วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2019, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูตัวอย่าง การตีความของเราๆท่านๆที่อ่านบทความหัวข้อหลักธรรม ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้นกัน

ต่อจาก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57622&p=447629#p447629

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2019, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

เมื่อพูดมาถึงแง่นี้ ก็จะสัมพันธ์กับหลักพุทธศาสนาที่สอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับการตีความตามคำเปรียบเทียบที่ว่า หว่านพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น ปลูกเม็ดมะขาม ได้ต้นมะขาม ปลูกเม็ดมะปราง ได้ต้นมะปราง

ขั้นนี้เรียกว่า หว่านพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2019, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้มีอีกตอนหนึ่งถามว่า ได้มะปรางแล้ว จะได้กำไรดี หรือเปล่า ตอนนี้ต้องขึ้นต่อองค์ประกอบอื่น เช่นว่า คนเขานิยมไหม มีขายมากไปล้นตลาดหรือเปล่า ตลาดมีความต้องการแค่ไหน ถ้าปัจจัยอื่นเช่นความต้องการอำนวย ตลาดมีความต้องการแค่ไหน ถ้าปัจจัยอื่นเช่นความต้องการอำนวย ก็จะทำให้ได้กำไรดี แต่ถ้าปัจจัยเหล่านั้นไม่ดี ก็ไม่ค่อยได้กำไร แต่เราก็ได้มะปรางอยู่นั่นเอง


ทำดีได้ดี เรามองเป็นได้กำไร แทนที่จะมองผลจริงแท้ว่า ปลูกมะปรางได้มะปราง ได้ต้นมะปรางจากการปลูกเม็ดมะปราง เราข้ามขั้นตอนไปมองว่า ได้เงินจากการปลูกมะปราง จะเห็นว่าไม่เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องเลย


ทำดีได้ดี ความดีเกิดขึ้น สร้างเมตตา เมตตาเกิดขึ้น ความรักเกิดขึ้น จิตใจแช่มชื่นเย็นสบาย ความรู้สึกอ่อนโยนต่อกันเกิดขึ้น มีเมตตาไป ท่าทีกิริยาแสดงออกมา อีกฝ่ายหนึ่งที่รับก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นในทางดีงาม ปลูกเมตตา เมตตาก็เกิดและแผ่ไป ปลูกอะไรก็ได้อันนั้น ทำความดี ก็ได้ผลที่ดี ทำดีได้ดี ตรงนี้ถูกไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2019, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ทีนี้ เราไปหวังว่าทำความดีได้ดี คือ ได้ตำแหน่งไหม ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งไหม ได้อะไรต่ออะไรก็ไม่รู้

นี่คือ กลายเป็นคิดข้ามขั้นตอนไปว่า ปลูกมะปราง ได้เงิน กำไรหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ขึ้นต่อปัจจัยตรงแท้แค่นี้แล้ว แต่ไปขึ้นกับองค์ประกอบอีกตั้งหลายอย่าง


องค์ประกอบอื่นก็เช่นว่า ความดีของเราที่ทำขึ้นมานี้ เป็นสิ่งที่ตลาดต้องการหรือเปล่า ถ้าตลาดต้องการ เรามีองค์ประกอบเกื้อหนุนถูกต้อง ผลดีที่เราต้องการเป็นวัตถุภายนอก ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ก็เกิดมีขึ้น ถ้าไม่ตรงมันก็ยังไม่ได้ คนไม่ได้มองตรงนี้เลย


ทั้งที่ภาษิตบอกไว้ชัดว่า ปลูกพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น ปลูกเม็ดมะปราง ได้ต้นมะปราง แต่เราจะไปเอาตรงปลูกมะปราง ได้กำไรหรือเปล่า ปลูกเม็ดมะปราง ได้ธนบัตรไหม มันผิดขั้นตอนไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2019, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับมนุษย์โลกียปุถุชนนี้ พอปลูกมะปราง ก็ไม่คิดแต่เพียงให้ได้มะปราง แต่ไปคิดว่าให้ได้เงินกำไรมา ก็เลยกลายเป็นว่า มนุษย์ทำอะไรหวังผลตอบแทนมาก

เมื่อทำความดี ก็หวังผลตอบแทน แต่ไม่ทำเหตุปัจจัยให้พอแก่ผลที่หวังจะได้ตอบแทนนั้น ตัวเองปัญญาไม่ถึง และทำไม่ถูก ก็ไปโทษกฎธรรมชาติ ที่จริงตัวหลงผิดไปเอง


