วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 19 พ.ค. 2019, 10:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:

ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจถูกตามปกติเป็นไหมคะ
https://youtu.be/r1fjytL2mBk
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญบารมีแต่ละคนนั้นสั่งสมมาแตกต่างกัน หากใครแค่ฟังแล้ว
บรรลุธรรม ผมก็สาธุอนุโมทนาบุญด้วยครับ แต่สำหรับความเข้าใจ
ของผมแล้วหากมีเพียงการฟังเท่านั้นก็บรรลุธรรมได้ และการบรรลุนั้น
ง่ายๆ พระไตรปิฏกคงไม่มีมากมายไว้ทำไมถึง ๔๕ เล่มให้ยุ่งยาก คงจะ
มีแค่เล่มหรือน้อยกว่านั้นเป็นแน่แท้ ที่มีมากถึง ๔๕ เล่มนั้นก็เพราะว่าทั้ง
หมดล้วนแล้วแต่สำคัญ สำหรับบุคคลแต่ละๆดับคือบุคคลผู้มีปัญญาน้อย
ไปจนกระทั่งมีปัญญามากไว้ศึกษาและปฏิบัติตามครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:แน่นอนครับว่า นิพพานต้องเป็นพระนิพพานไม่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่เป็น จิต เจตสิกและรูป แต่พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มี จิต เจตสกิและรูป จึงไม่เกิดขึ้นและดับไปเลย เป็นสภาพธรรมที่เที่ยง และเป็นสภาพธรรมที่เป็นสุขด้วย แต่ที่สำคัญ พระนิพพาน แม้จะเที่ยง เป็นสุขแต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่อัตตา เพราะพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่สูญสูญในที่นี้ไม่ไ่ด้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่สูญ จากความเป็นสัตว์ บุคคล คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลให้ยึดถือในพระนิพพาน พระนิพพานจึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และที่สำคัญ บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยครับจึงเป็นอนัตตา ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่อัตตา ดังนั้น เรียกพระนิพพานว่าพระนิพพานได้ และพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ ซึ่งขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตต

ฟังคำสอนเพื่อเข้าใจถูกตามปกติเป็นไหมคะ
https://youtu.be/r1fjytL2mBk
:b12:
:b4: :b4:
. ลองอ่านมือขวาของอาจารย์ป้าคุณที่แสดงนิพพาน. ตอนนี้บล็อกผมไปแล้วจอให้หาสักคำที่ว่านิพพานเป็นอนัตตาในพระสูตรมาให้หน่อยอย่าคิดเอง. อาจารย์ป้าคุณก็สอนเป้นอนัตตามาหลายสิบปีไม่รู้ตอนนี้เปลี่ยรหรือยัง. ถ้าคุณคืดว่าไม่ใช่ไปบอกอาจารย์ป้าด้วยนะ

แน่นอนครับว่า นิพพานต้องเป็นพระนิพพานไม่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่เป็น จิต เจตสิกและรูป แต่พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มี จิต เจตสกิและรูป จึงไม่เกิดขึ้นและดับไปเลย เป็นสภาพธรรมที่เที่ยง และเป็นสภาพธรรมที่เป็นสุขด้วย แต่ที่สำคัญ พระนิพพาน แม้จะเที่ยง เป็นสุขแต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่อัตตา เพราะพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่สูญสูญในที่นี้ไม่ไ่ด้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่สูญ จากความเป็นสัตว์ บุคคล คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลให้ยึดถือในพระนิพพาน พระนิพพานจึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และที่สำคัญ บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยครับจึงเป็นอนัตตา ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่อัตตา ดังนั้น เรียกพระนิพพานว่าพระนิพพานได้ และพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ ซึ่งขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตต

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:
ยกมาให้2พระสูตร ดูพระศาสดาสั่วอไรไปทำอะไร. คนสอนคนเรียนโง่เหมือนพวกคุณกล่าวมั้ย. หรือพวกคุณฉลาดกว่า. รับไม่ได้จริง


อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้, นั่นเรือนว่าง. อานนท์! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
- อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

[๑๓๐๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
อันหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ
อานาปานสติ.
[๑๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัด
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หาย
ใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกาย
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิต
สังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
เป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความ
ดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละ
คืนหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:
ยกมาให้2พระสูตร ดูพระศาสดาสั่วอไรไปทำอะไร. คนสอนคนเรียนโง่เหมือนพวกคุณกล่าวมั้ย. หรือพวกคุณฉลาดกว่า. รับไม่ได้จริง


อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้, นั่นเรือนว่าง. อานนท์! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
- อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

[๑๓๐๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
อันหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ
อานาปานสติ.
[๑๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัด
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หาย
ใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกาย
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิต
สังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
เป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความ
ดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละ
คืนหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก.



อ่านแล้ว เข้าใจว่ายังไง หยิบตรงที่ต้องการสื่อมาสิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:
ยกมาให้2พระสูตร ดูพระศาสดาสั่วอไรไปทำอะไร. คนสอนคนเรียนโง่เหมือนพวกคุณกล่าวมั้ย. หรือพวกคุณฉลาดกว่า. รับไม่ได้จริง


อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้, นั่นเรือนว่าง. อานนท์! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
- อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

[๑๓๐๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
อันหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ
อานาปานสติ.
[๑๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัด
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หาย
ใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกาย
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิต
สังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
เป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความ
ดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละ
คืนหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก.



อ่านแล้ว เข้าใจว่ายังไง หยิบตรงที่ต้องการสื่อมาสิ :b10:
ถ้าไม่รู้. พุทธศาสนาในเมืองไทยดับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:
ยกมาให้2พระสูตร ดูพระศาสดาสั่วอไรไปทำอะไร. คนสอนคนเรียนโง่เหมือนพวกคุณกล่าวมั้ย. หรือพวกคุณฉลาดกว่า. รับไม่ได้จริง


อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้, นั่นเรือนว่าง. อานนท์! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
- อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

[๑๓๐๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
อันหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ
อานาปานสติ.
[๑๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัด
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หาย
ใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกาย
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิต
สังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
เป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความ
ดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละ
คืนหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก.



อ่านแล้ว เข้าใจว่ายังไง หยิบตรงที่ต้องการสื่อมาสิ :b10:
ถ้าไม่รู้. พุทธศาสนาในเมืองไทยดับ



คิกๆๆๆ

ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว :b13:

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ผู้ที่ขาดการไตร่ตร่องในพระธรรมในทางที่ถูกต้องนั่น มีแต่จะทำธรรมมะให้สูญหายลงไป อานาปานสติเป็นสิ่งพระองค์สรรเสริญอย่างมากสั่งสอนสาวกให้ไปทำกันให้มาก. มีสำนักบางสำนักบอกเป็นของมหาบุรุษ. เราเป็นใครถึงไปปฏิบัติแบบนั้น. นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา. ใครไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ. ก็บอกโง่ทั้งคนสอนคนเรียน. บางคนเป็นผู้หญิงไปสอนพระ. แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสมควรหรือไม่ แค่สนทนาพระองค์ยังไม่ให้มองเลย ไหนจะทิศทางลมของกลิ่นตัว เพศตรงข้ามเป็รปฏิปักกันแบบนี้ก็ยังไม่รู้ ฆราวาสหญิงสอนพระมันงานงามเหรอถามจริงๆ. ขนาดภิกษุณีบวชม่100ปี. ยังค้องกรายพระบวขมใหม่วันเดียวเลย

cool
อ้างคำพูด:
นิพพานก็บอกเป็นอนัตตา

:b12:
บนนี้ที่สีแดงคุณตีความหมายผิดเองหรือเปล่า
เรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด
หมายเหตุแปลว่ามีความคิดเห็นผิด
ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิค่ะ
:b16:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาแปลว่า
...ความจริงทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...
...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาหรือสั่งการได้...
...เพราะความจริงทั้งหลายเหล่าเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย...
:b17: :b17:

:b12:
ที่พากันไปนั่งทำเพื่อกำหนดจดจ้องอะไร
ทำตัวตนเพื่อบังคับให้ตัวตนถึงนิพพาน
ไม่มีปัญญาฟังเพื่อเข้าใจความจริง
จริงๆนั่นน่ะถึงไปนั่งทำตามๆกัน
โดยขาดการไตร่ตรองตามไง
มัวแต่คิดว่าคนฟังไม่มีปัญญา
แต่หารู้ไม่ว่าไม่ฟังนั่นแหละ
ไม่มีปัญญารู้ตามคำสอน
:b55: :b55: :b55:
ยกมาให้2พระสูตร ดูพระศาสดาสั่วอไรไปทำอะไร. คนสอนคนเรียนโง่เหมือนพวกคุณกล่าวมั้ย. หรือพวกคุณฉลาดกว่า. รับไม่ได้จริง


อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้นเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้, นั่นเรือนว่าง. อานนท์! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แหละ เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา.
- อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑-๙๒.

[๑๓๐๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
อันหนึ่ง อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ
อานาปานสติ.
[๑๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้ง
กายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัด
ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หาย
ใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกาย
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจ
เข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิต
สังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
เป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความ
ดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละ
คืนหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก.



อ่านแล้ว เข้าใจว่ายังไง หยิบตรงที่ต้องการสื่อมาสิ :b10:
ถ้าไม่รู้. พุทธศาสนาในเมืองไทยดับ



คิกๆๆๆ

ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว :b13:

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม
เอวัง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม


อ้างคำพูด:
bigtoo
เอวัง

จริงๆนะไม่ใช่แกล้งพูด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2019, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม


อ้างคำพูด:
bigtoo
เอวัง

จริงๆนะไม่ใช่แกล้งพูด
ลองนั่งดูลมหายใจซิ. มันทำอะไรได้มั้ง. มันให้ความรู้อะไร. ลองดูคนวิจัยมันอย่างจริงจัง. แล้วความจริงจะปรากฏตรงแก่ใจ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2019, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม


อ้างคำพูด:
bigtoo
เอวัง

จริงๆนะไม่ใช่แกล้งพูด
ลองนั่งดูลมหายใจซิ. มันทำอะไรได้มั้ง. มันให้ความรู้อะไร. ลองดูคนวิจัยมันอย่างจริงจัง. แล้วความจริงจะปรากฏตรงแก่ใจ



ดูยังไง ไหนลองว่าไปสิ เริ่มแต่ 0 ไปเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2019, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม


อ้างคำพูด:
bigtoo
เอวัง

จริงๆนะไม่ใช่แกล้งพูด
ลองนั่งดูลมหายใจซิ. มันทำอะไรได้มั้ง. มันให้ความรู้อะไร. ลองดูคนวิจัยมันอย่างจริงจัง. แล้วความจริงจะปรากฏตรงแก่ใจ



ดูยังไง ไหนลองว่าไปสิ เริ่มแต่ 0 ไปเลย
กาโค้นไม้กาอนท่าน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2019, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ที่ไปก๊อบมาทั้งหมดนั่นน่า เอาแค่นี้ "อานาปานสติ" ก็จบไปไม่ถูกแล้ว

ขอใช้คำพูดใหม่ ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเรียกเป็นศัพท์ ว่า ฟุ้งซ่านพุทธธรรม


อ้างคำพูด:
bigtoo
เอวัง

จริงๆนะไม่ใช่แกล้งพูด
ลองนั่งดูลมหายใจซิ. มันทำอะไรได้มั้ง. มันให้ความรู้อะไร. ลองดูคนวิจัยมันอย่างจริงจัง. แล้วความจริงจะปรากฏตรงแก่ใจ



ดูยังไง ไหนลองว่าไปสิ เริ่มแต่ 0 ไปเลย
กาโค้นไม้กาอนท่าน


คิกๆๆ นั่นแหละคือการพูดๆเอา จะเอานั่นเอานี่ โดยที่ไม่รู้ว่าทำต้องทำยังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร