ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57536 |
หน้า 7 จากทั้งหมด 13 |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 09:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสใน มหาสติปัฏฐานสูตร ความตอนหนึ่งว่า"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า- เธอมีสติหายใจออก มีสสติหายใจเข้า ๑.หายใจออก มีสติหายใจเข้า. ๒.เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว ฯลฯ ไปเถอะโรสริน. แล้วจะรู้ธรรมที่ยิ่งกว่าโพชฌงค์จะได้สมบูรณ์ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 09:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
เมื่อคุณทำแล้วจะได้อะไรดีๆจะได้ไปบอกพวกของคุณ. จะได้สิ่งที่ดีกว่าปัจจุบัน. ทำตามพระพุทธเจ้าสอนไม่ผิดหวัง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 14 พ.ค. 2019, 10:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา |
เจ้าของ: | Rosarin [ 14 พ.ค. 2019, 10:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. ลืมตาดูฟังคำสอนทุกวันยังไม่ถึง1กัปป์เลย 1กัปป์เท่ากับ120ปีบอกไปก็ไม่รู้จักฟัง555 ในกาลที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้ง มีผู้ทำจนได้ปัญญารองจากพระพุทธเจ้าแค่1คนคือพระสารีบุตร และมีผู้ทำจนได้ฤทธิ์รองจากพระพุทธเจ้าแค่1คนคือพระโมคคัลลานะ ที่เหลือเป็นสาวกปัญญาลดลงตามปีพ.ศ.ที่เกิดแล้วตัวเองเป็นสาวกลำดับไหนล่ะ จะไปทำฌานจนเก่งเท่าพระอาฬารดาบสหรือพระอุทกดาบสก็ไม่เกิดปัญญาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า |
เจ้าของ: | Rosarin [ 14 พ.ค. 2019, 10:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา อาจารย์คือกิเลส ลูกศิษย์คือโลภะ ความอยากของตัวเองไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอถึงคิดแต่จะไปทำ ฟังแล้วไม่รู้เลยเหรอว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิดมาแล้วมีกิเลสเก่าไหลมาให้ดูแล้วทำกรรมใหม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาตามลำดับตามคำสอนไปอ่านปัญญาข้อที่1ให้แตกฟังจนแก้วหูทะลุก่อนนะ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา อาจารย์คือกิเลส ลูกศิษย์คือโลภะ ความอยากของตัวเองไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอถึงคิดแต่จะไปทำ ฟังแล้วไม่รู้เลยเหรอว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิดมาแล้วมีกิเลสเก่าไหลมาให้ดูแล้วทำกรรมใหม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาตามลำดับตามคำสอนไปอ่านปัญญาข้อที่1ให้แตกฟังจนแก้วหูทะลุก่อนนะ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา อาจารย์คือกิเลส ลูกศิษย์คือโลภะ ความอยากของตัวเองไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอถึงคิดแต่จะไปทำ ฟังแล้วไม่รู้เลยเหรอว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิดมาแล้วมีกิเลสเก่าไหลมาให้ดูแล้วทำกรรมใหม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาตามลำดับตามคำสอนไปอ่านปัญญาข้อที่1ให้แตกฟังจนแก้วหูทะลุก่อนนะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 14 พ.ค. 2019, 10:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา อาจารย์คือกิเลส ลูกศิษย์คือโลภะ ความอยากของตัวเองไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอถึงคิดแต่จะไปทำ ฟังแล้วไม่รู้เลยเหรอว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิดมาแล้วมีกิเลสเก่าไหลมาให้ดูแล้วทำกรรมใหม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาตามลำดับตามคำสอนไปอ่านปัญญาข้อที่1ให้แตกฟังจนแก้วหูทะลุก่อนนะ ทุกคำในพระไตรปิฎกมีแล้วตรงปัจจุบันอารมณ์เดี๋ยวนี้ ดูตาตัวเองสิเห็นผิดจำผิดคิดผิดตามตัวอักษร จะคิดถูกตามคำสอนต้องกำลังฟังเสียง บอกให้เข้าใจตามว่าที่เห็นคือจิตรู้สี รู้สีตรงไหมล่ะเดี๋ยวนี้จำได้ไหมกำลังเห็น+มีแค่คิดเห็นผิดเองอยู่ลืมฟังคำสอน555 |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: Rosarin เขียน: :b12: จิตเห็น1ขณะดับแล้วมืด จิตได้ยินก็มืด จิตได้กลิ่นก็มืด จิตรู้รสก็มืด จิตรับสัมผัส จิตคิดนึกรู้สึกในมืด จำทุกอย่างในความมืด แล้วดูตาตัวเองสิเห็นเกินสีปนคิดปนเสียงปนปนรู้สึกจำอะไรมันมืดมากกว่าสว่างเบิกตาดูกว้างๆ ผมรู้มาเกือย20ปีแล้วครับเรื่องแบบนี้ขี้เกียจคุย ถามว่าคุณเก่งกว่าพระอาฬารดาบสกับพระอุทกดาบสไหม ที่สอนฌานให้เจ้าชายสิทธัตถะทุกชั้นฌานน่ะไม่ใช่ปัญญาญาณนะคะ ไปโค่นไม้เรือนว่างเดียวนี้. ทำอานาปานสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ, แต่เธอไม่ใช้วันทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการเรียนธรรมนั้นๆ ไม่เริดร้างจากการหลีกเร้น, ตามประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายในเนืองๆ. ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่า ธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้มากด้วยปริยัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการบัญญัติ เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการสาธยาย เราก็แสดงแล้ว, ผู้มากด้วยการคิด เราก็แสดงแล้ว, และธรรมวิหารี (ผู้อยู่ด้วยธรรม) เราก็แสดงแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! กิจอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย, ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงเพียรเผากิเลส, อย่าได้เป็นผู้ประมาท, เธอทั้งหลาย อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย, นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓. พระสมณโคดม บำเพ็ญบารมี ฟังพระพุทธพจน์ นานถึง20อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ เกิดพบพระพุทธเจ้าได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์เกือบ6แสนพระองค์เฉพาะพระพักตร์ ชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ไม่ได้ฟังจากใครเข้าใจไหมแล้วตัวเองเป็นสาวกไม่ใช่เหรอนับสิ120ปีเท่ากับ1กัปป์ ฟังเข้าใจกี่วันและฟังคำไหนเข้าใจบ้างเพราะทุกคำในพระไตรปิฎกคือความจริงตรงปัจจุบันอารมณ์ของบิดา บิดาคือตถาคตจะเป็นพุทธบุตรตามอารมณ์บิดาที่ตัวเองมีไม่ทันเลยดับแล้วแสนโกฏิขณะยังจะไปทำไม่รู้อีกรึ ฟังบ้างนะ...อย่าหาว่าไม่บอก...มีคนมาบอกไหมเนี่ย...มีแต่กรรมดีหนึ่งที่เคยฟังมาเตือนให้เริ่มฟังสะสมปัญญา อาจารย์คือกิเลส ลูกศิษย์คือโลภะ ความอยากของตัวเองไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอถึงคิดแต่จะไปทำ ฟังแล้วไม่รู้เลยเหรอว่ามันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิดมาแล้วมีกิเลสเก่าไหลมาให้ดูแล้วทำกรรมใหม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาตามลำดับตามคำสอนไปอ่านปัญญาข้อที่1ให้แตกฟังจนแก้วหูทะลุก่อนนะ ทุกคำในพระไตรปิฎกมีแล้วตรงปัจจุบันอารมณ์เดี๋ยวนี้ ดูตาตัวเองสิเห็นผิดจำผิดคิดผิดตามตัวอักษร จะคิดถูกตามคำสอนต้องกำลังฟังเสียง บอกให้เข้าใจตามว่าที่เห็นคือจิตรู้สี รู้สีตรงไหมล่ะเดี๋ยวนี้จำได้ไหมกำลังเห็น+มีแค่คิดเห็นผิดเองอยู่ลืมฟังคำสอน555 บอกแล้วเรื่องแบบนี้ผมรู้ตั้งเกือบ20ปีแล้วปีเแล้ว มันแค่ความรู้ปรมัถตที่ตรงสภาพธรรมตามเป็นจริง. ที่รูปนามเกิดับสลับกันเป็นล้านครั้งในวินาทีสลับกันในแต่ละทวารพระองค์แสดงเพื่อให้ทราบว่ามันไม่ใช่ตัวตนเราเขาเพื่อจะได้มาซึ่งการลดละเลิกกืเลสให้ได้ไม่ใช่รู้เฉยๆปล่อยมันไปแบบไม่ทำอะไรเลย. สัมมัปประทาน4.ลองดู. คุณเข้าใจคำว่าอนัตตาผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยบอกตรงๆ. ถ้าคุณคิดแบบนี้แสดงว่าคุณสะสมมาน้อยมากจริงๆ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
งั้นขอถามชัดๆนะครับ. เวลาคุณเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาคุณจะทำอย่างไร. ช่วยตอบด้วยนะ. คำตอบจะมีให้ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 14 พ.ค. 2019, 10:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
bigtoo เขียน: งั้นขอถามชัดๆนะครับ. เวลาคุณเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาคุณจะทำอย่างไร. ช่วยตอบด้วยนะ. คำตอบจะมีให้ กิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตัวเอง รอไหลออกมาตอนลืมตาตื่น ตอนหลับสนิทเป็นภวังคจิต กิเลสเกิดตอนลืมตาตื่น ปัญญาเกิดตอนเริ่มฟัง ทำกิเลสหรือปัญญา ดูที่ตาและหูตัวเอง ว่าทำตรงทางไหม |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 10:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
Rosarin เขียน: bigtoo เขียน: งั้นขอถามชัดๆนะครับ. เวลาคุณเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาคุณจะทำอย่างไร. ช่วยตอบด้วยนะ. คำตอบจะมีให้ กิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตตัวเอง รอไหลออกมาตอนลืมตาตื่น ตอนหลับสนิทเป็นภวังคจิต กิเลสเกิดตอนลืมตาตื่น ปัญญาเกิดตอนเริ่มฟัง ทำกิเลสหรือปัญญา ดูที่ตาและหูตัวเอง ว่าทำตรงทางไหม ผมถามว่าคุณทำอย่างไร. ตอบสนองมันหรือไม่ยุง. ช่วยตอบ |
เจ้าของ: | bigtoo [ 14 พ.ค. 2019, 11:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อธิบาย นามขันธ์ 4 มี สัญญาขันธ์ เป็นต้น |
ผมตอบให้ก็ได้. ศิษย์สำนักนี้จะตอบสนองเลยเพราะบอกว่าตามเหตุปัจจัย. จะเกิดก็เกิดเพราะเป็รอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา. แต่ศิษย์ตถาคตที่รู้จริงเขาจะบอกว่ากิเลสนั่นปรากฏขึ้นมาก็ดับไปได้เองเราไม่ใช่ตัวเราของเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกามสุข. เราต่างกันครับอนัตตาของคุณกับของผม |
หน้า 7 จากทั้งหมด 13 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |