วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องราวของผู้หญิงคนที่ ๒ ที่ได้รับเกียรติสูงสุดหลังความตายเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งนี้ เจนนี่ เวด เกิดในเมืองนี้ และเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหญิงรับจ้างเย็บผ้าเช่นเดียวกับแม่ของเธอ
ส่วนพ่อนั้น อยู่ในโรงพยาบาลบ้า ครอบครัวเล็กๆ จึงค่อนไปทางยากจนข้นแค้นมากกว่าอยู่อย่างสุขสบาย เจนนี่ เวด มีเพื่อนชายที่คบหาแต่วัยเยาว์อยู่ ๒ คน โดยที่คนหนึ่งในนั้นกลายเป็นคู่หมั้น ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนรักตลอดกาลของเธอ แต่เมื่อสงครามกลางเมืองปะทุขึ้น คู่หมั้นของเจนนี่อาสาเป็นทหารฝ่ายเหนือ ส่วนเพื่อนรักอาสาไปสังกัดกองทัพฝ่ายใต้ น่าเศร้าเหลือเกินที่เพื่อนต้องหันมาจับอาวุธประหัตประหารกัน ผลสุดท้ายเพื่อนรักทั้งสองก็เสียชีวิตเพราะสงคราม

ในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง เจนนี่อายุเพียงแค่ ๒๐ ปี ทั้งครอบครัวอันประกอบด้วยแม่ เจนนี่ และน้องชายอีก ๒ คน อยู่ในบ้านกลางเมืองเก็ตตี้สเบิร์ก ส่วนพี่สาวอีกคนคือ จอร์เจีย หลังมีสามีแล้วก็แยกตัวไปเช่าบ้านอยู่ชานเมืองไม่ห่างไกลกันนัก
ช่วงที่เกิดสงคราม จอร์เจียเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อย ส่วนพ่อของลูกนั้นไม่รับผิดชอบลูกเมีย ในบ้านเช่าหลังเล็กๆชานเมือง จึงมีแต่จอร์เจียและทารกเพียงลำพัง แม่และเจนนี่จึงย้ายไปอยู่รวมกับจอร์เจียชั่วคราว เพื่อหนีภัยสงครามและช่วยดูแลลูกที่เกิด โดยย้ายไปในวันแรกที่เกิดการปะทะในสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์ก คือ วันที่ 1 ก.ค. 1863 แต่ในเวลานั้นบ้านเช่าหลังน้อยกลายเป็นจุดกึ่งกลางของการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย กระสุนปลิวปะทะบ้านเป็นรูนับสิบๆรูอย่างชัดเจน ทุกคนต่างอยู่แต่ชั้นบนของบ้านอย่างอกสั่นขวัญหาย

แปดโมงเช้า วันที่ 3 ก.ค. 1863 เจนนี่กำลังอบขนมปังให้คนทั้งครอบครัว รวมทหารฝ่ายเหนือที่ซุ่มอยู่ชั้นบนบ้าน เพราะทั้งบ้านไม่มีอะไรจะกิน กระสุนปริศนาพุ่งทะลุประตูบ้านและทะลุประตูครัวเข้าบ่าซ้ายของเจนนี่แล้วตัดขั้วหัวใจจนล้มลงทันที ก่อนเธอสิ้นใจได้กล่าวว่า
“หากวันนี้จะต้องมีใครเสียชีวิต ขอให้เป็นเธอเพียงคนเดียว และคนสุดท้ายที่เสียชีวิต”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ของเจนนี่ได้ยินเสียงหนักๆในครัว พอเห็นร่างชุ่มเลือดของลูกสาว ก็กรีดร้อง ทหารฝ่ายแยงกี้ที่ซุ่มอยู่ในห้องนอนวิ่งลงมาดู แต่การจะนำศพของเธอออกมาจากบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตกอยู่ในวงล้อมของทหารฝ่ายใต้ สุดท้ายต้องนำร่างเธอขึ้นไปชั้นบน บ้านหลังนั้นแท้จริงแล้วเป็นบ้านแฝดสำหรับคนมีรายได้น้อยพักอาศัย จึงเป็นลักษณะบ้านแฝดที่ใช้ผนังร่วมกัน ทหารต้องพังผนังห้องนอนจอร์เจียเพื่อทะลุไปยังบ้านอีกหลัง เพื่อนำศพเจนนี่ไปไว้ยังห้องใต้ดิน จากนั้นก็รอจนกว่าสงครามจะสงบ

หลังทหารฝ่ายเหนือมีชัยเหนือกองทัพฝ่ายใต้ มีการนำร่างเธอไปฝังไว้ในสนามหญ้าหลังบ้านเป็นการชั่วคราว จากนั้นอีกหลายปีก็ขุดขึ้นมาฝังที่โบสถ์แห่งแห่งหนึ่งพร้อมพิธีทางศาสนา
สุดท้ายรัฐบาลอเมริกันมีคำสั่งให้นำร่างเจนนี่ไปฝังไว้ในสุสาน Evergreen Cemetery โดยให้มีการชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาโดยไม่มีการนำลงชั่วนิรันดร์ ณ ที่แห่งนี้ เจนนี่ได้ทอดร่างเคียงคู่กับคู่หมั้นคือ แจ็ค สเกลลี่ ที่เสียชีวิตหลังการเสียชีวิตของเจนนี่เพียงไม่กี่วัน

นอกจากนี้ ทางรัฐบาลอเมริกันได้กำหนดให้มีการชักธงสู่ยอดเสาหน้าบ้านหลังที่เจนนี่เสียชีวิตด้วย ถือเป็นเกียรติยศ เพราะเธอเสียชีวิตขณะกำลังทำขนมปังเพื่อเป็นเสบียงให้ทหารฝ่ายเหนือ จึงถือเป็นพลเรือนที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อกองทัพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เก็ตตี้สเบิร์กนั้น นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังเป็นเมืองที่นักลองของแวะไปพิสูจน์ “เรื่องลี้ลับ” บ่อยๆ เพราะเป็นเมืองที่ติด ๑ ใน ๑๐ ของสถานที่สยองขวัญในอเมริกา โดยเฉพาะบ้านที่เจนนี่ เวด เสียชีวิต มักปรากฏว่า พบวิญญาณพ่อของเจนนี่อยู่ในบ้านหลังนั้น
ส่วนวิญญาณของเจนนี่เองมักพบในบ้านหลังเดิมใจกลางเมืองมากกว่า ก็ว่ากันไปตามความเชื่อส่วนบุคคล แต่ในฐานะที่เคยไปเดินพิสูจน์ความเฮี้ยนในยามราตรีกลางเมืองนี้ บอกได้เลยว่า ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะได้สัมผัสอะไรแปลกๆ ที่ไม่อาจอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ตลอดเส้นทางที่เดิน
ถ้าเอามาเล่าตรงนี้ สารคดีคงกลายเป็นเรื่องผีแน่ๆ เพราะหลักฐานการ “เจอ” สิ่งลี้ลับในเมืองนี้ปรากฏให้เห็นมากมาย พอตัวเองไปพิสูจน์ก็เข้าใจได้เลยว่า ทำไมผู้คนจึงขนานนามเมืองนี้ว่าเป็นเมืองสุดหลอนในอเมริกาเมืองหนึ่ง เพราะผลพวงจากอดีตตกค้างในสมรภูมินี่เอง.

(จบตอน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากรบกลายเป็นหลอน! ‘ยุทธการเกตตีสเบิร์ก’ จากสมรภูมิรบนองเลือดอันโหดร้าย สู่สถานที่สุดเฮี้ยนบนผืนแผ่นดินอเมริกา

รูปภาพ

https://www.spokedark.tv/posts/mystery- ... ttlefield/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2019, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2019, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย” ต่วย ตูน มีตอน ๑ ตอนเดียว เมื่ออ่านจบตอนแล้วรู้ค้างคาใจเพราะไปไม่สุด จึงค้นหาทางเนตปรากฏว่ามีสิบกว่าตอน อ่านจบแล้วได้ข้อคิดหลายๆอย่าง เช่นว่า คนเราเนี่ยเมื่อถูกกดดันบีบคั้นทางจิตใจ (ทุกข์ทางใจ) มากๆแล้ว จะส่งผลกระทบถึงร่างกายด้วย บางคนฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาเป็นต้น

ดูคำนำก่อน แล้วจะลงตอนที่เขาฝึกจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ

อ้างคำพูด:
หนังสือ "ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย" ของสปัน เธียรประสิทธิ์ จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบ ๗ รอบ หรืออายุ ๘๔ ปี หนังสือเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวของสปันตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยจนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ คนทั่วไปอาจคาดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง ชีวิตสปันผ่านวิกฤตมาหลายครั้งหลายครา ชีวิตเคยขึ้นสูงสุดลงมาต่ำสุด ดังที่ผู้อ่านจะได้อ่านต่อไป หนังสือเล่มนี้มีข้อคิด คติสอนใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองในการดำเนินชีวิต รวมถึงสามารถนำไปถ่ายทอดสอนลูกหลานอันเป็นที่รัก ไม่ให้เดินทางผิดตัดสินใจพลาดพลั้ง หรือ นำมาปรับใช้เป็นวิธีให้กำลังใจลูกหลาน ในยามที่เขาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งสำเร็จ

นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านได้เห็น และเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต การปล่อยวาง สอนให้รู้จักการทำสมาธิ การบริหารจิตใจอย่างง่ายๆ เพื่อให้ชีวิตพบกับความสุขที่แท้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2019, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๓

เมื่อฉันไม่อยู่ ฉันได้แต่งตั้งครูใหญ่คนหนึ่งให้ดูแล แต่เค้าทำไม่ได้ดี มีแต่ปัญหา ฉันจึงต้องตัดสินใจเลิก ปิดโรงเรียนก่อนที่ชื่อจะตก ฉันเลิกกิจการทั้งหมด แล้วย้ายลูกทั้ง ๒ คนไปเรียนต่อที่อเมริกา

หนิงสอบเข้าได้ที่ New York university แต่ชีวิตที่นิวยอร์กโหดมาก พอเข้าไปจริงๆอยู่ไม่ได้ หนิงเลยขอกลับมาเข้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้แม่ภูมิใจมาก
จากนั้นก็กลับไปต่อปริญญาโทที่บอสตัน ส่วนหน่องได้เข้าเรียนโรงเรียนดีไซน์เนอร์และทำงานไปด้วยที่นิวยอร์ก
ฉันฝากให้เขาไปเป็นแคชเชียร์เก็บเงินร้านอาหารไทยที่สนิทกัน
วันหนึ่งที่ร้านมีลูกค้ามาก มีนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่บอสตันได้มารับประทานอาหาร หน่องไปช่วยเช็ดโต๊ะ ได้ยินเสียงนักเรียนไทยคนหนึ่งพูดกับเพื่อนว่า คนนี้หน้าเหมือนลูกสปันเลย อีกคนตอบว่า ไม่ใช่ลูกสปันหรอก ลูกสปันจะมาเช็ดโต๊ะได้ยังไง
หน่องได้ยินจึงหันไปตอบว่า "ใช่ค่ะหนูเป็นลูกคุณสปัน "

ฉันสอนลูกเสมอว่าให้ขยัน ไม่มีงานไหนสูงหรือต่ำ จะอยู่ที่ไหนทำตัวให้มีค่าที่สุด นั้นแหละคือคนที่รู้จักใช้ชีวิต

ต่อมา ฉันและหมอ ได้ย้ายจากนิวยอร์กมาใช้ชีวิตอยู่ที่แอลเอ ซึ่งสงบขึ้น อยู่เงียบๆคนเดียว ทำสวน บางที ก็แอบทำขนมไปส่งขายที่ตลาดไทย
วันหนึ่งหมอลืมของ กลับมาตอนกลางวัน เจอฉันผิงขนมกลีบลำดวน กลิ่นคลุ้งไปทั้งบ้าน หมอไม่พอใจ บอกว่าทำให้หมอขายหน้า การทำขนมไปขายเป็นการไม่เหมาะไม่สมควร ฉันเลยต้องเลิกทำ

ฉันเลยได้แต่ปลูกต้นไม้เล่นไปวันๆ ความเงียบสงบ ทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืน ฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ
ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว



ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสสนาอีกเลย คงเป็นเพราะฉันยังเป็นคนมีบาป ไม่มีบารมีพอที่จะรับบุญนี้ จึงบันดาลให้เกิดอาการประหลาดนี้ขึ้น

แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้

ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง


พอหนิงจบปริญญาโทจะกลับเมืองไทย ฉันก็บอกให้หมอย้ายกลับเมืองไทย ฉันอยากกลับเมืองไทยมาอยู่กับลูก แต่หมอไม่ยอม ฉันจึงตัดสินใจกลับ โดยขอหย่ากับหมอ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ ทางกงสุลเขาก็ประหลาดใจ เพราะเรากอดคอกันไปจดทะเบียนหย่า เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้ไปเที่ยวและพักอยู่ด้วยพูดว่า

"แกจะบ้าหรือเปล่า อยู่ๆก็แต่ง อยู่ๆก็หย่า"

ฉันตอบอย่างมีอารมณ์ขันว่า

"ก็ได้จดทะเบียนแต่งตั้ง ๓ หน ยังดีกว่าคนไม่ได้แต่งจริงสักหน จริงมั้ย"

สมัยนั้นยังไม่นิยมการอยู่ด้วยกันเฉยๆ

หนิงกลับมาอยู่เมืองไทยกับแม่ และได้แต่งงาน ซึ่งคุณอาทั้งหลายของฉันจะเอ่ยเสมอว่า

"เออดีนะ...ได้แก้หน้าให้พ่อของฉัน" เพราะหนิงได้แต่งงานกับคนมีเกียรติ งานแต่งงานจึงเป็นงานที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเป็นงานช้าง นำความปลาบปลื้มมาให้ครอบครัวฉันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแม่สามีของหนิงก็เป็นเพื่อนนักเรียนวัฒนาด้วยกันเล่นด้วยกันมา จึงทำตัวง่ายมาก

ต่อมาพี่สาวของฉันก็ตายจากไปโดยกะทันหัน เธอกินยาเกินขนาด ฉันตกใจทำใจยาก เพราะเราเคยลำบากมาด้วยกันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่มีใครที่จะเชื่อใจไว้ใจได้อีกแล้ว

เมื่อหมดพันธะกับพี่ ซึ่งพ่อเคยขอไว้ให้ดูแลและยอมพี่ เพราะพี่เป็นประสาท ฉันก็ตัดสินใจย้ายบ้านซึ่งอยู่ติดกับพี่ ออกมาอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของฉัน

บ้านใหม่นี้ มีน้ำล้อมรอบ ๒ ด้าน มีต้นไม้ใหญ่ มีนก มีกระแต มีสัตว์น้ำทุกชนิด เช้าขึ้นมีเสียงนกร้องเรียกหากัน เป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้ ฉันได้รับเงินจากการขายโรงเรียนและบ้าน ก็มาซื้อบ้านในหมู่บ้านนี้ไว้หลายหลัง ใหญ่บ้างเล็กบ้างก็อยู่ได้โดยเก็บค่าเช่ากิน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2019, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัดจาก คคห.บนมาให้เห็นวิธีฝึกจิต

ฉันเลยได้แต่ปลูกต้นไม้เล่นไปวันๆ ความเงียบสงบ
ทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืน ฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ
ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว

ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสสนาอีกเลย


แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้


ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง



อ้างคำพูด:
พระพม่าสอนวิธีฝึกสมาธิให้กับแม่ชีศาสนาคริสต์


เพจ Ñāṇasaṃvara Centre for Buddhist Studies-ศูนย์พุทธศาสนศึกษาญาณสังวร ได้รายงานว่า ตั้งแต่มีงานวิจัยออกมาว่าการฝึกสมาธิจะทำให้คนทุกคนที่ฝึกมีความสุขทางใจอย่างแท้จริง แม่ชีในศาสนาอื่นๆ ก็มาทดลองศึกษาทฤษฎีเพื่อเอาไปปฏิบัติบ้าง ในภาพ พระเถรวาทสายพม่ากำลังสอนวิธีฝึกสมาธิให้แม่ชีในศาสนาคริสต์


รูปภาพ

https://1.bp.blogspot.com/-0MFBBYiSyQU/ ... /cats2.jpg

จิตใจ (นามธรรม) ไม่แบ่งแยก ไม่มีศาสนานั่นนี่ เป็นของสากล นี่คือจุดเด่นของพุทธธรรม ใครฝึกได้พัฒนาตนถึงก็เป็นคุณสมบัติภายในเฉพาะของผู้นั้นเอง

ตัวอย่างฝึกทั้งสองวิธีที่เขาเล่าข้างบนนั่นไม่ผิด แต่ประสบการณ์และวิธีกำหนดรู้ต่างกันและผลก็ต่างกันด้วย เพราะฉะนั้น ฝึกหัดพัฒนาให้มันได้มันถึงสักอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2019, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ ออกบวชเพื่อศึกษาสมาธิในพระพุทธศาสนา

อดีตผู้จัดการบริษัทไมโครซอฟท์ ประจำประเทศมาเลเซีย ออกบวชเพื่อศึกษาการฝึกสมาธิตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่เมืองไทย พร้อมเล่าประสบการณ์การออกบวชและความมหัศจรรย์ของสมาธิ
ฯลฯ
Alex ได้พบกับพระภิกษุชาวไทยที่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่สิงคโปร์ในงานศพของแม่และได้ทดลองนั่งสมาธิกับพระเป็นครั้งแรก เขาได้สัมผัสถึงความสงบของจิตใจอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกธุรกิจ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากบวช เพื่ออุทิศบุญให้กับแม่ และต้องการฝึกทำสมาธิอย่างจริงจัง

Alex ได้บวชเป็นพระเมื่อปีพ.ศ.2560 ตัดขาดจากโลกภายนอก ได้เดินธุดงค์ ปฏิบัติธรรมใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบพระภิกษุ อยู่ในป่าสน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เขากล่าวว่า “ความสุขควรจะเป็นเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ และจะมีพลังนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน ความสุขที่คนเราแสวงหา ที่แท้แล้วอยู่ภายในตัวนี่เอง

รูปภาพ

https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5DD42C6A

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2019, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูความสุขซึ่งเกิดจากที่จิตสงบ จากตัวอย่างนี้เทียบอีกด้วย ยาวหน่อยตัดๆมา



ตอนนี้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์ ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่า ให้กำหนดรู้ลมหายใจ เสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้น ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน

แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถะแบบอัปปมัญญา ๔ แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจ แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง ฯลฯ

แค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่า ... สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ ดีกว่าความสุขในโลก ที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างปีติอยู่ ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้น แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่
จากนั้นผมก็รู้สึกยินดี กับ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาน หรือ เปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปีติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปีติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้


http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2019, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"Matthieu Ricard" พระวัย 69 ปี ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นชายที่มีความสุขที่สุดบนโลก ผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการการศึกษาด้านสมอง ที่เกี่ยวข้องกับ...สมาธิและความเมตตา

ทุกคนล้วนปราถนาที่จะเป็น ‘คนมีความสุข’ แต่ความกดดันและความรับผิดชอบหลายอย่าง ก็มักนำความเครียดมาให้ จนหลายครั้งเราหลงทางและกลายเป็นคนไม่มีความสุขแบบไม่รู้ตัว

ความลับข้อแรกของการมีความสุข : จงหยุดคิดถึงแต่ ‘ตัวเอง ตัวเอง แล้วก็ตัวเอง’

พระแห่งธิเบตเผยว่ากุญแจของความสุขมันอยู่ที่การไม่เห็นแก่ตัว การคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสิ่งที่ดูดพลัง และทำให้เครียดมหาศาล ซึ่งมักนำคนส่วนใหญ่ไปพบกับสภาวะไม่มีความสุข “การเอาแต่คิดถึงตัวเรา ตัวเรา แล้วก็ตัวเราทั้งวัน เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกข์ได้ง่าย เพราะมันทำให้เรามองสิ่งรอบข้างกลายเป็นศัตรูไปหมด หรือไม่ก็มองทุกอย่างเป็นเรื่องผลประโยชน์ต่อตัวคุณ

ฉะนั้นหากอยากมีความสุข ก็ต้องรู้จักมีเมตตาบ้าง แต่การมีเมตตาไม่ได้หมายถึงการให้คุณทำตัวอ่อนแอ และยอมให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบเช่นกัน “ถ้าหากจิตใจเราเต็มไปด้วยเรื่องความเมตตา,ความปราถนา และความซื่อสัตย์ จิตใจคุณก็จะดี และการที่มีสภาพจิตใจดีก็ย่อมทำให้คุณมีความสุข รู้สึกดีกับชีวิต”

ความลับข้อสอง : จงฝึกฝนจิตใจเหมือนดั่งการวิ่งมาราธอน

Richard เผยว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความดีในหัวใจ (ยกเว้นแต่ว่าคุณเป็นพวกฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีเคมีผิดปกติบางอย่างทำให้สมองผิดปกติ) และหลายคนอาจไม่รู้ว่าจิตใจที่ดีมันก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน มันไม่ต่างอะไรจากการวิ่งมาราธอนที่ต้องฝึก ถ้าคุณเริ่มวิ่งมาราธอน แน่นอนว่าคุณอาจไม่ได้เป็นแชมป์โอลิมปิก แต่มันก็สร้างส่วนต่างมหาศาลระหว่างคนที่ได้ฝึก กับคนที่ไม่ได้ฝึก ฉะนั้นการเรียนรู้และฝึกฝนในการหัดรู้จักรักษาสมดุลของอารมณ์,ความสนใจ และความเมตตา จะนำความสุขมาให้ได้มหาศาล

ความลับข้อที่สาม : แต่ละวันให้แบ่งเวลา 15 นาที คิดถึงเรื่องที่ทำให้เรามีความสุข

การแบ่งเวลาสั้นๆ 10-15 นาทีเพื่อนั่งคิดถึงความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะช่วยให้จิตใจสดใสขึ้น และยิ่งหากใครแบ่งเวลาอย่างต่อเนื่องสักสัปดาห์ หรือมากกว่านั้นก็จะทำให้กลายเป็นคนที่มีความสุขขึ้นมาก ด้านนักวิจัยประสาทวิทยา Davidson ก็ได้ค้นพบว่าการนั่งสมาธิราว 20 นาทีต่อวันก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ดัชนีความสุขของคนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

หลังฝึกเจริญสมาธิภาวนาในกุฏิสงฆ์ที่เนปาลมานานกว่า 35 ปี Richard ก็เชี่ยวชาญเรื่องควบคุมจิตใจ เขาก้าวไกลสู่หนทางแห่งความตื่นรู้ และยืนยันว่า "การฝึกสมาธิ" คือ สิ่งสำคัญที่ช่วยให้บรรลุความสุขแท้จริงอันยั่งยืน

ผลการสแกนสมองพระในพระพุทธศาสนา “การฝึกสมาธิ” ทำให้สมองส่วนความสุขมีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ

การฝึกสมาธิ สามารถเปลี่ยนสมอง ความคิดและชีวิตได้

การฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันสามารถเพิ่มขนาดของสมองส่วนความสุขให้ใหญ่ขึ้นได้

https://sumrej.com/the-worlds-happiest-man-7-2016/

http://www.sookjai.com/index.php?topic=176585.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2019, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตอนที่ ๑๓


แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้


ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง




เทียบตัวอย่างทำสมาธิโดยเพ่งที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

รูปภาพ


เปลี่ยนมาเพ่งพุทธรูป

เข้าใจหลักแล้วพลิกแผลงได้ร้อยแปด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตต้องฝึกต้องพัฒนา ซึ่งต่างจากประดิษฐ์วลีสวยๆ

รูปภาพ

การประดิษฐ์คำพูดสวยๆจำง่าย ช่วยได้บ้างตอนอารมณ์ดีๆ แต่พอเจอะกับสถานการณ์กระทันหัน จิตตั้งรับไม่ทัน ตัวอย่าง เช่น เราขับรถออกจากบ้านตอนเช้าอากาศกำลังเย็นสบาย ตั้งจิตตั้งใจตั้งสติว่า วันนี้ ฉันจะไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ในใจมี พุทโธ ธัมโม สังโฆ ่มีพระเจ้า ๕ พระองค์อยู่ :b8: ขับรถไปก็ท่องพุทโธๆไป การจราจรเริ่มคับคั่ง มีมอไซคันหนึ่งขับปาดหน้าแว้บ เกือบชน ของขึ้นเลย :b32: ไม่ทันตั้งนะโมของขึ้นแล้ว :b1: ใจสั่นมือไม้สั่น เอ้ย สบถ !! @ # % * ไม่รู้อะไร ด่าไปสิ้นทางสองกิโล นึกได้ นึกถึงความตั้งใจจากบ้านได้ ว่า :b15: :b11:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2019, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จิตต้องฝึกต้องพัฒนา ซึ่งต่างจากประดิษฐ์วลีสวยๆ

รูปภาพ

การประดิษฐ์คำพูดสวยๆจำง่าย ช่วยได้บ้างตอนอารมณ์ดีๆ แต่พอเจอะกับสถานการณ์กระทันหัน จิตตั้งรับไม่ทัน ตัวอย่าง เช่น เราขับรถออกจากบ้านตอนเช้าอากาศกำลังเย็นสบาย ตั้งจิตตั้งใจตั้งสติว่า วันนี้ ฉันจะไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ในใจมี พุทโธ ธัมโม สังโฆ ่มีพระเจ้า ๕ พระองค์อยู่ :b8: ขับรถไปก็ท่องพุทโธๆไป การจราจรเริ่มคับคั่ง มีมอไซคันหนึ่งขับปาดหน้าแว้บ เกือบชน ของขึ้นเลย :b32: ไม่ทันตั้งนะโมของขึ้นแล้ว :b1: ใจสั่นมือไม้สั่น เอ้ย สบถ !! @ # % * ไม่รู้อะไร ด่าไปสิ้นทางสองกิโล นึกได้ นึกถึงความตั้งใจจากบ้านได้ ว่า :b15: :b11:

คริคริ

ทุกปัญหา อย่าใช้อารมณ์ พูดมาได้ อย่างขาดสติเรย

เพราะไม่ได้เรียนพระธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า
ปัญหาต่างๆแก้โดย

สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
วิปัสสนา มีนามรูปปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ ค่ะ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2019, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จิตต้องฝึกต้องพัฒนา ซึ่งต่างจากประดิษฐ์วลีสวยๆ

รูปภาพ

การประดิษฐ์คำพูดสวยๆจำง่าย ช่วยได้บ้างตอนอารมณ์ดีๆ แต่พอเจอะกับสถานการณ์กระทันหัน จิตตั้งรับไม่ทัน ตัวอย่าง เช่น เราขับรถออกจากบ้านตอนเช้าอากาศกำลังเย็นสบาย ตั้งจิตตั้งใจตั้งสติว่า วันนี้ ฉันจะไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ในใจมี พุทโธ ธัมโม สังโฆ ่มีพระเจ้า ๕ พระองค์อยู่ :b8: ขับรถไปก็ท่องพุทโธๆไป การจราจรเริ่มคับคั่ง มีมอไซคันหนึ่งขับปาดหน้าแว้บ เกือบชน ของขึ้นเลย :b32: ไม่ทันตั้งนะโมของขึ้นแล้ว :b1: ใจสั่นมือไม้สั่น เอ้ย สบถ !! @ # % * ไม่รู้อะไร ด่าไปสิ้นทางสองกิโล นึกได้ นึกถึงความตั้งใจจากบ้านได้ ว่า :b15: :b11:

คริคริ

ทุกปัญหา อย่าใช้อารมณ์ พูดมาได้ อย่างขาดสติเรย

เพราะไม่ได้เรียนพระธรรม ไม่ได้ปฎิบัติ
เรยไม่รู้ว่า
ปัญหาต่างๆแก้โดย

สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
วิปัสสนา มีนามรูปปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ ค่ะ
tongue


ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา นั่นแหละคือ การฝึกจิต เออ :b32: แต่ก็เท่ากับกายถูกฝึกด้วย คือ ฝึกไปด้วยกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร