วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นๆนำมาพูดกันบ่อยๆ จึงนำหลักมาให้ศึกษากันดู ที่ว่าเห็นไตรลักษณ์ๆ คือ เห็นอะไร ยังไง ที่ไหน จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์ เห็นไตรลักษณ์ :b1:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลาย มีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้น แต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยว่างเปล่าโบ๋เบ๋โล่งโก่ง อย่างที่คิดๆกัน มันมี แต่มันเป็นอนัตตา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

มีหลักธรรมใหญ่อยู่ ๒ หมวด ที่ถือได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ คือ ไตรลักษณ์ และ ปฏิจจสมุปบาท

ความจริง ธรรมทั้ง ๒ หมวดนี้ถือได้ว่าเป็นกฎเดียวกัน แต่แสดงในคนละแง่หรือคนละแนว เพื่อมองเห็นความจริงอย่างเดียวกัน คือ ไตรลักษณ์ มุ่งแสดงลักษณะของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งปรากฏให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อสิ่งเหล่านั้น เป็นไปโดยอาการที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันตามหลักปฏิจจสมุปบาท ส่วนหลักปฏิจจสมุปบาท ก็มุ่งแสดงถึงอาการที่สิ่งทั้งหลายมีความสัมพันธ์ เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันเป็นกระแส จนมองเห็นลักษณะได้ว่าเป็นไตรลักษณ์

กฎธรรมชาตินี้ เป็น ธาตุ คือภาวะที่ทรงตัวอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมฐิติ คือภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมนิยาม คือกฎธรรมชาติ หรือกำหนดแห่งธรรมดา ไม่เกี่ยวกับ ผู้สร้างผู้บันดาล หรือการเกิดขึ้นของศาสนาหรือศาสดาใดๆ กฎธรรมชาตินี้แสดงฐานะของศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด้วยว่าเป็นผู้ค้นพบกฎ เหล่านี้ แล้วนำมาเปิดเผยชี้แจงแก่ชาวโลก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 พ.ค. 2019, 08:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ
ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ



ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ


คิกๆๆ ผสมผสานปนเปกันเหมือนไม้พันธ์ผสมดังเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ



ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ


คิกๆๆ ผสมผสานปนเปกันเหมือนไม้พันธ์ผสมดังเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว
ในเมื่อพระองค์ตรัสรถึงความจริงเป้นอย่างนั้นมี่ทีรูปนามเกิดดับเป้นล้านครั้งๆ การเกิดดับของรูปจะต้องมีพลังงานอยู่แล้ว. ท่านสามารถ
พิสูจน์คลื่นวิทยุต่างๆเป้นอย่างไรในแนววิทยาศาสตร์. ความจริงที่จับต้อวได้ตรงต่อคำสอน. จงออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. แล้สท่านจะพบกับความจริงที่อยู่ในกายท่านเองด้วยลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมไปเท่านั้นเอง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ





ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ


คิกๆๆ ผสมผสานปนเปกันเหมือนไม้พันธ์ผสมดังเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว
ในเมื่อพระองค์ตรัสรถึงความจริงเป้นอย่างนั้นมี่ทีรูปนามเกิดดับเป้นล้านครั้งๆ การเกิดดับของรูปจะต้องมีพลังงานอยู่แล้ว. ท่านสามารถ
พิสูจน์คลื่นวิทยุต่างๆเป้นอย่างไรในแนววิทยาศาสตร์. ความจริงที่จับต้อวได้ตรงต่อคำสอน. จงออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. แล้สท่านจะพบกับความจริงที่อยู่ในกายท่านเองด้วยลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมไปเท่านั้นเอง



ก็ไม่พ้นไม้พันธ์ผสม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ

มีหลักธรรมใหญ่อยู่ ๒ หมวด ที่ถือได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ คือ ไตรลักษณ์ และ ปฏิจจสมุปบาท

ความจริง ธรรมทั้ง ๒ หมวดนี้ถือได้ว่าเป็นกฎเดียวกัน แต่แสดงในคนละแง่หรือคนละแนว เพื่อมองเห็นความจริงอย่างเดียวกัน คือ ไตรลักษณ์ มุ่งแสดงลักษณะของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งปรากฏให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อสิ่งเหล่านั้น เป็นไปโดยอาการที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันตามหลักปฏิจจสมุปบาท ส่วนหลักปฏิจจสมุปบาท ก็มุ่งแสดงถึงอาการที่สิ่งทั้งหลายมีความสัมพันธ์ เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันเป็นกระแส จนมองเห็นลักษณะได้ว่าเป็นไตรลักษณ์

กฎธรรมชาตินี้ เป็น ธาตุ คือภาวะที่ทรงตัวอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมฐิติ คือภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมนิยาม* คือกฎธรรมชาติ หรือกำหนดแห่งธรรมดา ไม่เกี่ยวกับ ผู้สร้างผู้บันดาล หรือการเกิดขึ้นของศาสนาหรือศาสดาใดๆ กฎธรรมชาตินี้แสดงฐานะของศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด้วยว่าเป็นผู้ค้นพบกฎ เหล่านี้ แล้วนำมาเปิดเผยชี้แจงแก่ชาวโลก



ที่อ้างอิง * (ธรรมนิยาม)

-ในคัมภีร์อภิธรรมรุ่นอรรถกถา แบ่ง นิยาม หรือ กฎธรรมชาติเป็น ๕ อย่าง คือ

๑. อุตุนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องลมฟ้าอากาศ และฤดูกาล ในทางอุตุนิยม อันเป็นสิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์

๒. พืชนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธ์ รวมทั้งพันธุกรรม

๓. จิตตนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของจิต

๔. กรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับเจตจำนง และพฤติกรรมมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ

๕. ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับสภาวะแห่งธรรมดาทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ และความเป็นเหตุเป็นผลแก่กันของสิ่งทั้งหลาย (ที.อ.2/34 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ :b13:

สำหรับไตรลักษณ์นั้น มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติ ว่าดังนี้

"ตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นก็ดำรงอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า

๑. สังขารทั้งปวง * ไม่เที่ยง...

๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์...

๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา...

ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า "สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ...ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา" (องฺ.ติก.20/576/368)

ที่อ้างอิง *
* คำว่า "สังขาร" ในไตรลักษณ์นี้ ต้องเข้าใจว่าต่างกับคำว่า สังขารในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ สังขาร = ความดีความชั่วที่ปรุงแต่งจิตใจ เป็นนามธรรมอย่างเดียว ส่วนในไตรลักษณ์ สังขาร = สิ่งทั้งปวงที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง หรือที่เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ประชุมกันเข้า จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม คือ เท่ากับขันธ์ ๕ ทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ



ไตรลักษณ์นี้ ในอรรถกถาบางทีเรียกว่า สามัญลักษณะ ในฐานะเป็นลักษณะร่วม ที่มีแก่สิ่งทั้งหลาย เป็นสามัญเสมอเหมือนกัน คือ ทุกอย่างที่เป็นสังขตะ เป็นสังขาร ล้วนไม่เที่ยง คงทนอยู่มิได้ เสมอเหมือนกันทั้งหมด ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่ว่าสังขตะคือสังขาร หรืออสังขารคือวิสังขาร ก็ล้วนมิใช่ตน ไม่เป็นอัตตา เสมอกันทั้งสิ้น

เพื่อความเข้าใจง่ายๆ จะแสดงความหมายของไตรลักษณ์ โดยย่อ ดังนี้

๑. อนิจจตา ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อม และสลายไป

๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว ภาวะที่กดดัน ฝืนและขัดแย้งในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ภาวะที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว ไม่ให้ความสมอยากแท้จริง หรือความพึงพอใจเต็มที่แก่ผู้อยากด้วยตัณหา และก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้เข้าไปอยากเข้าไปยึดด้วยตัณหาอุปาทาน

๓. อนัตตตา ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตัวตนจริงแท้ที่จะเป็นเจ้าของครอบครองสั่งบังคับให้เป็นไปอย่างไรๆได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ





ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ


คิกๆๆ ผสมผสานปนเปกันเหมือนไม้พันธ์ผสมดังเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว
ในเมื่อพระองค์ตรัสรถึงความจริงเป้นอย่างนั้นมี่ทีรูปนามเกิดดับเป้นล้านครั้งๆ การเกิดดับของรูปจะต้องมีพลังงานอยู่แล้ว. ท่านสามารถ
พิสูจน์คลื่นวิทยุต่างๆเป้นอย่างไรในแนววิทยาศาสตร์. ความจริงที่จับต้อวได้ตรงต่อคำสอน. จงออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. แล้สท่านจะพบกับความจริงที่อยู่ในกายท่านเองด้วยลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมไปเท่านั้นเอง



ก็ไม่พ้นไม้พันธ์ผสม :b32:
ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. คำสอนพระองค์ต้อวพิสูจน์ได้จริงยืนยันรอการพิสูจน์ทั้งทางวิทย์และตัวเอง. ของเกิดในเองแท้ๆ.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไตรลักษณ์ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อย่าง ของสิ่งทั้งปวง

ตัวกฎหรือตัวสภาวะ

ตามหลักพุทธธรรมเบื้องต้นที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมกันเข้า หรือมีอยู่ในรูปของการรวมตัวเข้าด้วยกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น มิใช่หมายความว่าเป็นการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นๆอันๆ อยู่แล้วมาประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างคุมกันอยู่เหมือนเมื่อเอาวัตถุต่างๆ มารวมกันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ

ความจริง ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากการประชุมกันของส่วนประกอบต่างๆนั้น เป็นเพียงคำกล่าวเพื่อเข้าใจง่ายๆ ในเบื้องต้นเท่านั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายมีอยู่ในรูปของกระแส ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากส่วนประกอบอื่นๆ ย่อยลงไป แต่ละอย่างไม่มีตัวตนของมันเองเป็นอิสระ ล้วนเกิดดับต่อกันไปเรื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่
กระแสนี้ไหลเวียนหรือดำเนินต่อไป อย่างที่ดูคล้ายกับรักษารูปแนวและลักษณะทั่วไปไว้ได้อย่างค่อยเป็นค่อย ไป ก็เพราะส่วนประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยสืบต่อแก่กันอย่างหนึ่ง และเพราะส่วนประกอบเหล่านั้นแต่ละอย่างล้วนไม่มีตัวตนของมันเอง และไม่เที่ยงแท้คงที่อย่างหนึ่ง

ความเป็นไปต่างๆทั้งหมดนี้ เป็นไปตามธรรมชาติ อาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกันของสิ่งทั้งหลายเอง ไม่มีตัวการอย่างอื่นที่นอกเหนือออกไปในฐานะผู้สร้างผู้บันดาล จึงเรียกเพื่อเข้าใจง่ายๆว่าเป็นกฎธรรมชาติ







ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ เราเกิดมาก็มีเพียงกายและใจที่เป็นของเรา. เราต้องรู้ก่อนว่านี้คือเรา. และทำไมมันถึงไม่ใช่เรา. โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่คลื่นมีแต่แรงสั่นสะเทือน. ที่มีลักษณะเกิดดับ. แม้แต่ร่างกายเราเอง. เกิดดับๆๆๆๆๆๆเป็นล้านๆครั้ง. เรามักจะได้เรียนรู้ได้ยินมา. แต่เราคือได้รับความรู้สึกถึงสิ่งนั้นจริวมั้ย. แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังพิสูจน์ได้ถึงการเกิดดับจองร่างกายเราว่าเป้นอนภาคปรมณูเล็กๆหรือส่าเซลเล็กๆ. เกิดดับตลอดเวลา. จงออกมาจากความรู้ความเคยชินเก่าๆของเราเอง. ลงไปค้นหาความจริงที่อยู่ในร่างกายเรานี้ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยู่เหนือความจริงตามตำรา. มีนักอภิธรรมใหญ่ได้ถูกเชิญมาเรียนรู้. เขาถึงขนาดเอ่ยว่านี้คือการรู้ด้วยเองเป็นปัจจัตตังจริงๆ


คิกๆๆ ผสมผสานปนเปกันเหมือนไม้พันธ์ผสมดังเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว
ในเมื่อพระองค์ตรัสรถึงความจริงเป้นอย่างนั้นมี่ทีรูปนามเกิดดับเป้นล้านครั้งๆ การเกิดดับของรูปจะต้องมีพลังงานอยู่แล้ว. ท่านสามารถ
พิสูจน์คลื่นวิทยุต่างๆเป้นอย่างไรในแนววิทยาศาสตร์. ความจริงที่จับต้อวได้ตรงต่อคำสอน. จงออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. แล้สท่านจะพบกับความจริงที่อยู่ในกายท่านเองด้วยลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมไปเท่านั้นเอง



ก็ไม่พ้นไม้พันธ์ผสม :b32:


ออกมาเสียจากความเคยชินเก่าๆ. คำสอนพระองค์ต้อวพิสูจน์ได้จริงยืนยันรอการพิสูจน์ทั้งทางวิทย์และตัวเอง. ของเกิดในเองแท้ๆ.


ก็ไม่พ้นไม้พันธ์ผสมตัดแต่งพันธุกรรม :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ :b32:

สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่เป็นไปในรูปของกระแส ที่ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน เกิด ดับ สืบต่อกันไปอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงเป็นภาวะที่ไม่เที่ยง เมื่อแต่ละสิ่งแต่ละส่วนที่สัมพันธ์กัน เกิด ดับ ไม่คงที่ และเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่อาศัย ก็ย่อมมีความบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง และแสดงถึงความบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่ในตัว และทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปกระแสที่เกิด ดับอยู่ตลอดเวลา ขึ้นต่อเหตุปัจจัยเช่นนี้ก็ตาม ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ก็ตาม ก็มีภาวะที่เป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันอยู่แล้ว จึงย่อมไม่เป็นไม่มีตัวตนอะไร ที่เหมือนกับมาแฝงมาซ้อนมาคุม ดังเป็นเจ้าของครอบครองสั่งบังคับให้เป็นไปอย่างไรๆ ได้ตามที่ปรารถนา

ในกรณีของสัตว์บุคคล ให้แยกว่า สัตว์บุคคลนั้นประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก นอกเหนือจากขันธ์ ๕ เป็นอันตัดปัญหาเรื่องที่จะมีตัวตนเป็นอิสระอยู่ต่างหาก

จากนั้น ก็หันมาแยกขันธ์ ๕ ออกพิจารณาแต่ละอย่างๆ ก็จะเห็นว่า ขันธ์ทุกขันธ์ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยง ก็เป็นทุกข์ เป็นสภาพบีบคั้นกดดันแก่ผู้เข้าไปยึด เมื่อเป็นทุกข์ ก็ไม่ใช่ตัวตน ที่ว่าไม่ใช่ตัวตน ก็เพราะแต่ละอย่างๆล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตนของมันเอง อย่างหนึ่ง
เพราะไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นของสัตว์บุคคลนั้นแท้จริง (ถ้าสัตว์บุคคลนั้น เป็นเจ้าของขันธ์ ๕ แท้จริง ก็ย่อมต้องบังคับเอาเองให้เป็นไปตามความต้องการได้ และไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพที่ต้องการได้ เช่น ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บป่วย เป็นต้น) อย่างหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2019, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ในกรณีขันธ์ ๕ มีตัวอย่างที่เด่น ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา หากรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอัตตา (ตัวตน) แล้วไซร้ มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย" แต่เพราะเหตุที่รูป ฯลฯ วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป ฯลฯ วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และใครๆ ไม่อาจได้ตามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็น อย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"

"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน"

"รูปเทียง หรือไม่เที่ยง (ตรัสทีละอย่าง จนถึง วิญญาณ)

"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข"

"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา"

"ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง (สัมมาปัญญา) ตามที่มันเป็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวของเรา* (สํ.ข.17/127-129/82-84)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron