ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57674
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 08:42 ]
หัวข้อกระทู้:  ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

@ ทุกขตา และทุกขลักษณะ

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ แสดงอรรถของทุกขตาไว้อย่างเดียวว่า "ชื่อว่า เป็นทุกข์ โดยความหมายว่า เป็นของมีภัย (ภยฏฺเฐน- (ขุ.ปฏิ.31/79/53)” ที่ว่า มีภัย นั้น จะแปลว่า เป็นภัย หรือน่ากลัว ก็ได้ ทั้งนี้โดยเหตุผลว่า สังขารทั้งปวง เป็นสภาพที่ผุพังแตกสลายได้ จะต้องย่อยยับมลายสิ้นไป จึงไม่มีความปลอดภัย ไม่ให้ความปลอดโปร่งโล่งใจ หรือ ความเบาใจอย่างเต็มที่แท้จริง หมายความว่า ตัวมันเองก็มีภัยที่จะต้องเสื่อมโทรมสิ้นสลายไป มันจึงก่อให้เกิดภัย คือ ความกลัวและความน่ากลัวแก่ใครก็ตามที่เข้าไปยึดถือเกี่ยวข้อง

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 08:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

ส่วนคัมภีร์ชั้นอรรถกถา ขยายความหมายออกไปโดยนัยต่างๆ คำอธิบายที่ท่านใช้บ่อย มี ๒ นัย

คือ ชื่อว่า เป็นทุกข์ โดยความหมายว่า มีความบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเกิดขึ้นและความเสื่อมสลาย (อุปฺปาทวยปฏิปีฬนฏฺเฐน หรืออุปฺปาทวยปฏิปีฬนตาย-วิสุทฺธิ.3/327) ทั้งบีบคั้นขัดแย้งต่อประดาสิ่งที่ประกอบอยู่กับมัน และทั้งมันเองก็ถูกสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วยนั้นบีบคั้นขัดแย้ง และ
ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ (ทุกฺขวตฺถุตาย หรือ ทุกฺขวตฺถุโต-วิสุทฺธิ.3/87) คือ เป็นที่รองรับของความทุกข์ หรือทำให้เกิดทุกข์ เช่น ก่อให้เกิดความรู้สึกทุกข์
พูดให้ง่ายเข้าว่า ที่เรียกว่า เป็นทุกข์ ก็เพราะทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ เป็นต้น หรือ
ที่เรียกว่า บีบคั้น ก็เพราะทำให้เกิดความรู้สึกบีบคั้น เป็นต้น

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 09:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

ความหมายที่ท่านประมวลไว้ครบถ้วนที่สุดมี ๔ นัย คือ เป็นทุกข์ด้วยอรรถ ๔ อย่าง ดังนี้

อภิณฺหสมฺปติปีฬนโต เพราะมีความบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา คือ ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเกิดขึ้น ความเสื่อมโทรม และความแตกสลาย และบีบคั้นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา กับสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วย หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยต่างก็เกิดขึ้น ต่างก็โทรมไป ต่างก็แตกสลาย

๒. ทุกฺขมโต เพราะ เป็นสภาพที่ทนได้ยาก คือคงทนอยู่ไม่ไหว หมายความว่า คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ จะต้องเปลี่ยน จะต้องกลาย จะต้องหมดสภาพไป เพราะความเกิดขึ้นและความโทรมสลายนั้น *

๓. ทุกฺขวตฺถุโต เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ คือเป็นที่รองรับสภาวะแห่งทุกข์ ซึ่งก็หมายความด้วยว่า เมื่อโยงมาถึงคน หรือ โยงแง่ที่คนเกี่ยวข้อง ก็เป็นที่ก่อให้เกิดทุกข์ เช่น ทุกขเวทนา หรือ ความรู้สึกบีบคั้น เป็นต้น (อรรถกถาและฎีกา อธิบายว่า เป็นที่ตั้งแห่งทุกขตาทั้ง ๓ และแห่งสังสารทุกข์-วินย.ฎีกา 3/81 ฯลฯ)


๔. สุขปฏิกฺเขปโต เพราะแย้งต่อความสุข คือ โดยสภาวะของมันเอง ที่ถูกปัจจัยทั้งหลายบีบคั้นขัดแย้งและคงสภาพอยู่ไม่ได้ มันก็ปฏิเสธ หรือกีดกั้นภาวะราบรื่นคล่องสะดวกอยู่ในตัว (เป็นเรื่องที่คนจะต้องดิ้นรนจัดสรรปัจจัยทั้งหลายเอา โดยที่ความสุขที่เป็นตัวสภาวะจริง ก็มีแต่เพียงความรู้สึก)




ที่อ้างอิง* ข้อ 2 ทุกฺขมโต

* ความหมายในภาษาไทยที่แปลตามตัวอักษรว่า ทนได้ยาก อาจให้รู้สึกว่าเข้ากันดีกับทุกขเวทนา เช่น ความเจ็บปวด ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า เป็นสิ่งที่คนทนได้ยาก แต่นั่นเป็นเพียงถ้อยคำแสดงความหมายที่พอดีมาตรงกับความรู้สึก ความจริง ความหมายนั้นเป็นสำนวนในภาษาบาลี ซึ่งหมายถึงคงทนอยู่ไม่ได้ หรือ คงสภาพอยู่ไม่ได้ ซึ่งเป็นลักษณะของสังขารทั้งหมดทุกอย่างดังได้อธิบายข้างบนนั้น

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 09:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

อธิบายว่า สภาวะที่มีเป็นพื้น ได้แก่ ทุกข์ คือ ความบีบคั้นกดดันขัดแย้งที่เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของสังขารทั้งหลาย ที่จริงก็เพียงเป็นสภาวะตามปกติธรรมดาของธรรมชาติ
แต่ในสภาพที่เกี่ยวข้องกับคน ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกบีบคั้นกดดันขัดแย้ง ที่เรียกว่า ความรู้สึกทุกข์ (ทุกขเวทนา) ด้วย
เมื่อใดทุกข์ คือ ความบีบคั้นกดดันนั้นผ่อนคลายไป หรือคนปลอดพ้นจากทุกข์นั้น ก็เรียกว่า มีความสุข หรือ รู้สึกสุข ยิ่งทำให้เกิดทุกข์ คือ สึกบีบคั้นกดดัน ทำให้รู้สึก ขาด พร่อง กระหาย หิว มากเท่าใด ในเวลาที่ทำให้ผ่อนหายปลอดพ้นจากทุกข์หรือความบีบกดนั้น ก็ยิ่งรู้สึกสุขมากขึ้นเท่านั้น

เหมือนคนที่ถูกทำให้ร้อนมาก เช่น เดินมาในกลางแดด พอเข้ามาในที่ร้อนน้อยลงหรืออุ่นลง ก็รู้สึกเย็น ยิ่งได้เข้าไปในที่ที่เย็นตามปกติก็จะรู้สึกเย็นสบายมาก
ในทางตรงข้าม ถ้าทำให้ได้รับความรู้สึกสุข (สุขเวทนา) แรงมาก พอเกิดความทุกข์ ก็จะรู้สึกทุกข์ (ทุกขเวทนา) รุนแรงมากด้วยเช่นกัน แม้แต่ทุกข์เพียงเล็กน้อย ที่ตามปกติจะไม่รู้สึกทุกข์ เขาก็อาจจะรู้สึกทุกข์ได้มาก เหมือนคนอยู่ในที่ ที่เย็นสบายมาก พอออกไปสู่ที่ร้อนก็รู้สึกร้อนมาก แม้แต่สภาวะที่คนอื่นๆ หรือตัวเขาเองเคยรู้สึกเฉยๆ เขาก็อาจจะกลับรู้สึกเป็นร้อนไป

พูดลึกลงไปอีก ให้ตรงความจริงโดยสมบูรณ์ว่า ที่ว่าเป็นสุขหรือรู้สึกสุข (สุขเวทนา) นั้น ตามที่แท้จริงก็ไม่ใช่ปลอดพ้น หรือ หายทุกข์ดอก แต่เป็นเพียงระดับหนึ่งหรือขีดขั้นหนึ่งของทุกข์เท่านั้น กล่าวคือ ความบีบคั้นกดดันขัดแย้ง ที่ผ่อนหรือเพิ่มถึงระดับถึงระดับหนึ่ง หรือ ในอัตราหนึ่ง เราเรียกว่า เป็นสุข เพราะทำให้เกิดความรู้สึกสุข แต่ถ้าเกินกว่านั้นไป ก็กลายเป็นต้องทน หรือเหลือทน เรียกว่า เป็นทุกข์ คือ รู้สึกทุกข์ (= ทุกขเวทนา) ว่าที่แท้จริง ก็มีแต่ทุกข์ คือ แรงบีบคั้นกดดันขัดแย้งเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

เหมือนกับเรื่องความร้อนและความเย็น ว่า ที่จริงความเย็นไม่มี มีแต่ความรู้สึกเย็น สภาวะที่เป็นพื้นก็คือ ความร้อนที่เพิ่มขึ้น หรือลดลง จนถึงไม่มีความร้อนที่คนเราพูดว่า เย็นสบายนั้น ก็เป็นเพียงความ รู้สึก ซึ่งที่แท้แล้วเป็นความร้อนในระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าร้อนน้อยหรือมากเกินกว่าระดับนั้นแล้ว ก็หารู้สึกสบายไม่


โดยนัยนี้ ความสุข หรือ พูดให้เต็มว่า ความรู้สึกสุข คือ สุขเวทนาก็เป็นทุกข์ ทั้งในความหมายว่าเป็นทุกข์ระดับหนึ่ง มีสภาวะเพียงความรู้สึก และในความหมายว่า เป็นสิ่งที่ขึ้นต่อความบีบคั้นกดดัน ขัดแย้ง จะต้องกลาย จะต้องผันแปร จะต้องหมดไป เหมือนกับว่า ทุกข์ที่เป็นตัวสภาวะนั้น ไม่ยอมให้สุขยืนยงคงอยู่ได้ยั่งยืนตลอดไป

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 09:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

อนึ่ง ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคที่อ้างถึงข้างต้นว่า ท่านแสดงอรรถคือความหมายของทุกข์ ซึ่งเป็นข้อที่ 2 ในไตรลักษณ์ไว้อย่างเดียวว่า เป็นสิ่งมีภัย (ภยฏฺเฐน) นั้น

เมื่อถึงตอนที่อธิบายเรื่องอริยสัจ ท่านได้แสดงอรรถของทุกข์ ซึ่งเป็นข้อที่ 1 ในอริยสัจว่ามี 4 อย่าง คือ
มีความหมายว่า บีบคั้น (ปีฬนฏฺฐ)
มีความหมายว่า เป็นสังขตะ (สงฺขตฏฺฐ)
มีความหมายว่า แผดเผา (สนฺตาปฏฺฐ) และ
มีความหมายว่า ผันแปร (วิปริณามฏฺฐ)

เห็นว่า ความหมาย 4 นัยนี้ ใช้กับทุกข์ในไตรลักษณ์ได้ด้วย จึงขอนำมาเพิ่มไว้ ณ ที่นี้ โดยตัดข้อซ้ำ คือ ข้อที่ 1 และข้อที่ 4 (ปีฬนฏฺฐ และ วิปริณามฏฺฐ) ออกไป คงได้เพิ่มอีก 2 ข้อ คือ

6. สงฺขตฏฺฐ โดยความเป็นของปรุงแต่ง คือ ถูกปัจจัยต่างๆ รุมกัน หรือมาชุมนุมกันปรุงแต่งเอา มีสภาพที่ขึ้นต่อปัจจัย ไม่เป็นของคงตัว

7. สนฺตาปฏฺฐ โดยความหมายว่า แผดเผา คือ ในตัวของมันเองก็มีสภาพที่แผดเผาให้กร่อนโทรมย่อยยับสลายไป และทั้งแผดเผาผู้มีกิเลสที่เข้าไปยึดติดถือมั่นมันให้เร่าร้อนกระวนกระวายไปด้วย

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 มิ.ย. 2019, 19:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

ต่อ กท.นี้

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57679&p=448140#p448140

ทุกข์ในอริยสัจ แยกให้ชัด จากทุกข์ในไตรลักษณ์

เจ้าของ:  Rosarin [ 03 มิ.ย. 2019, 07:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

Kiss
เพราะไม่รู้ว่าไม่มีเรา
มีแต่ธัมมะที่กำลังมี
กำลังเกิดดับด้วย
ทุกขะอริยะสัจจะ
ทุกข์เพราะไม่รู้
รู้ตามอยู่ไม่ทุกข์ค่ะ
ที่ไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
คือทุกขะอริยะสัจจะธัมมะค่ะ
onion onion onion

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 04 มิ.ย. 2019, 08:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหมายของไตรลักษณ์ (ทุกขตาและทุกขลักษณะ)

Rosarin เขียน:
Kiss
เพราะไม่รู้ว่าไม่มีเรา
มีแต่ธัมมะที่กำลังมี
กำลังเกิดดับด้วย
ทุกขะอริยะสัจจะ
ทุกข์เพราะไม่รู้
รู้ตามอยู่ไม่ทุกข์ค่ะ
ที่ไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
คือทุกขะอริยะสัจจะธัมมะค่ะ
onion onion onion


เขาตั้งข้อสังเกตกัน

รูปภาพ

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5D9869B9


https://scontent.fbkk5-4.fna.fbcdn.net/ ... e=5D8D31C4

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/