พระพวกนั้นได้บรรลุมรรคผล นี่ต้องถือตามคตินะ ถ้าไปคิดว่า เกิดมาชาตินี้ถูกนินทาแล้วกลุ้มใจ ตายลงนรกแน่

คติธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ




“จิตของผู้บริสุทธิ์ก็เป็นเหมือนเผือก มัน หรือเมล็ดพืชผลที่ทำให้สุกแล้ว จะเอาไปทิ้งไปหว่านที่ไหนก็เกิดอีกไม่ได้ ...อยู่กับโลก แต่ไม่ติดในโลก”

หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม




"สิ่งน่าอัศจรรย์ ที่คาดไม่ถึง
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ ที่สุดในโลก คือ
คนที่เคยเกิดมา ในโลก
ล้วนแต่เคยตายมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ไม่มีใครเชื่อว่า ตัวเองจะตายวันนี้
นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ



"โลกยิ่งมืดเพียงไร
ผู้มีปัญญายิ่งทำบุญทำกุศลเพียงนั้น"

สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




...สิ่งต่างๆที่ได้มา
จะค่อยๆเสื่อมไป ..จากของใหม่
ก็จะกลายเป็นของเก่า ..จากของเก่า
ก็จะกลายเป็นของชำรุด
และเป็นของพังของเสียไปในที่สุด

.
เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง
"ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ข้าวของต่างๆ
หรือบุคคลต่างๆ".. ก็เป็นเช่นเดียวกัน.
........................................
.
คัดลอกกำลังใจ 27 กัณฑ์ 285
ธรรมะบนเขา 13/1/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





การขวนขวายแสวงหาสุขที่แท้จริง
หาที่จิตนี้ โดยอาศัยภายนอกเป็นเครื่องมือ เพื่อจะสร้างสุขภายใน เพื่อถอนจิตให้เป็นอิสระจากกิเลสทั้งหลาย รวมทั้งยอดของกิเลสคืออวิชชา ที่ครอบงำจิตใจของเรามาแต่ไหนแต่ไร ให้ออกไปจากจิตจากใจของเรา ให้ใจของเราปราศจากความครอบงำของสิ่งเหล่านั้น นี่ล่ะเป็นยอดปรารถนาในธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศสั่งสอน ล้วนแต่เพื่อให้จิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง

เมื่อพวกเราเดินรอยตามด้วยการมุ่งหน้าปฏิบัติ แม้การปฏิบัติของเรายังไม่ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ แต่การปฏิบัติของเราไม่มีคำว่าสูญเปล่า สิ่งที่เราปฏิบัติไป จะรวมเข้าสู่จิตสู่ใจของเรา เป็นปุพเพกตปุญญตา การได้สั่งสมบุญไว้เป็นมงคลในมงคล ๓๘ ประการ ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า ปุพเพกตปุญญตา เอตัมมังคละมุตมัง การสั่งสมบุญไว้นั้น เป็นมงคลอันสูงสุด การปฏิบัติของเราจะสะสมเข้าไป ๆ ปุพเพกตปุญญตาจะให้ผลแก่เราสืบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ นับแต่ภพชาตินี้ แม้จะยังไม่หมดเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราก็ได้อาศัยปุพเพกตปุญญตาส่งเสริมเราให้ไปสู่ภพชาติข้างหน้า ให้เป็นภพที่มีคติที่ดีงาม และสะสมไป ประพฤติปฏิบัติไปเป็นเชื้ออุปนิสัยของการประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป จนกระทั่งเราสามารถก้าวไปถึงจุดหมายอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติต่อไปก็ตาม
(โอวาทธรรม พระอาจารย์สุธรรม)

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/