แต่ถ้าได้ก้าวหน้าไปสู่ขั้นเป็นอริยสาวกแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่ห่วงเรื่องผลตอบแทนอันนี้ แต่จะรักคุณภาพของชีวิต รู้คุณค่าของชีวิตที่ประณีตขึ้น รักความบริสุทธิ์ของชีวิต รักธรรม รักความดีงาม ต้องการให้ธรรมคือความดีงาม เกิดมีแก่ชีวิต และเกิดมีขึ้นในโลก

ถ้าคนมีความรักความต้องการอย่างนี้ สังคมจะดีด้วยมีความดี และมนุษย์จะมีความสุข โดยไม่ต้องถือเรื่องผลประโยชน์ทางวัตถุเป็นสำคัญนัก

ถ้าจิตมาถึงขั้นนี้แล้ว การทำความดีก็จะไปถึงตัวธรรม ไม่มาติดอยู่ที่ขั้นหวังนรก - สวรรค์แล้ว แต่นรก – สวรรค์นั้นก็เป็นไปตามกฎธรรมดา เราไม่ต้องไปอ้อนวอน มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้น

เมื่อทำเหตุดี ผลดีก็เกิดขึ้นเอง เป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ หลักเหตุและผลดำเนินไปเอง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาอ้อนวอน ถึงเราไม่ต้องการผล มันก็เกิดผล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2019, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ ขอแทรกหน่อยหนึ่ง เมื่อกี้นี้บอกว่า ปลูกเม็ดมะปราง ได้ต้นมะปราง ไม่ใช่ปลูกเม็ดมะปราง ได้เงินทอง ซึ่งผิดขั้นตอน และไม่เป็นเหตุเป็นผลตามกฎธรรมชาติ


ทีนี้ พูดละเอียดลงไปอีก แม้แต่ที่ว่าปลูกเม็ดมะปราง ได้ต้นมะปราง ก็ไม่แน่ บางทีปลูกเม็ดมะปรางแล้ว ไม่ได้ต้นมะปรางก็มี เช่น เพราะเม็ดมะปรางนั้นเน่า มันก็เลยไม่ขึ้น ไม่งอก


นอกจากนั้น มีแต่เม็ดมะปรางอย่างเดียว ก็ยังไม่พอ ต้องมีดิน มีน้ำ มีปุ๋ย มีอากาศ มีอุณหภูมิร้อนเย็นพอดี ทุกอย่างต้องพอเหมาะ เม็ดมะปรางจึงจะงอกขึ้นเป็นต้นมะปราง


ที่ว่าทำเหตุนั้น หมายถึงว่า ต้องมีปัจจัยพร้อมด้วย ทางพระจึงพูดรวมว่า เหตุปัจจัย ความเป็นเหตุเป็นผลตามกฎธรรมชาติ รวมทั้งกฎแห่งกรรมนั้น มีความหมายคลุมถึงกระบวนการของเหตุปัจจัยทั้งหมดที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก


เรื่องนี่เพียงพูดแทรกไว้เท่านั้น ยังไม่ขยายความที่นี่ เอาพอสะกิดไว้เป็นแง่คิด ก็รวมอยู่ในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลนั้นเอง คือ เป็นเหตุเป็นผลตามกฎธรรมชาติ หรือความจริงของธรรมดา ไม่ใช่เหตุผลแบบผลตอบแทนอย่างที่ชอบวาดแต่งกันตามความอยาก


เอาเป็นว่าหยุดไว้แค่นี่ก่อน เพราะกำลังจะเลยจากเรื่องนรก - สวรรค์ ไปเข้าเรื่องกฎแห่งกรรม ที่รองรับเรื่องนรก-สวรรค์นั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2019, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาถึงตอนนี้ก็เป็นสรุปได้ว่า ถึงแม้เราจะพูดถึงผลตามเหตุ คล้ายกับเป็นผลตอบแทน แต่ความจริงนั้น เรารู้ไว้เพื่อเกิดความมั่นใจต่างหาก


ทำดีในชาตินี้ให้สบายใจ เมื่อจิตดี ระดับจิตพร้อมอยู่แล้ว แม้แต่คนที่ไม่เชื่อ ถ้าชาติหน้ามี มันก็ไปดีเอง ไม่ต้องห่วงล่วงหน้า นี่คือคติพระพุทธศาสนา และทำความดีจนไม่ต้องห่วงล่วงหน้านั่นแหละ แสดงว่า เรามั่นใจในหลักความจริงและความดีแล้ว


ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เรามีความมั่นใจในหลักความจริงและความดีนั้นหรือเปล่า ถ้ามีความมั่นใจแล้วก็ไม่ต้องห่วง เวลาตายจะไปนรกหรือไม่ ไม่ไปหรอก


ถ้าเราทำใจปรุงแต่งมันพร้อมดีอยู่แล้ว ให้ถึงระดับที่สาม ก็คือทำดีอยู่ทุกขณะ ปรุงแต่งสวรรค์อยู่ตลอดเวลา สวรรค์ก็อยู่ในกำมือ หรือจะเลยสวรรค์ไปอีกก็ได้ คือ ให้ขึ้นระดับอริยสาวกไปเลย


เวลานี้ การสอนเรื่องนรก - สวรรค์มาติดกันอยู่ตรงนี้ คือ มาติดเรื่องคิดพิสูจน์นรก - สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่จริง นี่คือจะไปเป็นนักปรัชญา เลยไม่ต้องทำอะไร รอจนกว่าฉันจะรู้ว่านรก - สวรรค์มีหรือไม่มี ฉันจึงจะทำได้ถูก ถ้าอย่างนี้ ก็ไม่ต้องทำแล้วตลอดชีวิตนี้ ตายก่อน เพราะนักปรัชญาตายมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ในระยะห้าพันปีนี้ และที่ไม่ใช่นักปรัชญา คอยฟังนักปรัชญาสอน ก็ตายไปอีกเท่าไรไม่รู้ ก็เลยไม่ได้เรื่อง พากันทำชีวิตให้เป็นหมันไปเสียมาก


ตามแนวทางพุทธศาสนา ถือหลักแห่งการปฏิบัติ เอาสิ่งที่ปฏิบัติได้โดยไม่รออภิปรัชญา ไม่ต้องอิงกับการรอพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ ทว่าเน้นเรื่องท่าที ว่าให้มีความมั่นใจ ทำดีที่ปฏิบัติเห็นผลได้ในชีวิตนี้ พร้อมทั้งมีความมั่นใจในผลดีที่จะมีข้างหน้า ด้วยการปรุงแต่งไว้พร้อมแล้ว เมื่อสภาพจิตของเราดีอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปแล้ว ก็ต้องไปดีตามเหตุปัจจัยของมันเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2019, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแทรกไว้ด้วยว่า นรก - สวรรค์ ที่อยู่ในระบบสังสารวัฏ มีการหมุนเวียนขึ้น-ลงได้ และยืดยาวนี้ เมื่อมองในเชิงปฏิบัติ ไม่พูดในแง่ความจริง จะเห็นว่า ทำให้คน (สัตว์ทั้งหลาย) มีโอกาสแก้ตัว ก็เลยเหมือนเปิดให้ประมาทผัดเพี้ยน ไม่เหมือนอย่างนรก - สวรรค์แบบที่คนเกิดมาครั้งเดียวแล้วไปอย่างไหนก็นิรันดรเลย ซึ่งเมื่อไม่มีโอกาสแก้ตัว ก็บีบให้คนต้องจริงจังในการที่จะมุ่งแน่วไปสวรรค์


ในแง่นี้ ท่านก็ให้หลักความไม่ประมาทไว้แล้ว ซึ่งจะต้องย้ำกันให้หนัก โดยสัมพันธ์กับการที่ว่า ทุกคนจะต้องมุ่งแน่วในการก้าวสูงขึ้นไปในสังสารวัฏ จนวิวัฏฏ์ (นิพพาน) พ้นไปเหนือสังสารวัฏนั้น ไม่ต้องพูดถึงนรก เปรต ฯลฯ ที่ไม่ควรไปเด็ดขาด แม้แต่สวรรค์ก็ไม่ควรพอใจ แต่จะต้องพัฒนาจนผ่านแม้แต่พรหมขึ้นไปให้ถึงอริยภูมิ


เป็นอันว่า จะต้องก้าวขึ้นสู่ขั้นอริยสาวก อย่าอยู่กันแค่ขั้นหวังผลตอบแทน อย่ามัวห่วงเรื่องนรก - สวรรค์ที่ยังเหมือนขู่กัน ถ้าจิตของเราประณีตขึ้นไป จนกระทั่งรักความบริสุทธิ์ดีงามของชีวิต รักธรรม อยากให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ดีงาม เป็นธรรม อยู่ในธรรม ประณีตด้วยธรรม และต้องการให้ธรรมแผ่ไป ก็อยู่กันได้ด้วยความดี ขั้นนี้ถึงธรรมแล้ว ก็ไม่ต้องหวังรอผลตอบแทนอีกต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron