ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ขวนขวายกิจ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57684
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 05 มิ.ย. 2019, 05:15 ]
หัวข้อกระทู้:  ขวนขวายกิจ

การทำบุญให้ทาน การรักษาศีล
การฟังเทศน์ธรรม ภาวนารักษาใจของตน
การเจริญพรหมวิหาร การเคารพกราบไหว้บูชา
ทุกอย่างกว่าจะปรากฎผลานิสงส์
ต้องละเอียดหนักหนา อย่าด่วนเกินไป
อย่าอยากเกินไป จะสุกเอาเผากินมิได้
ทุกอย่างมันต้องควรแก่ธรรม
ธรรมนั้นต้องเหมาะต้องควรแก่ตนของตน
อันใดใจหยาบต้องรู้ อันใดใจละเอียดก็ให้รู้
ยากแสนยากก็ให้ตั้งใจบำเพ็ญในตนของตน
ให้ปิตียินดีพอใจในมรรค
คือหนทางปฏิปทาของตน
อย่าอ้างความเกียจคร้านผัดผ่อน
ให้ขวนขวายในกิจของตนเสมอตลอดไป

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ




โอวาทธรรม​ หลวง​ปู่​แผ่น​ทอง​ จา​ค​ร​โต

โยม: หลวงปู่เจ้าค่ะดิฉันนั่งภาวนาไปดิฉันจิตสงบนิ่งดีเห็นเทวดามานั่งล้อมเต็มเลยเจ้าค่ะ​ อยากเห็นพระอินทร์​ก็เห็น​ อยากเห็นพระพรหม​ก็เห็น​ ดิฉันมีความสุขมากเจ้าค่ะ​ จิตดิฉันสงบมากเจ้าค่ะ

ลป.: นี้ยังมาไม่ถูกทางนะ​ นิยัง​ อนุบาล​ อยู่​ ยังใช้ไม่ได้นะ​ สมาธิเนี้ยนะ​ มีแต่จิตตัวเดียว​ ไม่มีเทวดา​ อินทร์​ พรหม​ ดอก​ นั้นมันของหลอก​ นิมิตรเหมือนฝัน​ มีจริงแต่มันไม่จริง กรรมฐานเนี้ยนะ​ ไม่มีตัวตน​ ไม่มีเขามีเรา​ มีแต่ความว่างเปล่า​ ถ้าเห็น​ การเกิดเเก่เจ็บตายแล้ว​ เบื่อหน่าย​ สังเวศ​ ในความไม่เที่ยงแท้ไม่มีแก่นสาร​ มีแต่จิตแต่อิ่มใน​ ธรรม​ มงคลทั้ง๓​ เป็นอันหนึ่งอันเดียวในจิต​ นี้ถึงมาถูกทาง​ อันแบบนี้​ เขาเรียกว่าหลงทางอยู่​ พากันมาติดอยู่แต่​ของแบบนี้​

โยม:แล้วดิฉันต้องทำยังไงเจ้าค่ะ

ลป.:เอาศีลให้สะอาดก่อน​ ฐานให้มั่น​ แล้วค่อยๆเอา​ สติ​ คุ่มจิต​ ไป​ มันจะเกิดอะไรให้รู้​ แล้ววาง​ ไปๆ​ มันจะหายไปเอง​ ภาวนาอย่าหวังผล​ ทำไปเรื่อยๆมันจะเกิดเอง​ ตอนแรกรักษามันไป​ เดียวมันคล่องมันไปเอง​ จะเกิดอะไรอย่าเอาจิตไปติดไปมั่นหมาย​ วางเฉย​ รู้วางๆ​ เนี้ยนะ​ มันจะช้าจะเร็วขอให้มีความเพียร​ เหมือนเรา​ หายใจทุกวัน​ เนี้ยนะ​ เรายังหายใจทุกวันเราไม่เห็นเบื่อเลย​ ภาวนา​ ก็อย่าถอย​ ทำไปๆ​ มันจะเกิดจะมีเองดอก​

โยม:สาธุ​ เจ้าค่ะ

ลป: ไปดูใจตัวเอง​ รักษาใจตัวเอง​ รักษาศีลให้ดีเดียวศีลมันจะรักษาเรา

โอวาทธรรม หลวงปู่แผ่นทอง


“นี่...ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ บวชเข้ามา ยังไม่ได้หยุดสร้างเลย...(ตั้งแต่พะเยา วัดรัตนวนาราม อนาลโย มาลำปาง วัดเฉลิมพระเกียรติ สุดท้ายมาแผ่นดินเชียงราย) วัดนึงตั้งหลายล้าน..

รู้มั้ย..นี่ไม่เคยเอ่ยปากขอใคร สักบาทเลยนะ เราไม่ชอบขอใคร เพราะพ่อสอนตั้งแต่เด็ก คนขอคือคนจน จนใจเลยต้องขอ ถ้าวาสนามันมี เราเคยได้สร้างมา ต่อให้อยู่สูงเฉียดฟ้าแค่ไหน ก็ร่วงหล่นลงมาอยู่ดี ที่มันไม่มี เพราะยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง ฉะนั้นเราไม่ขอใคร ไม่มีก็ให้มันตายไปเสีย เกิดชาติหน้าค่อยว่ากันใหม่

...เราไม่ขอคน แต่เทวดาและอมนุษย์เราขออยู่นะ ใครที่เคยเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลสร้างบารมีกันมา ขอให้เข้ามาช่วยฉันด้วย เพราะฉันขอใครไม่เป็น..."

ท่านพ่อไพบูลย์ สุมงฺคโล
วัดเทพนิมิตสุดเขตแดนสยาม อ.เชียงของ จ.เชียงราย


แม่กระรอกกับงูเขียว
:: หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


บ่ายสามโมง วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ หลวงปู่ชอบหลังจากท่านสรงน้ำเสร็จแล้ว ท่านให้พระเณรเข็นจงกรมท่านที่ศาลาบำเพ็ญกุศลวัดป่าโคกมน เณรเมี่ยงเข็นจงกรมท่านไปได้ประมาณ ๒๐ นาที องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกให้เณรเมี่ยงหยุดรถเข็น ท่านกวักมือเรียกให้พระอุปัฏฐากเข้ามาหาท่าน หลวงปู่ชอบท่านบอกกับพระอุปัฏฐากว่า “แม่ออก (โยมผู้หญิง) เขาขอให้เราไปช่วยลูกเขา ตอนนี้ลูกเขากำลังจะถูกงูกิน”

พระเณรห้า-หกองค์ที่เฝ้าท่านอยู่ในตอนนั้นต่างพากันงงกับคำพูดที่หลวงปู่ชอบท่านบอก พระอุปัฏฐากถามท่านว่า “หลวงปู่ งูที่ไหนจะมากินคนได้ ถ้ากินคนได้มันก็ต้องเป็นงูเหลือมเท่านั้น”

หลวงปู่ชอบท่านบอก “บ่แม่นงูมันจะกินลูกคน งูมันจะกินลูกกระรอก แม่มันร้องขอให้เราไปช่วยลูกมัน ตอนนี้งูกำลังอยู่ในฮังมันแล้ว (ตอนนี้งูกำลังอยู่ในรังของมันแล้ว) ฟ้าวไปช่วยมันเร็วๆ (รีบไปช่วยมันเร็วๆ) พระเณรก็งงไม่รู้ว่าท่านจะให้ไปช่วยกระรอกที่ไหน เพราะกระรอกอยู่ที่วัดป่าโคกมนมันมีกระจายกันอยู่ทั่ววัด..”

พระอุปัฏฐากถามท่านว่า “แล้วกระรอกมันอยู่ที่ไหนล่ะหลวงปู่”

หลวงปู่ชอบท่านบอกกับพระว่า “อยู่ทางเข้ากุฏิเบอร์สี่ ไปเร็วๆ ลูกมันถูกกินแล้ว”

พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์พากันเข็นรถหลวงปู่ชอบไปอย่างเร็ว เข็นแบบวิ่งไปเพื่อให้ไปถึงที่เกิดเหตุตามที่หลวงปู่ท่านบอก..

พอเข้าไปใกล้กุฏิเบอร์สี่ พระเณรทุกองค์ได้ยินเสียงแม่กระรอกร้องเสียงดังเหมือนกับมันกำลังตกใจ กระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก พอแม่กระรอกตัวนี้มันเห็นหลวงปู่และพระเณร แม่กระรอกตัวนี้มันรีบลงมาจากต้นไม้มาอยู่ที่พื้นดินต่อหน้าหลวงปู่ มันร้องอยู่ต่อหน้าหลวงปู่ เสียงร้องของแม่กระรอกตัวนี้ดังระงมไปทั่วจนกระรอกตัวอื่นๆ ในระแวกแถวนั้นร้องรับเสียงกันจนดังไปทั่ววัดป่าโคกมน..

หลวงปู่ชอบท่านชี้มือไปที่โพรงไม้ ท่านบอกกับพระเณรว่า “งู มันอยู่ในนั่น” แต่ตอนนั้นพระเณรทุกองค์ยังไม่เห็นงู..

ท่านสมัยรับอาสาปีนต้นไม้เพื่อขึ้นไปดูที่โพรงไม้ ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณสิบเมตร ท่านสมัยอยากจะพิสูจน์ว่าที่ในโพรงไม้ที่เป็นรังกระรอก มีงูอยู่จริงหรือไม่..

พอท่านสมัยปีนขึ้นไปถึงโพรงไม้ ท่านสมัยเห็นงูนอนอยู่ในโพรงไม้ โดยมีลูกกระรอกสามตัวที่ยังไม่ลืมตา ไต่ลนลานหนีตายตามสัญชาตญาณการปกป้องดูแลชีวิตของตนเอง ท่านสมัยร้องตะโกนลงมาบอกหลวงปู่และพระเณรว่า “หลวงปู่ๆ งูเขียวมันอยู่ในโพรงกระรอก สงสัยมันจะกินลูกกระรอกแล้วท้องมันป่องๆ”..

พระอุปัฏฐากรูปหนึ่งตะโกนบอกท่านสมัยว่า “เฮ้ย..ไหม เอางูออกมาจากรังกระรอกเดี๋ยวนี้ ดึงหางมันออกมาเลย”..

ท่านสมัยเป็นคนที่ไม่กลัวงู ท่านสมัยถอดอังสะแหย่เข้าไปในโพรงไม้ เพื่อให้งูเขียวมันฉกผ้าอังสะ พองูเขียวฉกผ้าอังสะแล้วเขี้ยวของมันก็ติดที่ผ้า ไม่สามารถถอดเขี้ยวตัวเองออกมาได้ ท่านสมัยจึงถือโอกาสนี้จับคองูเขียวโยนมันลงมาที่พื้นดิน..

พระอุปัฏฐากเดินไปจับงูเขียวแล้วนำมาให้หลวงปู่ชอบท่านดู งูเขียวนี้เป็นงูเขียวพระอินทร์ มีลำตัวขนาดใหญ่พอๆ กับขวดกระทิงแดง ความยาวของงูตัวนี้ประมาณหนึ่งเมตร ที่ท้องของมันป่องๆ จับดูที่ท้องของมันเป็นลูกๆ ลักษณะคล้ายกับมีตัวกระรอกหรือหนูอยู่ที่ในท้องของมัน..

หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า “มันกินลูกกระรอกไปแล้วตัวหนึ่ง ตอนนี้มันอิ่มแล้วแต่มันบ่ยอมหนี มันจะนอนอยู่กินลูกเขาที่เหลือในรังอีก”..

องค์ท่านพูดขึ้นว่า “รู้อยู่ว่าชาติเชื้อหน่อเนื้อเจ้ากินมังสาเป็นอาหาร เขาเคยทำลายลูกเจ้า เจ้ากะมาทำลายลูกเขา เจ้าก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ บ่มีไผ๋ได้สุขจากเรื่องนี้ ต่อไปนี้อย่าทำลายกันอีกเด้อ จบกันซ่ะแต่ชาตินี้ อย่าจองเวรกันอีกต่อไป”..

แล้วองค์ท่านก็สั่งพระเณรให้นำงูตัวนี้ไปปล่อยที่นอกวัด เพื่อเป็นการแยกคู่กรณีต่างสายพันธุ์ ไม่ให้มันมารบกวนกันอีกต่อไป..

เรียนถามองค์ท่านว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า มีงูเขียวมันมากินลูกกระรอก องค์ท่านตอบว่า “ได้ยินเสียงแม่ออกร้องขอความช่วยเหลือ อาจารย์ๆ ช่วยลูกข้าน้อยด้วย ลูกข้าน้อยถูกงูกินแล้ว เราเลยกำหนดดูที่มาของเสียงนี้ เห็นงูมันกำลังกินลูกกระรอก ก็เลยบอกพวกท่านให้พากันมาช่วยลูกกระรอกตัวอื่นๆ ที่เหลือ กรรมของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ พวกมันเคยพรากแก้วตาดวงใจกันมาหลายภพหลายชาติ พอมาถึงชาตินี้กระรอกมันเลยถูกงูเขียวมากินลูกของมัน”..

เรียนถามองค์ท่านว่า แล้วหลวงปู่มาเกี่ยวข้องอะไรกับงูเขียวและกระรอกตัวนี้ ถึงได้มาช่วยแยกเขาออกจากกัน

องค์หลวงปู่ชอบบอกว่า “อดีตชาติตอนที่เราเกิดอยู่ทางนครพนม ปัจจุบันที่เราเกิดในตอนนั้นอยู่ในเขตท่าอุเทน เราเป็นพ่อผัวของงูเขียวกับกระรอกตัวนี้ เมียมันบ่ถูกกัน อิจฉากัน อยู่ตลอดเวลา พอเมียใหญ่ท้อง เมียน้อยกะวางยาให้เมียหลวงตกลูกตกเลือด พอเมียหลวงตกลูกแล้ว ก็รู้ว่าเมียน้อยเป็นผู้ทำลายลูกเจ้าของ มันเลยพยาบาทอาฆาตจองเวรกันไว้”..

“จิตใจของสองคนนี้มันตกต่ำ พอตายไปแล้วพวกมันก็พากันมาเกิดเป็นเดรัจฉาน นับจากชาตินั้นเป็นต้นมา พวกมันก็เบียดเบียนกันมาอยู่ตลอด สลับภพสลับชาติกันอยู่แบบนี้ จนมาถึงในชาติปัจจุบันนี้แหละ พวกมันเกิดเป็นเดรัจฉานชาติใด ก็พากันเกิดเป็นแต่เดรัจฉานตัวเมียอยู่อย่างนั้น เบียดเบียนฆ่าลูก กินลูกกันอยู่อย่างนั้น จนถึงชาติปัจจุบันนี้แหละ”..

เพื่ออยากพิสูจน์ว่า งูเขียวตัวที่จับอยู่นี้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย พระอุปัฏฐากท่านนี้จึงใช้มือกดไปที่โคนหางของงู เมื่อกดไปที่หางของงูแล้วไม่ปรากฏมีเดือยของงูโผล่ออก จึงรู้ว่างูเขียวตัวนี้เป็นตัวเมียตามที่หลวงปู่ชอบท่านได้บอกไว้..

จากนั้นหลวงปู่ท่านพาพระเณรนำงูเขียวตัวนี้ไปปล่อยที่ทุ่งนาทางเข้าบ้านโคกแฝก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกมนประมาณสามกิโลเมตร พอถึงจุดที่ปล่อยงู หลวงปู่ชอบท่านบอกให้ปล่อยงูไว้ที่นี่เขาถึงจะปลอดภัย พระจึงปล่อยงูลงที่ข้างทาง งูเมื่อถูกปล่อยแล้วก็ไม่เลื้อยหนีในทันที งูเขียวตัวนี้หยุดมองมาที่หลวงปู่และพระเณรประมาณสอง-สามนาที หลวงปู่ชอบท่านยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “จบๆ กันซ่ะ บ่จองเวรกันอีกแล้ว จากนี้ไปให้อยู่กันเป็นสุขๆ”

งูเขียวตัวนี้เหมือนกับรู้คำขององค์ท่าน พอหลวงปู่ท่านว่าจบสักพัก งูเขียวตัวนี้มันก็เลื้อยเข้าไปในพงหญ้าที่อยู่ในทุ่งนา และหายไปจากสายตาของพระเณรที่นำมันไปปล่อย..

ระหว่างเข็นรถเข็นของหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าโคกมน ท่านไหมถามหลวงปู่ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไงกับอดีตพวกนี้ หลวงปู่ท่านบอกกับท่านไหมว่า “อยากรู้ก็ให้ภาวนาจนได้เจโตฯ ภาวนาจนให้ได้จุตูปปาตญาณ ทุกอย่างท่านก็จะรู้ด้วยตนเอง”..

ท่านสมัยถามว่า แล้วใครล่ะคือลูกชายหลวงปู่ในชาตินั้น..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบตอบท่านไหมว่า “แล้วใครล่ะที่มันมาถามเราอยู่ตอนนี้”..

ท่านสมัยได้แต่ยิ้มแห้งๆ พระอุปัฏฐากที่เป็นหัวหน้าคณะท่านจึงชี้มือมาที่ท่านสมัย และบอกกับท่านสมัยว่า “เรื่องทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านนั่นแหละเป็นตัวการ รู้ตัวหรือยังล่ะตอนนี้ ท่านปึก”..ท่านสมัยได้แต่ยิ้มรับชะตากรรม

เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของกงกรรมกงเกวียนที่มันเวียนวนเข้ามาหากัน

ตกกลางคืนหลังจากพระเณรทำวัตรสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่หลวงปู่ท่านอบรมพระเณรลูกหลาน พระอุปัฏฐากได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบอีกครั้ง หลวงปู่ท่านเล่าเท้าความถึงอดีตชาติของท่านในตอนนั้นให้พระเณรลูกหลานฟังว่า..

“ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจะอุบัติขึ้น ชาตินั้นเราเกิดเป็นนายช่างทำหม้อทำไหขาย มีลูกสองคน คนโตเป็นผู้ชายเจ้าชู้หลายเมีย ปัจจุบันมาเกิดเป็นท่านไหม ลูกสาวคนน้อยเป็นคนฮู้ผู้ดี เป็นคนมีศีลธรรม ได้แต่งงานกับพ่อค้าขายผ้า มีลูกด้วยกันสี่คน ลูกคนหนึ่งก็คือท่านนี่ล่ะ ลูกสาวลูกเขยตายไปแล้วก็ไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นดาวดึงส์จนเท่าทุกวันนี้ ลูกชายชาตินั่นมันกะได้มาบวชดูแลพ่อมัน ชาตินั้นถ้าบ่ได้ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า ชาตินี้มันกะบ่ได้บวชกับเขาดอก บุญมันได้สร้างมากับพระปัจเจกเพิ่นถึงได้มาบวชในชาตินี้”..

พระเณรทุกองค์เมื่อได้ฟังองค์ท่านหลวงปู่ชอบเล่าให้ฟัง พระเณรทุกองค์ต่างยกมืออนุโมทนาในความเมตตาขององค์ท่าน ที่หลวงปู่ชอบท่านได้แสดงให้กับพระเณรลูกหลานฟังในวันนั้น ทุกองค์ได้แต่นั่งฟัง ไม่มีใครคัดค้าน เพราะไม่มีใครที่มี “ความรู้พิเศษ” ในเรื่องแบบนี้เท่าองค์ท่าน..


:b8: :b8: :b8: หนังสือหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค หน้า ๓๓๗-๓๓๙
>>> http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=57708

เจ้าของ:  AAAA [ 13 มิ.ย. 2019, 06:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขวนขวายกิจ

4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/