วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 13:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2019, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทาน ตามภาษาไทย หมายถึง เรื่องที่เล่ากันมา

ความหมายเดิม นิทาน. เหตุ, ที่มา, ความเป็นมาแต่เดิม หรือเรื่องเดิมที่เป็นมา เช่น ในคำว่า “ให้ทาน ที่เป็นสุขนิทานของสรรพสัตว์” สุขนิทาน คือเหตุแห่งความสุข; ในภาษาไทยได้เพี้ยนไป กลายเป็นว่า เรื่องที่เล่ากันมา


ในที่นี้เป็น นิทาน ตามความหมายในภาษาไทย คือ เรื่องที่เล่ากันมา จากหนังสือต่วย ตูน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2019, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“คโมจตึก” ผีน้ำ

เรื่องผีมีคุณอย่างไร

ทุกคราที่ผู้เขียน “เติว เลง สรุก ขแมร์ – ไปเที่ยวเมืองเขมร” ต้องไป “ฮาง เซียว ภึว – ร้านหนังสือ” นอกจากดูสถานการณ์ตลาดหนังสือของกัมพูชาแล้ว ยังอยากรู้ว่ามีหนังสืออะไรใหม่ๆ ให้เลือกซื้อหาบ้างและทุกครั้งก็ไม่ผิดหวัง

เจ้าของร้านได้เงินจากผู้เขียนคราวละไม่น้อย ส่วนผู้เขียนก็ได้หนังสือจากผู้ขายไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเทียบน้ำหนักกันแล้ว ผู้เขียนออกจะได้กำไร เพราะได้หนังสือกลับมาเป็นหอบๆ บางคราวถึงกับหิ้วแขนล้าเลยทีเดียว

ครั้งล่าสุดได้หนังสือชื่อ “คโมจตึก” มา ๑ เล่ม คโมจตึก แปลว่า ผีน้ำ ผลงานของ ฑึม งน ครั้นจะแปลให้แฟนนานุแฟนอ่านกันทื่อๆก็กระไรอยู่ ขออนุญาตพิจารณาประโยชน์ที่แฝงพร้อมๆกันไป

เอาเข้าจริง ก็แค่ตอนคำถามในใจว่า “เรื่องผี” ของเขมรให้อะไรกับคนอ่านบ้างนั่นเอง

ผู้แต่งเรื่องน่ารักมาก เปิดเรื่องก็บอกเลยว่ามีความประสงค์อะไร “เรื่องผีน้ำ ที่น้องๆกำลังอ่านนี้ นักประพันธ์ต้องการอบรมต่อน้องๆ เด็กๆทั้งหลาย ว่าอย่าได้กลัวต่อนิทาน หรือการพูดต่อๆกันว่ามีผี แต่ความจริงความเชื่อเรื่องผู้ไร้รูปร่าง คือไม่มีอะไรที่จริงปรากฏเลย เรื่องผีหลอก เป็นการเล่าลือต่อๆกันมาเท่านั้น อะไรที่เราไม่เห็น ควรแต่อย่าเชื่อเขา”

เห็นไหม บอกเด็กๆเลยว่า ต้องการเล่าเพื่อมี่ให้เด็กเชื่อและงมงาย แต่ก็หยอดท้ายไว้ว่า “อะไรที่เราไม่เห็น ควรแต่อย่าเชื่อเขา” นั่นแสดงว่า ถ้าเห็นก็แล้วไป ตัวใครตัวมัน

เรื่องเริ่มว่า ... มาถึงปีนี้ ตาไม มีอายุ ๗๐ ปีแล้ว เขาเป็นคนที่ผีเคยหลอกตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่ชรา วันหนึ่ง ท้องฟ้าสดใส ลมพัดจากปากแม่น้ำเย็นน้อยๆ ในเวลาคืนมืด ตาไมได้เรียกเด็กๆ และหลานๆมาฟังนิทาน แต่ละคนพยายามตั้งใจฟัง

ตาไมนั่งบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน มีเด็กๆนั่งชิดกัน แต่ละคนคอยรับฟัง กลางแสงไฟวอมแวม บางคนเย็นปลายมือปลายเท้า เพราะกลัวผีสะกิดหลัง แม้ว่าจะกลัว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็สนใจฟังนิทานของตาไม

อ่านตอนเปิดเรื่องแล้ว ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ฉากและบรรยากาศไม่ผิดเพี้ยนกันเลย

ตาไม เล่าว่า เมื่อตาไมอายุ ๑๐ ปี เขาได้เล่นดำน้ำในแม่น้ำกับเพื่อนๆ แล้วพากันเล่นจับในน้ำ โดยมีเด็กคนหนึ่งสมมติว่า เป็นลิง ดำน้ำหาจับกัน ถ้าลิงดำน้ำจับคนไหนได้ คนนั้นก็จะเป็นลิงไล่จับคนอื่นๆต่อไป

ครู่ต่อมา มีมือเย็นๆมาถูกเท้าเด็กชายไม เด็กชายไมโผล่ขึ้นร้องว่า “เองมาจากไหน”

“ฉันอยู่หมู่บ้านใกล้ๆนี้ ขอฉันเล่นด้วย” ผีโผล่ขึ้นมาพูดกับเด็กชายไม

เด็กชายไมร้องบอกพวกเด็กๆ “วื้ยยย อาแดง มีเด็กมาขอเล่นกับเราด้วย พวกเราไม่ปฏิเสธหรอก ให้มันเป็นลิงไปเลย”

และแล้วพวกเด็กชายไม ก็บอกกับเด็กชายผีว่า “เองเป็นลิงแล้วต้องดำน้ำหาจับพวกเรา”

“ไม่เป็นไร ก็ได้” เด็กผีน้ำตอบคำ

เด็กทั้งหมดรวมทั้งเด็กชายผีน้ำเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ครู่ต่อมา กลุ่มเด็กชายชวนกันว่า “เจ้าคนนี้ดำน้ำเก่งมาก มือมันจับเท้าเรา คนนั้นคนนี้ เดี๋ยวเราพามันไปเล่นบนบกสักครั้ง ให้มันเป็นลิงอีก”

อ่านมาถึงตอนนี้ ผู้แต่งเหมือนจะบอกเด็กว่า การใช้ชีวิตถ้าผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ควรหาทางออกให้กับตัวเองบ้าง ไม่ใช่ผิดซ้ำๆ อยู่กับเรื่องเดิมๆ จึงให้เด็กชายกลุ่มของไม ละการเล่นในท้องน้ำ หันไปเล่นบนบก

อ่านต่อไป ... แล้วพวกเด็กชายไมก็บอกเด็กผีว่า “เองต้องปิดหน้าปิดตาแล้วก้มหน้าลง เวลาเราร้อง โกก ... เอ็งถึงจะเปิดหน้าแล้วออกจับพวกเรา”

“ครับ เด็กผีรับคำ”

การเล่นซ่อนหาแบบนี้ ทำให้เด็กได้เปรียบกว่าเด็กชายผี เพราะว่า เด็กๆบางคนอาจขึ้นซ่อนตัวบนต้นไม้ บ้างซ่อนใกล้ต้นไม้แห้ง พุ่มไม้ กอไผ่ ฯลฯ เวลาเด็กผีวิ่งลงน้ำ เด็กชายไมวิ่งขึ้นบก พวกเขาเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งใกล้เที่ยงวัน ขณะกำลังร้องเรียกกันอย่างสนุก ทันใดนั้น มีเสียงสตรีชราคนหนึ่งร้องเรียกลูก

“อาปึว กลับบ้าน ป่านนี้แล้วเองจะเล่นไปถึงไหน”

กลุ่มเด็กตาไม มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วพากันมองไปยังริมตลิ่ง ด้วยเกรงว่าแม่ของตนจะเรียกหา มองไปมาเด็กชายไม มองไปกลางแม่น้ำ เห็นผีผู้หญิงเงยหน้าชวนน่ากลัว ฝ่ายเด็กนั้นก็เดินตรงไปหาแม่ เด็กชายไม แหกปากร้อง

“อาแดง ผี ผีน้ำ”

แต่ละคนวิ่งเต็มฝีเท้า บ้างวิ่งหน้าตื่น เวลาไปถึงบ้าน บางคนตัวสั่นจับไข้

อ่านมาถึงตอนนี้ ผู้แต่งเหมือนจะปรามเด็กๆ ไม่ให้เล่นน้ำนาน จะเห็นได้จากคำพูดของผีผู้เป็นแม่ว่า “ป่านนี้แล้ว เองจะเล่นไปถึงไหน” คล้ายจะบอกว่าไม่ให้เล่นน้ำนาน และคล้ายปรามเด็กว่า การเล่นน้ำนั้นไม่ดี ด้วยการให้ผีเข้ามาเล่นด้วย

อ่านต่อไป .... ครั้นเด็กชายไมสู่วัยรุ่น ในบ่ายวันหนึ่ง เขาได้ไปผูกวัวใกล้ไร่ข้าวโพด ได้ยินเสียงเปราะประๆ ในไร่ข้าวโพด ต่อมาก็ได้ยินเสียงเคี้ยวข้าวโพดและตัดข้าวโพด ด้วยความสงสัย เขาก็เลือกก้อนดินขว้างไปบริเวณนั้น เสียงนั้นก็เงียบหายไป ครู่หนึ่ง ต่อมาก็ได้ยินเสียงอีก ไมยกก้อนดินขว้างไปเพราะคิดว่า หมูหรือวัวกินข้าวโพด แต่ไม่เห็นสัตว์อะไรเลย เสียงนั้นยังอยู่ไม่ขาดหายไป ด้วยความสงสัยไมเดินเข้าไปในไร่ เข้าไปได้เล็กน้อย เสียงผู้ชายแหบๆ ดังขึ้นว่า

“เข้ามา เดินมาให้เร็ว”

ไมก็ลั่นคำตอบ เพราะคิดว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“เฮอะ พี่ชาย ได้ข้าวโพดเผากินคนเดียวเลย”

“เดินให้เร็ว มาๆ” เสียงผีผู้ชายยังดังต่อไป

เขาเริ่มเสียวสยอง หันมองเจ้าของเสียงในไร่ข้าวโพด แต่ไม่เห็นอะไร เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นผู้ชายสูงราว ๓ เมตร ตากลวงโบ๋ หน้าเน่าเปื่อยเละเทะ ยื่นมือมาจับคอเขา เหตุการณ์เฉพาะหน้าทำให้กลัว เขาหันหน้าวิ่งไปอย่างรวดเร็วแล้วส่งเสียงร้อง

“ช่วยด้วย ผี ผี ในไร่ข้าวโพด”

อ่านมาถึงตรงนี้ ประโยชน์ที่แฝงมาคือต้องการเตือนให้คน ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ถ้าได้ยินเสียงอะไรประหลาดๆ ไม่ควรทัก ด้วยเชื่อกันว่า ถ้าทักแล้วเกิดเป็นเสียงที่เจ้าอาคมปล่อยของมา ของที่เจ้าอาคมปล่อยมาจะเข้าตัวคนทัก

ความเชื่อในเรื่องนี้ มีทั้งคนไทยและคนเขมร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2019, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

อ่านต่อไป ... เข้าถึงวัยหนุ่ม ไมเป็นคนขยันขันแข็งมาก เวลาชิงหลบวันหนึ่ง เขาได้ลงไปตักน้ำที่ท่า ได้เห็นชายคนหนึ่งเป็นเงาตะคุ่มๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นั่งเงียบๆ หันหน้าไปทางแม่น้ำ ไมไม่ได้สนใจหรอก เขาคิดแต่จะตักน้ำไปบ้าน นับแต่เย็นถึงมืด เขาหาบน้ำได้ใกล้สืบเที่ยวแล้ว ก็ยังเห็นชายคนนั้นนั่งอยู่เหมือนท่อนไม้ ไม่ขยับต่อ ด้วยความสงสัยก็เดินไปถาม

“นั่นพ่อหนุ่ม เองอยู่รออะไร”

ผีน้ำไม่เอ๋ยคำ แต่ลุกยืนหันหน้ามา ตาแดง หนังหน้าบวมเน่าเละ หันหน้ามาหาเขา แล้วกระโดดน้ำหายไป เขาตกใจวิ่งทิ้งไม้คาน และกระป๋องน้ำ เวลาถึงบ้านไมคิดว่า “ผีน้ำเคยเป็นเด็กชายที่เคยเล่นน้ำซ่อนหาครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีมาแล้ว”

อ่านมาถึงตอนนี้ ผู้เขียนคงต้องการบอกว่า สำหรับชาวกัมพูชาแล้ว การหาบน้ำไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็หาบไปใช้ในครัวเรือนได้เหมือนกัน ส่วนที่ถูกผีหลอกก็น่าจะเพราะเวลาชิงพลบคือเวลาที่เชื่อกันว่าผีเริ่มออกมา ช่วงเวลานี้จึงไม่ควรทักทายอะไรสุ่มสี่สุมห้า

อ่านต่อไป ... ต่อมาอีกด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไมตัดสินใจบวชเป็นพระสงฆ์ในวัดแห่งหนึ่ง พระไมเป็นพระที่มีอุตสาหะ หลังจากท่องทบวนบาลี พระไมช่วยงานวัดไม่เคยขาด เช้าหนึ่งพระไมออกไปตามที่ได้รับนิมนต์ เมื่อไปถึงดงไผ่ ได้ยินเสียงคน และมีแสงเกิดขึ้น

“น้อง นิมนต์เข้ามาเล่นก่อน” เสียงสตรี

“ใช่พระไมไทย นิมนต์เข้ามาก่อน” เสียงผู้ชาย

“หลวงพี่จะไปไหหน ร้อนมาก เข้ามาเล่นในบ้านกับฉันก่อน” เสียงเด็กๆ

พระไมหันหน้าเล็กน้อย กลอกตาไปทางซ้ายขวา ไม่เห็นใคร ครั้นเงยหน้าขึ้นลงก็เห็นคนเต็มดงไผ่ มีผู้หญิงแลบลิ้นปล่อยผมสยายลงมา ผู้ชายตาถลนออกมา ส่วนเด็กเล็กๆเปลือยกาย โดดขึ้นลงเต็มดงไผ่ที่ผ่านไปไม่นาน พระไมจับสบงจีวรเดินพลางวิ่งพลางไปกุฏิอย่างเร็ว

พระไมบวชได้ ๓ พรรษาก็ลาสิกขา ออกมาประกอบอาชีพทำนา บ่ายวันหนึ่ง เขาได้ไปร่วมงานแต่งในหมู่บ้านใกล้ พนมหันชัย หลังรับประทานอาหารแล้ว ทิดไมได้ไปรำวงกับเขา แล้วก็ออกเดินไปได้หน่อยหนึ่ง เวลานั้นเขาหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง มีรูปร่างสูงมือเท้าใหญ่ ทำให้ทิดไมมีจิตรักใคร่ต้องการตามนางนั้นไปให้รู้จักบ้าน และจะเข้าไปขอ ทิดไมถามนางว่า “น้องหญิง ทำไมมายืนคนเดียวอย่างนี้ บ้านอยู่ไหน ให้พี่ไปส่งเถอะ”

นางผีเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ส่วนทิดไม เหตุที่ต้องการรู้จักบ้านนาง ก็เดินตามหลังไปจนถึงเชิงเขาหันชัย นางผีก็ปล่อยผมทีละน้อยๆจนระดิน ทิดไมงงงันในสายตา ถึงกับร้องว่า “แหมนาง เดินเร็วอย่างนี้ รอพี่ด้วย”

นางผีหันมาแว้บ เบิกตาโตราวกับวงจนตะเกียง แลบลิ้นยาว ใบหน้าเน่าเปื่อย ผมยาวสยาย ทำให้ทิดไมหันกลับมาที่งานอีกครั้ง

(คุณค่าตรงนี้คือ สอนเด็กให้ระมัดระวังเรื่องการคบสตรี ไม่ใช่เห็นต้องตาก็ยอมทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงนั้นเป็นใคร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ทำให้ได้เจอสุภาพสตรีผีๆ เข้าเต็มแรง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2019, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2019, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

อ่านต่อไป....ราวหนึ่งเดือนต่อมา ไมได้แต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง ใกล้ค่ำวันหนึ่ง เขาได้ขับเกวียนกลับจากสวนมาถึงหน้าวัดใกล้ปากน้ำ และที่นั่นมีต้นโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่ง ทันใดนั้น มีน้ำหยดลงบนตัวเขา ทิดไม หันไปถามว่า “ใครบังอาจราดน้ำมาโดนข้าโว้ย” แต่ก็เงียบเชียบ ส่วนวัวตกใจกลัว เร่งไปข้างหน้าเหมือนเกวียนจะทรุดลง ทิดไมขนลุก ต่อมาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกล่อมลูกอย่างไพเราะบนต้นโพธิ์นั้น เขาพยายามข่มอารมณ์กลัวทั้งที่ตัวสั่นสะท้านจนถึงบ้าน

คุณค่าตรงนี้คือ พบเห็นอะไรอย่าปากเปราะ ควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน และเมื่อเจอผีควรตั้งสติไว้ให้ดี ก็จะสามารถฝ่าข้ามเหตุการณ์ร้ายๆไปได้

อ่านต่อไป ... ๗ ปีต่อมา ไม ก็ได้ลูกสองคน หลังจากหน้าที่ทำนา เขาเป็นประมงคนหนึ่งที่เก่งทางหาปลา คืนหนึ่งเขาได้ไปวางเบ็ดในบึงใกล้นาของเขา วันนั้น เขาวางเบ็ดได้ปลา ๒-๓ ตัวเท่านั้น เขาจุดไฟกับเตาดินบนหัวเรือ แล้วปิ้งปลา ๑ ตับ ขณะกลับปลาขึ้นลงให้ปลาสุก ทันใดนั้น ก็มีเสียงเหมือนคนเดินในน้ำ และเหมือนเสียงพายเรือเบาๆ ใช้พายค้ำยันไป แล้วบริเวณเสียงนั้น ปรากฏแสงที่ตลิ่งริมบึง

“ขอปลาปิ้งกินมั่ง”

ไมไม่กังวลต่อเสียงนั้นหรอก มัวแต่ชะโงกดูปลา แต่เขาตอบไปว่า “จะให้ได้อย่างไร วันนี้ได้ปลาตับเดียวเอง”

“ขอปลาปิ้งตัวหนึ่งได้ไหม” ผีพูดต่อ

ดังนั้น เขาก็หันไปดูเจ้าของเสียง ด้วยคิดว่าเป็นคนหาปลาเหมือนกัน แต่เขาเห็นผีน้ำตัวสูงครึ่งต้นตาลโตนด กำลังจ้องเขา พลางยื่นมือมาขอปลาปิ้ง ในอาการตกตลึง มือตาไมข้างหนึ่งถือตับปิ้งปลา มืออีกข้างหนึ่งถือมีด เงยหน้ามองจนคอตั้ง ครู่ต่อมา เขาพยายามตั้งสติพายเรือถอยออกมาจากผีนั้น ส่วนผีนั้นก็ตามมา ครู่ต่อมามันก็หายไปจากสายตา

คุณค่าตรงนี้ คล้ายกับข้อที่ผ่านมา นั่นคือ เมื่อเจอผีหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องตั้งสติให้ดีๆ

นิทานที่น่ากลัวนี้ ตาไมบอกลูกหลานว่า

“อย่ากลัวผีอะไร คือ เป็นความเชื่อเรื่องผู้ไร้ร่าง มันเป็นรูปภาพ หรือ เงาที่ทำให้เราเห็นกับตาแต่ละครั้งเท่านั้น อะไรที่เราต้องกลัวนั้น คือ คนชั่วร้ายที่จิตใจเลวทราม ฉก ปล้น ทำร้าย และฆ่านั่นต่างหาก ส่วนผี ถ้าได้เห็นแล้วให้ตั้งสติ อย่ากลัว มันจะหายไปทันที”

เห็นไหมว่า แม้จะเป็นเรื่องผีๆ แต่ก็มีคุณค่า

(จบเรื่อง คโมจตึก - ผีน้ำ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2019, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เดินจงกรมเห็นพระพุทธเจ้า

วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ?


นี่ก็ทำนองเดียวกับนิทานเห็นผีน้ำ นั่นแปลว่า สติ-สัมปชัญญะ ไม่ชัด จิตออกอาการเบลอๆ ดังนั้น ให้กำหนดตามอาการเพื่อให้เกิดสติเกิดความรู้สึกตัว เห็นหนอๆๆๆ เมื่อรู้สึกตัวชัดแล้วภาพนั้นๆก็หายไปหมดไป มันเป็นภาพความคิดซึ่งเกิดจากจิตเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2019, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จงกรม คือ การเดินไปมาโดยมีสติกำกับ (มิใช่เดินเลื่อนๆลอยๆ เดินใจลอย)

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2019, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องต่อไป เรื่องโรคโง่




นิทานลุงเติร์ก

“โรคโง่”

“ลุงจ๋าลุง” หลานคนหนึ่งทำเสียงหมองๆที่หลังร้าน “หนูว่าตัวหนูนี่โง่จังนะลุง ทำไงถึงจะฉลาดกับเค้าได้บ้างล่ะลุง”

“กับเค้าน่ะ กับใคร” ลุงเติร์ก ถาม

“ก็...ก็...กับคนที่เค้าบอกว่าเค้าฉลาดไงลุง”

“ผมคิดออกแล้ว” หลานหนุ่มที่มีหน้าที่การงานเกี่ยวกับการเงินเอ่ยขึ้น “ถ้าวันไหนผมมีเวลานะลุง ผมจะไปหลอกขายประกัน เอ๊ย ไม่ใช่ จะไปหว่านล้อมเอาเงินจากนักธุรกิจมาตั้งมหาวิทยาลัย ไม่ต้องเอาถึงขนาดเคมบริดจ์หรอกลุง เอาแค่มหาวิทยาลัยห้องแถวก็พอ สอนแต่วิชาการทำตนให้เป็นคนฉลาด อย่างเดียว ใครเรียนจบ ก็ได้ปริญญาเพื่อแสดงว่า มีสิทธิเป็นคนฉลาดตามกฎหมายทุกประการ...”

“คิดยังงี้เค้าเรียกว่าคิดอย่างฉลาดเรอะอย่างโง่ครับลุง” หลานอีกคนหนึ่งถาม

“เค้าเรียกว่าคิดอย่างขี้โกง”

“ไม่ขี้โกงลุง แต่ถึงจะขี้โกง ก็เรียกว่าโกงอย่างถูกกฎหมาย” หลานเจ้าของความคิดค้านขึ้น “อ้าว จริงๆนะลุง ดูอย่างมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศนายทุนที่ทวีปใหม่ไง เค้ามีแผนกหนึ่งที่สอนให้คนเป็นนักเขียน คนที่เรียนจบก็ได้ปริญญาของการเป็นนักเขียน มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนได้อย่างภาคภูมิ”

“จะยากเย็นอะไร้” หลานอีกคนหนึ่งออกความเห็น “ถ้าอยากรู้สึกว่าเป็นคนฉลาด ก็ต้องไปคุยกับคนที่เขาโง่กว่าสิ”

“คุยเสร็จแล้วจะยิ่งแน่ใจว่าเราเป็นคนโง่ระดับจักรวาลเอาน่ะซี้”

ลุงได้ทีก็เลยเล่า...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2019, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ



ที่ปาเลสไตน์นะ เมื่อกาลครั้งหนึ่ง คนถือศีลคนหนึ่ง เดินไปเคาะประตูบ้านผู้หญิงที่ชื่อ คันฟุเชห์ นางเห็นเครื่องแต่งกายของคนถือศีลเข้า ก็นึกว่าเป็นพ่อค้าเร่ จึงถามว่า “ท่านมีอะไรจะขายให้ข้าพเจ้าหรือ”

ผู้ชายถือศีลก็บอกว่า “ข้าพเจ้ามีสินค้าที่เรียกว่า ชื่อ มาขายให้นาง”

“ชื่ออะไรล่ะท่าน ขายในราคาเท่าไร”

“ชื่อ พุดติ้งข้าว ขายในราคา ๓๐๐ ปิอัสเตอร์”

นางคันฟุเชห์ มีเงินเก็บอยู่ในบ้าน ๓๐๐ ปิอัสเตอร์ พอดี และรู้สึกชอบใจชื่อ พุดติ้งข้าวนี้เป็นที่ยิ่ง จึงซื้อชื่อนี้มา

ตกเย็นสามีของนางกลับบ้าน พอเข้าบ้านก็ส่งเสียงเรียกเมีย “คันฟุเชห์ สามีของเจ้าถึงบ้านแล้ว ข้าวปลาอาหารเตรียมไว้คอยท่าเรอะยัง”

นางก็ส่งเสียงตอบว่า “ผู้สามีเอย ต่อแต่นี้ไปตัวข้าพเจ้าจะมีชื่อว่า พุดดิ้งข้าว แล้วนะ เป็นชื่อที่ซื้อมาตั้ง ๓๐๐ ปิอัสเตอร์แน่ะ”

ผู้ผัวซักไซ้ไต่ถาม เมื่อได้ความก็โกรธจัด ร้องว่า “นังโง่ ไอ้เงินที่เจ้าเอาไปซื้อชื่อน่ะ เป็นเงินเก็บสะสมทั้งหมดที่เรามีอยู่ โง่ซะจริงๆ คนโง่ยังงี้ข้าอยู่ร่วมบ้านไม่ได้แน่ๆ” เก็บข้าวของส่วนตัวใส่ย่าม ในขณะที่ภรรยามีน้ำหูน้ำตา

ผู้สามีใจอ่อนก็ลดโทษให้ว่า “เออ เออ ถ้าข้าไปเจอคนที่โง่กว่าเจ้าเข้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละข้าจะกลับมา แล้วไอ้คนที่มาขายชื่อให้น่ะ มันไปทางไหน”

“ไปทางโน้น” นางชี้มือประกอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2019, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ผู้สามีก็เดินไปตามทางที่นางเมียชี้บอก เมื่อเดินไปพบใครก็ถามว่า “เห็นพ่อค้าเร่ที่ขายชื่อมาทางนี้มั่งมั้ย” ก็ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งเดินไปเห็นหญิงชาวนาคนหนึ่งกำลังโกยขี้ม้าขี้วัวเพื่อเอาไปทำเชื้อเพลิง ก็ถามนาง

นางก็ตอบว่า

“ไม่เห็นหรอกท่าน ว่าแต่ท่านมาจากไหนเล่านี่”

“มาจากนรก”

“โอ้...จากนรก ขอท่านช่วยบอกข้าพเจ้าหน่อยเถิดว่า ท่านได้เคยพบปะกับบิดามารดาของข้าพเจ้าที่นรกหรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบว่าเคย เคยเห็น หญิงชาวนาก็ถามต่อว่า “แล้วนี่ท่านจะกลับไปนรกเมื่อไรเล่า”

“อีกสักประเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”

“งั้นท่านช่วยเอาของบางอย่างไปให้บิดามารดาของข้าพเจ้าที่นรกด้วยเถิด ได้โปรด” แล้วก็หยิบเนย ขนมปัง เสื้อโค้ต และเงินอีกจำนวนหนึ่ง ใส่ห่อผ้า มอบให้สามีของนาง พุดดิ้งข้าว ไป

เมื่อชาวนากลับบ้านในตอนเย็น ได้รู้เรื่องที่เมียเล่าให้ฟังก็โกรธขึ้นสมอง รีบขี่ม้าตามไปจะเอาของคืน สามีของนางพุดดิ้งข้าว กำลังนั่งพักอยู่ที่ข้างทาง เห็นมีชายขี่ม้ามาตามทางอย่างเร่งร้อนก็เดาออก จึงรีบเอาห่อผ้าไปซ่อนไว้ในซอกหินที่ในป่า แล้วรีบกลับมานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่ข้างทาง เมื่อชาวนาหยุดม้าถาม

เขาก็ตอบว่า

“โอ ท่านผู้เดินทาง ข้าพเจ้าเห็นบุรุษแบกห่อผ้าที่มีลักษณะเช่นที่ท่านบรรยาย ผ่านไปทางโน้นเมื่อสักครู่ใหญ่นี้เอง”
ชาวนาบอกขอบใจ แล้วถามต่อว่า “ป่านนี้ชายผู้นั้นคงไปไกลโขแล้ว ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะตามไปทันหรือไม่”
สามีของนางพุดดิ้งข้าว ก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านจะไปทัน ก็ต่อเมื่อท่านเดินไป”

“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า” ชาวนาถาม

“อ้าว ก็ท่านมีเพียงสองเท้า แต่ม้ามีถึงสี่เท้า กว่าม้าจะจัดการให้เท้าทั้งสี่ของมันทำงาน มันก็เหนื่อยจนไปไม่ค่อยไหว ไปด้วยสองเท้าของท่านจะเร็วกว่า” สามีของนาง พุดดิ้งข้าว ตอบ

“โอ้ ท่านช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนักแล้ว” ชาวนาสรรเสริญ “งั้นข้าพเจ้าขอฝากม้าของข้าพเจ้าไว้กับท่านสักประเดี๋ยวหนึ่งเถิด เมื่อตามชายผู้นั้นได้แล้ว ข้าพเจ้าจะกลับมารับคืน” แล้วก็เดินไป

สามีของนาง พุดดิ้งข้าว ก็เลยเอาห่อผ้าที่ซุกไว้ในซอกหินออกมาแล้วก็ขี่ม้าของชาวนา...กลับบ้าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2019, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลานคนหนึ่งบอกว่า “งั้นความโง่นี่ก็เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่แก้ไม่ได้ เหมือนอย่างที่มนุษย์เราไม่สามารถแก้ไข เฮอร์ริเคน หรือทอร์นาโด หรือภัยธรรมชาติอย่างอื่นได้ เป็นเหมือนโรคที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อย่างที่เรียกว่าโรคประจำตัว รักษาไม่หาย งั้นใช่มั้ยลุง

“โรคประจำตัวที่รักษาไม่หายนี่มีหลายโรคนะ” เจ้าเบ็นจิเสริม “อย่างโรคขี้โม้ โรคอวดฉลาด โรคขี้โอ่ โฮ้ย เยอะแยะ แต่โรคประจำตัวที่ร้ายกาจที่สุดคือโรคอะไรรู้มั้ย..” หยุดเพื่อให้เพื่อนฝูงซักถามนิดหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า
“โรคเล่านิทานไง โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยด๊วยยย คนแก่รังแกเด็กหล่อๆ ...”

(โรคโง่ จบ)

https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/ ... e=5D96D879

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2019, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกสักเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับสถานที่นี่ด้วย

รูปภาพ


พาไปรู้จักพิธีจัดงานศพของชนชาติกะเหรี่ยงบนดอย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2019, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่แท – ศพกะเหรี่ยง

“แม่แท” เป็นภาษากะเหรี่ยง หมายถึง ประเพณีการร่ายรำไปรอบๆศพผู้ตายที่เป็นกะเหรี่ยง ผู้เขียนมีโอกาสดีที่ได้เลี่ยงประเพณีกีดกันคนภายนอกเข้าไปและได้พบเห็น...คนกะเหรี่ยงจัดงานศพคนกะเหรี่ยง ผู้เขียนได้รับข่าวจากพ่อหลวง ปั๋น จากบ้านดง กิ่งอำเภออมก๋อย (ปัจจุบันเป็นอำเภอ) ว่าวันที่ ๑๙ พฤษภาคม จะมีตุ๊เจ้า (พระ) จะไปงานศพภรรยาของพ่อหลวง “คำแปง” ชาวกะเหรี่ยง เจ้าอาวาสวัดแสนทอง

อันที่จริงงานศพก็คือ งานของคนตายที่ไหนๆก็เหมือนกัน แต่เฉพาะรายนี้ผู้เขียนสนใจมาก เพราะงานนี้ต้องเดินกัน ๑ วันเต็มๆ ก็ว่ากันหูตูบแหละ ความสำคัญของงานศพกะเหรี่ยงรายนี้ คือ ห้ามคนนอกเข้าไปอย่างเด็ดขาด ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า กะอีแค่คนตายทำไมถึงต้องห้ามกันด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยผ้าเหลืองเข้าไปดู เพราะใครๆก็รู้ว่า ลูกศิษย์ท่านแยะ กะเหรี่ยงจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร ถ้าดันทุรังไปงานศพเข้าฮีต (ประเพณี) ด้วยตัวเอง จะถูกกีดกันหรือไม่ก็ถูกจักอันตาย

อำลาพรรคพวกบนรถจี๊ป ๔-๕ คน ที่มาส่ง พวกเขาจะไปเที่ยวป่ากะเหรี่ยง บ้านห้วยปู่ลิง ซึ่งอยู่ข้ามดอยบ้านมูเซอดำไป โดยขากลังไปเชียงใหม่ ผู้เขียนจะโดยสารรถขนแร่ฟลูโอไร้ท์ที่เข้าๆออกๆ คงไม่มีปัญหา ผู้เขียนเตรียมตัวว่าจ้างจัดหาลูกหาบทันที เพราะกิตติศัพท์บนเส้นทางสายนี้ ใครมาแล้วบ่นอู้กันทุกราย ปัญหาใหญ่ก็คือเดือนพฤษภาเป็นเดือนของฤดูฝนเริ่มบ้างแล้ว อาหารการกินภายหลังที่ได้พบท่านเจ้าอาวาสวัดแสนทองแล้วก็หายห่วงอาศัยท่านได้

เราออกเดินทางกันโดยแยกเป็นสองสาย พ่อหลวงปั๋นไปกับท่านเจ้าอาวาสประมาณตี ๕ ของคืนวันนั้น

สายผู้เขียน – รัตน (คนกะเหรี่ยง) บุญปั๋น และลุง ทาน็อก คนนำทางที่พ่อหลวงปั๋นหาให้ โดยพวกผู้เขียนจะเดินตัดดอยทาง กิ่วเด่นนกแต้ (นกต้อยดีหวิด) ออกเดินทางเมื่อตี ๓ เศษๆ และนัดพบกันที่สบขุนห้วยบอน

จริงดังคาดพอเริ่มเดินทางฝนก็ตกกระหน่ำ ผู้เขียนและพวกเข้า ห้วยอุบแฮต ปัญหาแรกก็คือ น้ำห้วยโป่งทะลัก จริงอยู่น้ำป่ามาเร็วก็ลงเร็ว แต่ตอนที่มันทะลักนั้น ช้างป่าข้ามก็เคยถูกกระแสน้ำล้มมาแล้ว

ผู้เขียนและพวกรอชุดพระอยู่ที่ทางแยก ขุนห้วยมอน ตอนนี้ฝนตกหนาเม็ดขึ้นเหมือนฟ้ารั่ว ผู้เขียนวิ่งไปแอบใต้ต้นสนเกี๊ยะ แต่แล้วก็ต้องวิ่งเผ่นออกมาแทบไม่ทัน ฟ้าผ่าต้นเกี๊ยะที่อยู่ใกล้ๆ เสียงฟ้าร้อง - ฟ้าคำราม เหมือนอยู่บนหัวแค่คืบ ทำให้เราทุกคนตัดสินใจไม่อยู่ตรงนั้น บุกป่าลงห้วยข้างขวามือ จุดหมายก็คือ ห้างนา ของกะเหรี่ยงกลางทุ่งทันที และที่ห้างนานี้เราก็พบทีมของพระท่านเจ้าอาวาส

ถึงแม้จะมีที่พักหลบฝน แต่ก็ไม่วายถูกรบกวนจากทากคนละ ๓-๔ ตัว แทบทุกคน พอโดนทิงเจอร์ชุบสำลีทากก็เหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า

ที่เถียงนา (ห้างนา) เราได้พบกับ พะโอ กะเหรี่ยงสูงอายุแวะมาหลบฝน พวกเราบางคนหิวงัดเอาห่อข้าวมากินพร้อมกับเรียกพะโอให้กินด้วย

เกือบ ๔ โมงเย็น ฝนซา เราก็เริ่มเดินกันต่อ คราวนี้พอเฒ่าพะโอ จึงเป็นผู้นำทางที่ดีที่สุดและก็วางใจได้ และไม่ต้องห่วงใยระหว่างช่วงที่จะเข้าม่อนปุยตัดลงห้วยขุน - บ้านที่มีงานศพ พะโอ แจ้งให้พวกเรารู้ว่า ห้ามการใช้ปืนอะไรๆทั้งสิ้น เพราะจวนจะถึงประตู (อาณาเขต) ฮีต (ประเพณี) แล้ว เสียงปืนอาจจะเป็นชนวนให้ถูกปรับ หรือถูกลงโทษจากหมู่บ้าน

ระหว่างทางปกคลุมด้วยหญ้าหางช้างและต้นแขม ผ่านทางตัดข้ามเนิน เลาะเลียบไปตามลำห้วยทะลุขึ้นไหล่เขา แล้วในที่สุดก็มาถึงประตูฮีต ซึ่งทำไม้เป็นกิ่งตัดง่ามฝังดินสองเสา มีไม้ท่อนพาดวางบนง่ามนั้น ท่อนไม้นี้มีรูปสัตว์ต่างๆ แกะด้วยฝีมือหยาบๆ จนสุดคานทั้งสองด้าน มีเศษผมมัดอยู่ ๒ กระจุก

พะโอส่งภาษากะเหรี่ยงเสียงดังบอกชาวบ้านว่า “ทั้งหมดเป็นคณะของพระ” จึงไม่มีปัญหาอะไร เพราะพระเป็นผู้ถูกเชิญอยู่แล้ว บ้านหลังหนึ่งในบริเวณของเจ้าภาพจึงเป็นที่พักของคณะติดตาม “พระ” โดยเฉพาะ อากาศในตอนเย็นหนาวจัด คณะต้องอาศัยไม้เกี๊ยะ (สนภูเขา) ซึ่งมีมากและหาได้ง่ายมาเผาเป็นเชื้อเพลิงให้ความอบอุ่น

ศพแม่เฒ่ากะเหรี่ยงห่อหุ้มด้วยเสื่อพันอยู่ กลางลานบ้าน มีข่วงและปะรำเล็กๆ รอบๆ ศพกลาดเกลื่อนไปด้วยเมล็ดผักนานานชนิด ตลอดจนเมล็ดข้าวเปลือก ศพถูกนำมาตั้งกลางลานดินหน้าบ้าน (ภาคเหนือเรียก ข่วง) ตั้งมา ๓ วันแล้ว สภาพศพตอนนี้ขึ้นอึด ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทุกแห่งที่ลมหอบพาไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2019, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ได้เวลาอาหารเย็นก็มี “กุ๊กกะเหรี่ยง” จัดอาหารมาให้ โดยขึ้นมาหุงข้าวกับเตากลางห้องนอน (กะเหรี่ยงเรียก เต๋าไฟหล่ม) หมอนที่เจ้าภาพเอามาให้พวกเราหนุนนอน ก็เป็นหมอนที่ใช้กับม้าต่าง วัวต่าง มีแต่ขี้โคลนดำปี๋หนาเขรอะ ลูกบ้านกะเหรี่ยงเอามาแจกคนละใบ ท่านเจ้าอาวาสก็ได้ด้วย

กะเหรี่ยงคนหนึ่ง หุงข้าว อีก ๒ คนหิ้วไก่มีเลือดไหลออกปากมา ๒ ตัว ไก่ยังไม่ทันตายดี เพื่อนเรา (กะเหรี่ยง) ก็จับขาย่างไฟเลยทันที กลิ่นขนไก่ไหม้ไฟ เหม็นคลุ้งตลบอบอวลไปทั้งห้อง หลายคนรวมทั้งผู้เขียนด้วยต้องเผ่นออกมานอกห้อง

พักใหญ่ๆรายการเผาขนไก่เสร็จแล้ว หนังไก่ตัวไก่ก็ดำปี๋ เพราะทั้งควันและไฟ เอาออกมาผ่าท้องเอาไส้ออก บรรดาไอ้จอ (กะเหรี่ยงเรียกเด็กๆ) พากันรุมเอาไส้ไปปิ้งกินกัน หมากะเหรี่ยง ๓-๔ ตัว เลียทั้งเขียงและถาด การปรุงอาหารแบบกะเหรี่ยง ทำให้ผู้เขียนกระอักกระอ่วนเต็มทน

ทุกๆอณูของอากาศบนดอยที่เคยบริสุทธิ์ แต่ขณะนี้กลิ่นศพคลุ้งแผ่กระจายไปทั่ว สภาพเช่นนี้ ผู้เขียนก็เลยตัดสินใจออกไปเดินหาอากาศดีๆสูดให้เต็มปอดสักหน่อย โดยอาศัยริมฝั่งลำห้วย สาวๆกะเหรี่ยงสะพายกระบอกน้ำเดินตามกันมาเป็นแถว กระบอกไม้ไผ่นี้มีขนาดกว้าง (เส้นผ่าศูนย์กลาง) ราว ๕- ๖ นิ้ว จุน้ำได้ ๒ กระบอกต่อ ๑ ปี๊บน้ำมันก๊าด

กะเหรี่ยงสาวๆก็จริง ทว่าแต่ละนางนั้น มองยังไงดูยังไงๆ ก็หาที่ชมไม่ได้ ทั้งเสื้อผ้าปากคอเปรอะไปด้วยน้ำหมาก เรื่องกลิ่นสาวนั้นอย่าไปถามเลย เพราะเฉียดๆกลิ่นศพที่ตั้งอยู่กลางลานบ้านยังไงก็ยังงั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2019, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 02 มี.ค. 2020, 20:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร