ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57503 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 เม.ย. 2019, 12:33 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ | ||
ข้อสังเกตเกี่ยวกับอนุสัยกิเลส ในความหมายที่ว่า “มีอยู่โดยฐานะที่ยังละไม่ได้” – หากคำว่า “อนุสัยกิเลส” หมายถึงกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน, นอนเนื่องอยู่ในความสืบต่อแห่งนามรูป ที่ยังละไม่ได้ // หากถือเอาตรงคำว่า “มีอยู่โดยฐานะที่ยังละไม่ได้” เพียงแค่นี้ ก็ทำให้เกิดความคิดว่า กิเลสที่ยังละไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องถือว่าเป็น “อนุสัย” – กิเลสที่ปุถุชนยังละไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็น “อนุสัย” – กิเลสที่พระโสดาบัน- พระสกทาคามี, พระอนาคามี ที่ยังละไม่ได้… ก็ต้องถือว่า เป็น “อนุสัย” จะเห็นได้ว่า ถ้ายึดตรงคำว่า “มีอยู่โดยฐานะที่ยังละไม่ได้” ตรงนี้ … ก็ควรถือเอากิเลสทั้งหมด หรือถือเอาอกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ดวง ที่ปุถุชนและพระเสกขบุคคล ยังละไม่ได้…ตามสมควรแก่ฐานะของตน ๆ ว่าเป็น “อนุสัย” ไม่ควรจะหมายเอาเพียงแค่อนุสัยองค์ธรรม ๖ ที่ท่านแสดงไว้ในอกุศลสังคหะ # อีกประการหนึ่ง ในอกุศลสังคหะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นการแสดงคล้าย ๆ กับการแสดงในพระสูตร มิใช่เป็นลักษณะการแสดงตามนัยแห่งอภิธรรมแท้ ๆ คือทรงแสดงตามสมมติโวหารของชาวโลก, แสดงในลักษณะให้ต้องให้เข้ากันกับอัธยาศัยของเวไนยสัตว์ คือ เป็นโวหารที่ใช้กันในทางโลก เช่น แสดงอกุศลบางอย่างว่าเป็น… – อาสวะ บ้าง เพราะเป็นดุจเครื่องหมักดอง – โอฆะ บ้าง เพราะเป็นดุจห้วงน้ำ อุปมาดุจห้วงน้ำใหญ่ – โยคะ บ้าง เพราะเป็นดุจเครื่องประกอบ คือประกอบสิ่งสองสิ่งให้ติดกัน…. ……ฯลฯ………. – กิเลส บ้าง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์เศร้าหมอง จะเห็นได้ว่า การแสดงแบบนี้ เป็นการแสดงตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์….ทรงเปรียบอกุศล คือ โลภะ…เป็นต้น ให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ เช่น เป็น อาสวะ,โอฆะ,โยคะ,คันถะ…..กิเลส เป็นการแสดงแบบโวหาร แสดงแบบคล้อยตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์นี้….จึงเป็นการแสดงแบบยังมีส่วนเหลือ อวเสสา, หรือ สำนวนอภิธรรมเรียกว่า “สัปปเทส” คือแสดงไม่ครอบคลุมครบถ้วนทั้งหมด นั่นเอง…. # เมื่อว่าโดยนัยประมัตถ์ ตามหลักของอภิธรรมแล้ว….อกุศลเจตสิกทั้งหมด ย่อมจัดเป็นกิเลสได้ทั้ง ๓ ลักษณะ คือ ๑. เป็นอนุสัยกิเลส (เพราะเป็นกิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดาน และเป็นกิเลสที่ปุถุชน และพระเสกขบุคคล ยังละไม่ได้) ๒. เป็นปริยุฏฐานกิเลส (เพราะเป็นกิเลสที่ขึ้นสู่วิถี เข้าลักษณะกาลทั้ง ๓ อุปปาทะ,ฐีติ,ภังคะ ๓. เป็นวีติกกมกิเลส เพราะเป็นกิเลสที่ทำให้ละเมิดศีล, เป็นกิเลสที่ประกอบในขณะล่วงศีล หรือล่วงอกุศลกรรมบถ, หรือเป็นกิเลสที่ทำให้ก้าวล่วงพุทธอาณา ที่เรียกว่า อาณาวีติกกมกิเลส (ก้าวล่วงสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้) สรุปแล้ว อกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ดวงนั่นแหละ แปรสภาพไปต่าง ๆ ๓ ระดับ ดังกล่าวมาแล้ว… (ทั้งหมด เป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
|
เจ้าของ: | Rosarin [ 21 เม.ย. 2019, 13:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ |
ความเป็นผู้ตรงต่อความจริง เป็นผู้รู้จักตนเองตามปกติ ว่าสมควรอยู่ในเพศใด เลือกให้เหมาะสม บรรพชิตจะไม่ทำกิจของคฤหัสถ์ทั้งหมด เพราะกุศลจิตกับอกุศลจิตไม่เกิดพร้อมกัน บรรพชิตคือผู้สละอาคารบ้านเรือนสมบัติเงินทอง เข้าใจไหมคะพระพุทธเจ้าไม่ได้ขอร้องให้คุณมาบวช แต่คุณต้องรู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะที่จะบวชเพื่อทำตามคำสอนไหม บวชมาแล้วมารับเงินทองเนี่ยค่ะไม่มีหิริโอตัปปะคือจิตขณะที่บวชนั้นมี_อหิริกะ-มี_อโนตัปปะเป็นอกุศลจิต |
เจ้าของ: | Rosarin [ 21 เม.ย. 2019, 14:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ |
พิจารณานะคะ เพศบรรพชิตมีชีวิตที่เบาสบาย ครองจีวร3ผืนฉันอาหารจากบิณฑบาต ไม่สะสมวัตถุเงินทองฉันได้ไม่เกินเที่ยงมีแค่อัฐบริขาร ไม่ต้องกลัวโจรปล้นไม่ต้องสร้างวัตถุเพื่อมาสั่งสมกิเลสชาวบ้านสร้างให้ ไม่ทำอะไรเผื่อใครไม่ต้องให้ทานเพราะไม่มีสมบัติเงินทองรับได้แค่ปัจจัยสี่เท่าที่ฉันพอยังอัตภาพเท่านั้น |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 เม.ย. 2019, 15:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ |
Rosarin เขียน: onion พิจารณานะคะ เพศบรรพชิตมีชีวิตที่เบาสบาย ครองจีวร3ผืนฉันอาหารจากบิณฑบาต ไม่สะสมวัตถุเงินทองฉันได้ไม่เกินเที่ยงมีแค่อัฐบริขาร ไม่ต้องกลัวโจรปล้นไม่ต้องสร้างวัตถุเพื่อมาสั่งสมกิเลสชาวบ้านสร้างให้ ไม่ทำอะไรเผื่อใครไม่ต้องให้ทานเพราะไม่มีสมบัติเงินทองรับได้แค่ปัจจัยสี่เท่าที่ฉันพอยังอัตภาพเท่านั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อเรื่องล่ะ ชอบแถไม่เข้าท่า |
เจ้าของ: | Rosarin [ 21 เม.ย. 2019, 16:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อนุสัยกิเลสอยู่ในฐานะที่ยังละไม่ได้ |
ลุงหมาน เขียน: Rosarin เขียน: onion พิจารณานะคะ เพศบรรพชิตมีชีวิตที่เบาสบาย ครองจีวร3ผืนฉันอาหารจากบิณฑบาต ไม่สะสมวัตถุเงินทองฉันได้ไม่เกินเที่ยงมีแค่อัฐบริขาร ไม่ต้องกลัวโจรปล้นไม่ต้องสร้างวัตถุเพื่อมาสั่งสมกิเลสชาวบ้านสร้างให้ ไม่ทำอะไรเผื่อใครไม่ต้องให้ทานเพราะไม่มีสมบัติเงินทองรับได้แค่ปัจจัยสี่เท่าที่ฉันพอยังอัตภาพเท่านั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อเรื่องล่ะ ชอบแถไม่เข้าท่า กล่าวตรงๆไม่อ้อม กล่าวตามเหตุผลค่ะ ว่าอะไรทำถูกอะไรทำผิด เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าชัดเจนตรงเป็นแต่ละ1ขณะจิตค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |