วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกอบด้วยพระญาณบริสุทธิ์ พร้อมพระธรรม และหมู่แห่งพระอริยสงฆ์
ขอนอบน้อมแด่พระมหาโพธิสัตว์ผู้ประกอบด้วยพระบารมีทุกพระองค์


" ดูกรมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ฯ
ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ ฯ
เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด ฯ
เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น ฯ
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้น
ไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ

ข้อความจากวชิราสูตร

ท่านทั้งหลายเคยมีคำถามถึงผู้สร้าง หรือไม่ว่า
ผู้สร้างสัตว์คือใคร
สัตว์เกิด ดับที่ไหน

บ้างบอกพระเจ้าคือผู้สร้าง สร้างมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้เกิดมา เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงดินแดนอันเป็นนิรันดร์ แม้แต่ความเชื่อที่ว่าพระพรหม พระศิวะ เป็นผู้สร้างโลก ก็ตาม โดยไม่ทราบว่าท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ข้องอยู่ในโลก ไม่ใช่ผู้หลุดพ้นแท้จริง

คำถามเหล่านี้มีมานาน มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้น
แต่นั้นไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ทรรศนะในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

คนทั้งหลายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติ หลับอยู่แล้วในความมืดบอดของโมหะ ความคิดต่างๆจึงเป็นไปด้วยความไม่รู้และหลงผิด

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟัง เกิดปัญญาญาณ เพื่อละความไม่รู้และหลงผิด

แม้แต่เรื่องการสร้างสัตว์ และความเกิดดับของสัตว์

ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ

แท้จริง โดยปรมัตถ์มีแต่สังขาร ที่เกิดและดับ เป็นไปในภูมิต่างๆ

มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจเคยพบเห็นพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงเรื่อง การจุติ อุบัติของสัตว์เลยเหมารวมไปว่าพระพุทธเจ้า ก็ตรัสถึงสัตว์ นั้นหมายความว่าสัตว์มีจริง ซึ่งก็มีจริงเพียงสมมุติเรียกเท่านั้นแต่ไม่มีโดยปรมัตถ์ ภาษาที่ใช้จึงเพื่อให้เข้าใจตามภาษาของชาวโลกเท่านั้น ท่านหาได้มีความสำคัญมั่นหมายโดยความเป็นสัตว์ไม่

" ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้น
ไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบๆๆ กาทู้แบบนี้

แวะมาขีดเขียนวรรณกรรม ก่อนค่ะ เผื่อจะได้ซีไร้กะเค้ามั่ง 555

ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด อดีต อนาคต และปัจจุบัน
ปัจจุบัน คือรุ่นที่สาม
ไม่ว่ารุ่นไหน จะไม่สามารถ แยกออกจากกรรมทั้งสิบสอง และการวนเวียนกลับชาติมาเกิด
การเริ่มต้น จะเริ่มกันจากชีวิตส่วนตัวมากที่สุด

สิบสองกรรมนั่นคือ การไม่มีเส้นใจที่ชัดเจน ไม่อยู่สายของความรู้ อิงเอนไปกับชื่อของชื่อ
หกสีของชื่อ สิ่งนำเข้าทั้งหก สัมผัส ความรัก ความไม่รัก โชคชะตา ชะตากรรม
และการมอบชีวิตนั้นแก่ความเศร้าโศกและหมองเศร้า หม่นหมอง

นอกจากนี้ยังเป็นสิบสองกระบวนการ ของ การไม่มีความไม่รู้ การอยู่ในสายแห่งความรู้
ความรู้ใน ชื่อ สัมผัส การยอมรับ ความรัก การใช้ในสิ่งที่มี การทำให้ไม่มี การมีชีวิตอยู่
และความตาย

ชีวิตที่ว่างเปล่าการวิเคราะห์ จากปรากฏการณ์ของความไม่มีสถานะ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

รากหกราก มีน้ำหนักหกลิตร หกฝุ่น และสามกลุ่มของรากเหง้า
รวมเป็นกระบวนการสิบแปดโครงการ รวมกันเป็นวงกลมเดียว
ที่รวมกันเพื่อสร้างข้อเท็จจริงของชีวิต ภูมิปัญญาแห่งพระโพธิสัตว์ ที่ เรียกว่า โลกทั้ง18

ชีวิตดำเนิน เป็นไป การลงทุนไปในโครงการ กลุ่มโลกทั้ง 18 แห่งนี้
คือ การดำรงอยู่ของความเป็นตน ที่ลอยล่องในอวกาศ
ขาดการดำรงอยู่ได้ของตนเอง ตามการรวมกันอย่างต่อเนื่องของกรรม
ดังนั้นมันจะล่องลอยอย่างว่างเปล่า

18 กลุ่มโลก เป็นโครงการในกระบวนการ ที่อิงกับกรรมได้ก่อตัวขึ้นเป็นตัวตนขึ้นมา
แต่ที่สำคัญคือกระบวนการของโครงการทั้ง 18
เป็นเพียงเป็นโครงการของการก่อสร้างตัวตนขึ้นมา
มันเป็นเพียงภาพลวงตาภาพลวงตาที่รวมกัน ในการใช้งาน

เมื่อเรามีตาน้อยลง ด้วยสองตาที่หายไป ก็ไม่ได้ทำให้หายไป

แต่เมื่อหมดสิบแปดกระบวนการในโครงการไปแล้ว ความมีตัวตนจะมีได้อย่างไร
นี่เป็นเพียงโครงการหนึ่งชิ้น ต่อชิ้น ในกระบวนโครงการทั้ง 18 ชิ้น
ที่ถูกแยกชิ้นส่วนในลักษณะต่างๆ

ดังนั้น ใครจะชี้ได้ ว่า โครงการอันเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน
จากการวางพื้นที่ในวงกลม การรวมกัน ของกรรม และตัวตน
ที่ได้เกิดขึ้น จึงว่างเปล่าลวงตาไม่จริงไม่ใช่นิรันดร์

ตัวตนนั้น เปรียบดังมองหาในอวกาศ เรียกโครงการนั้นว่า การค้นพบ โลกที่ 18
และโดย เวลานี้ เป็นสิบสองสาเหตุ ในความเป็นจริง

จากองค์ประกอบห้าประการนั้นเป็นทั้งเวลาและสถานที่
ความหมายสองประการสำหรับสาเหตุสิบสองประการ
ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุปัจจุบันและชีวิตทั้งหมดนี้คือสาเหตุสิบสองประการนั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของขั้นตอนเดียวในสิบสองสาเหตุ

หนึ่งเดียว คือจากจุดเริ่มต้นของอดีตและแม้กระทั่งอนาคตที่ไม่รู้จบ
ตราบใดที่ชีวิตยังไม่ถูกปลดปล่อยสิบสองสาเหตุจะยังคงไหลเวียนและส่งเสริมวงจรชีวิตและความตาย
หากหลักฐานได้รับการปลดปล่อยในอดีตก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่อนาคตจะเป็นที่สิ้นสุด
ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่มีนี่คือเป้าหมายระดับสูงสุด
เป็นความคืบหน้าในกระบวนการปลดปล่อยของความทุกข์ทรมาน
การกระทำ จึงต่างกับการปฎิบัติการส่วนบุคคล
แต่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากจะกล่าวว่า
" ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้น
ไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ "

ก็ควรกล่าวด้วยว่า
'' ควรหรือจะตามเห็นว่า ทุกข์เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา มีเราในทุกข์ มีทุกข์ในเรา
อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นปฏิปทาเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2019, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ชอบๆๆ กาทู้แบบนี้

แวะมาขีดเขียนวรรณกรรม ก่อนค่ะ เผื่อจะได้ซีไร้กะเค้ามั่ง 555

ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด อดีต อนาคต และปัจจุบัน
ปัจจุบัน คือรุ่นที่สาม
ไม่ว่ารุ่นไหน จะไม่สามารถ แยกออกจากกรรมทั้งสิบสอง และการวนเวียนกลับชาติมาเกิด
การเริ่มต้น จะเริ่มกันจากชีวิตส่วนตัวมากที่สุด

สิบสองกรรมนั่นคือ การไม่มีเส้นใจที่ชัดเจน ไม่อยู่สายของความรู้ อิงเอนไปกับชื่อของชื่อ
หกสีของชื่อ สิ่งนำเข้าทั้งหก สัมผัส ความรัก ความไม่รัก โชคชะตา ชะตากรรม
และการมอบชีวิตนั้นแก่ความเศร้าโศกและหมองเศร้า หม่นหมอง

นอกจากนี้ยังเป็นสิบสองกระบวนการ ของ การไม่มีความไม่รู้ การอยู่ในสายแห่งความรู้
ความรู้ใน ชื่อ สัมผัส การยอมรับ ความรัก การใช้ในสิ่งที่มี การทำให้ไม่มี การมีชีวิตอยู่
และความตาย

ชีวิตที่ว่างเปล่าการวิเคราะห์ จากปรากฏการณ์ของความไม่มีสถานะ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

รากหกราก มีน้ำหนักหกลิตร หกฝุ่น และสามกลุ่มของรากเหง้า
รวมเป็นกระบวนการสิบแปดโครงการ รวมกันเป็นวงกลมเดียว
ที่รวมกันเพื่อสร้างข้อเท็จจริงของชีวิต ภูมิปัญญาแห่งพระโพธิสัตว์ ที่ เรียกว่า โลกทั้ง18

ชีวิตดำเนิน เป็นไป การลงทุนไปในโครงการ กลุ่มโลกทั้ง 18 แห่งนี้
คือ การดำรงอยู่ของความเป็นตน ที่ลอยล่องในอวกาศ
ขาดการดำรงอยู่ได้ของตนเอง ตามการรวมกันอย่างต่อเนื่องของกรรม
ดังนั้นมันจะล่องลอยอย่างว่างเปล่า

18 กลุ่มโลก เป็นโครงการในกระบวนการ ที่อิงกับกรรมได้ก่อตัวขึ้นเป็นตัวตนขึ้นมา
แต่ที่สำคัญคือกระบวนการของโครงการทั้ง 18
เป็นเพียงเป็นโครงการของการก่อสร้างตัวตนขึ้นมา
มันเป็นเพียงภาพลวงตาภาพลวงตาที่รวมกัน ในการใช้งาน

เมื่อเรามีตาน้อยลง ด้วยสองตาที่หายไป ก็ไม่ได้ทำให้หายไป

แต่เมื่อหมดสิบแปดกระบวนการในโครงการไปแล้ว ความมีตัวตนจะมีได้อย่างไร
นี่เป็นเพียงโครงการหนึ่งชิ้น ต่อชิ้น ในกระบวนโครงการทั้ง 18 ชิ้น
ที่ถูกแยกชิ้นส่วนในลักษณะต่างๆ

ดังนั้น ใครจะชี้ได้ ว่า โครงการอันเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน
จากการวางพื้นที่ในวงกลม การรวมกัน ของกรรม และตัวตน
ที่ได้เกิดขึ้น จึงว่างเปล่าลวงตาไม่จริงไม่ใช่นิรันดร์

ตัวตนนั้น เปรียบดังมองหาในอวกาศ เรียกโครงการนั้นว่า การค้นพบ โลกที่ 18
และโดย เวลานี้ เป็นสิบสองสาเหตุ ในความเป็นจริง

จากองค์ประกอบห้าประการนั้นเป็นทั้งเวลาและสถานที่
ความหมายสองประการสำหรับสาเหตุสิบสองประการ
ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุปัจจุบันและชีวิตทั้งหมดนี้คือสาเหตุสิบสองประการนั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของขั้นตอนเดียวในสิบสองสาเหตุ

หนึ่งเดียว คือจากจุดเริ่มต้นของอดีตและแม้กระทั่งอนาคตที่ไม่รู้จบ
ตราบใดที่ชีวิตยังไม่ถูกปลดปล่อยสิบสองสาเหตุจะยังคงไหลเวียนและส่งเสริมวงจรชีวิตและความตาย
หากหลักฐานได้รับการปลดปล่อยในอดีตก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่อนาคตจะเป็นที่สิ้นสุด
ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่มีนี่คือเป้าหมายระดับสูงสุด
เป็นความคืบหน้าในกระบวนการปลดปล่อยของความทุกข์ทรมาน
การกระทำ จึงต่างกับการปฎิบัติการส่วนบุคคล
แต่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย


ภาษาสละสลวย ถ้าแต่งนิยาย อาจจะได้ซีไรต์นะครับ
12 กระบวนการ 18 โลก สามรากเหง้า องค์ประกอบห้า

พยายามหา key words s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทีเรียกว่าสัตว์ นอกจากหมายถึงการประกอบกันเข้าของรูปขันธ์ นามขันธ์แล้ว
ยังหมายถึงการมีตัณหา มีความพอใจ ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเรียกว่าสัตว์


เหมือนเด็กเล็ก ที่ชอบการปั้นเรือนด้วยดิน
ยังมีความพอใจ ยังมีความชอบ ความต้องการในเรือนดินนั้น
เมื่อความชอบเล่นดิน ชอบปั้นดินยังมีอยู่ จึงเรียกว่าสัตว์

ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะไม่มีตัณหา จึงไม่เรียกว่าสัตว์อีกต่อไป

เพราะทำลายเรือนดินนั้นให้แตกกระจาย จึงปรินิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 00:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


สัตว์ บุคคล ก็มีอยู่จริงแท้แน่นอน คือ ทุกขอริยสัจ
ตัณหา คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ความดับตัณหา คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

อริยสัจ ๔ ประการนี้ก็มีอยู่จริง หาที่สุดเบื้องตนเบื้องปลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้
........................................................................
เพราะความไม่รู้อริยสัจ ๔ จึงยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


สัตว์ บุคคล ก็มีอยู่จริงแท้แน่นอน คือ ทุกขอริยสัจ
ตัณหา คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ความดับตัณหา คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

อริยสัจ ๔ ประการนี้ก็มีอยู่จริง หาที่สุดเบื้องตนเบื้องปลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้
........................................................................
เพราะความไม่รู้อริยสัจ ๔ จึงยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา


คุณ Love J อย่ามีความสับสน ในสภาวะกับบัญญัติ บัญญัติเป็นสมมุติ ไม่มีจริงนะครับ ไม่มีสภาวะ
การแทงตลอดทุกขอริยสัจจ์ด้วยปัญญานั้น จึงไม่อาจมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ได้ ไม่ใช่ฐานะ เพราะไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง

ความจริงคือทุกข์ หรือที่เรียกว่าทุกขอริยสัจจ์ จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล อย่างที่คุณกล่าวมา

ทุกข์อริยสัจจ์ โดยสภาวะแล้ว คือ อุปาทานขันธ์ 5
ซึ่งเป็นสภาพจริงแท้

คือสภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพบีบคั้น ๑
เป็นสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่ง ๑
เป็นสภาพให้เดือดร้อน ๑
เป็นสภาพแปรปรวน ๑


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 00:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


สัตว์ บุคคล ก็มีอยู่จริงแท้แน่นอน คือ ทุกขอริยสัจ
ตัณหา คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ความดับตัณหา คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

อริยสัจ ๔ ประการนี้ก็มีอยู่จริง หาที่สุดเบื้องตนเบื้องปลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้
........................................................................
เพราะความไม่รู้อริยสัจ ๔ จึงยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา


คุณ Love J อย่ามีความสับสน ในสภาวะกับบัญญัติ บัญญัติเป็นสมมุติ ไม่มีจริงนะครับ ไม่มีสภาวะ
การแทงตลอดทุกขอริยสัจจ์ด้วยปัญญานั้น จึงไม่อาจมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ได้ ไม่ใช่ฐานะ เพราะไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง

ความจริงคือทุกข์ หรือที่เรียกว่าทุกขอริยสัจจ์ จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล อย่างที่คุณกล่าวมา


พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.
...................................................
ถ้ายึดตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสในสัตตสูตรนี้ การแทงตลอดอริยสัจ ๔ มีสัตว์เป็นอารมณ์
บัญญัติแปลว่าอะไร ช้าง มา ไม่บัญญัติไร ๆ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นภูเขา ต้นไม้ เหตุใดช้างม้าจึงไม่บรรลุมรรคผล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 03:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
โลกสวย เขียน:
ชอบๆๆ กาทู้แบบนี้

แวะมาขีดเขียนวรรณกรรม ก่อนค่ะ เผื่อจะได้ซีไร้กะเค้ามั่ง 555

ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด อดีต อนาคต และปัจจุบัน
ปัจจุบัน คือรุ่นที่สาม
ไม่ว่ารุ่นไหน จะไม่สามารถ แยกออกจากกรรมทั้งสิบสอง และการวนเวียนกลับชาติมาเกิด
การเริ่มต้น จะเริ่มกันจากชีวิตส่วนตัวมากที่สุด

สิบสองกรรมนั่นคือ การไม่มีเส้นใจที่ชัดเจน ไม่อยู่สายของความรู้ อิงเอนไปกับชื่อของชื่อ
หกสีของชื่อ สิ่งนำเข้าทั้งหก สัมผัส ความรัก ความไม่รัก โชคชะตา ชะตากรรม
และการมอบชีวิตนั้นแก่ความเศร้าโศกและหมองเศร้า หม่นหมอง

นอกจากนี้ยังเป็นสิบสองกระบวนการ ของ การไม่มีความไม่รู้ การอยู่ในสายแห่งความรู้
ความรู้ใน ชื่อ สัมผัส การยอมรับ ความรัก การใช้ในสิ่งที่มี การทำให้ไม่มี การมีชีวิตอยู่
และความตาย

ชีวิตที่ว่างเปล่าการวิเคราะห์ จากปรากฏการณ์ของความไม่มีสถานะ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

รากหกราก มีน้ำหนักหกลิตร หกฝุ่น และสามกลุ่มของรากเหง้า
รวมเป็นกระบวนการสิบแปดโครงการ รวมกันเป็นวงกลมเดียว
ที่รวมกันเพื่อสร้างข้อเท็จจริงของชีวิต ภูมิปัญญาแห่งพระโพธิสัตว์ ที่ เรียกว่า โลกทั้ง18

ชีวิตดำเนิน เป็นไป การลงทุนไปในโครงการ กลุ่มโลกทั้ง 18 แห่งนี้
คือ การดำรงอยู่ของความเป็นตน ที่ลอยล่องในอวกาศ
ขาดการดำรงอยู่ได้ของตนเอง ตามการรวมกันอย่างต่อเนื่องของกรรม
ดังนั้นมันจะล่องลอยอย่างว่างเปล่า

18 กลุ่มโลก เป็นโครงการในกระบวนการ ที่อิงกับกรรมได้ก่อตัวขึ้นเป็นตัวตนขึ้นมา
แต่ที่สำคัญคือกระบวนการของโครงการทั้ง 18
เป็นเพียงเป็นโครงการของการก่อสร้างตัวตนขึ้นมา
มันเป็นเพียงภาพลวงตาภาพลวงตาที่รวมกัน ในการใช้งาน

เมื่อเรามีตาน้อยลง ด้วยสองตาที่หายไป ก็ไม่ได้ทำให้หายไป

แต่เมื่อหมดสิบแปดกระบวนการในโครงการไปแล้ว ความมีตัวตนจะมีได้อย่างไร
นี่เป็นเพียงโครงการหนึ่งชิ้น ต่อชิ้น ในกระบวนโครงการทั้ง 18 ชิ้น
ที่ถูกแยกชิ้นส่วนในลักษณะต่างๆ

ดังนั้น ใครจะชี้ได้ ว่า โครงการอันเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน
จากการวางพื้นที่ในวงกลม การรวมกัน ของกรรม และตัวตน
ที่ได้เกิดขึ้น จึงว่างเปล่าลวงตาไม่จริงไม่ใช่นิรันดร์

ตัวตนนั้น เปรียบดังมองหาในอวกาศ เรียกโครงการนั้นว่า การค้นพบ โลกที่ 18
และโดย เวลานี้ เป็นสิบสองสาเหตุ ในความเป็นจริง

จากองค์ประกอบห้าประการนั้นเป็นทั้งเวลาและสถานที่
ความหมายสองประการสำหรับสาเหตุสิบสองประการ
ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุปัจจุบันและชีวิตทั้งหมดนี้คือสาเหตุสิบสองประการนั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของขั้นตอนเดียวในสิบสองสาเหตุ

หนึ่งเดียว คือจากจุดเริ่มต้นของอดีตและแม้กระทั่งอนาคตที่ไม่รู้จบ
ตราบใดที่ชีวิตยังไม่ถูกปลดปล่อยสิบสองสาเหตุจะยังคงไหลเวียนและส่งเสริมวงจรชีวิตและความตาย
หากหลักฐานได้รับการปลดปล่อยในอดีตก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่อนาคตจะเป็นที่สิ้นสุด
ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่มีนี่คือเป้าหมายระดับสูงสุด
เป็นความคืบหน้าในกระบวนการปลดปล่อยของความทุกข์ทรมาน
การกระทำ จึงต่างกับการปฎิบัติการส่วนบุคคล
แต่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย


ภาษาสละสลวย ถ้าแต่งนิยาย อาจจะได้ซีไรต์นะครับ
12 กระบวนการ 18 โลก สามรากเหง้า องค์ประกอบห้า

พยายามหา key words s002


คริคริ
อาจไม่ได้เข้ามาหลายวัน
ลิมไปค่ะ เดียวบอกไบ้ให้

กรรม เวลา ทุกขอริยสัจ ไตรลักษณ์ นาม รูป18 ปฎิจจสมุปาท12 ขันธ์ห้า อายตนะหก สติปัฎฐาน มายา
พระโพธิสัตว์ และนิพพาน


tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 05:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


สัตว์ บุคคล ก็มีอยู่จริงแท้แน่นอน คือ ทุกขอริยสัจ
ตัณหา คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ความดับตัณหา คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

อริยสัจ ๔ ประการนี้ก็มีอยู่จริง หาที่สุดเบื้องตนเบื้องปลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้
........................................................................
เพราะความไม่รู้อริยสัจ ๔ จึงยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา


คุณ Love J อย่ามีความสับสน ในสภาวะกับบัญญัติ บัญญัติเป็นสมมุติ ไม่มีจริงนะครับ ไม่มีสภาวะ
การแทงตลอดทุกขอริยสัจจ์ด้วยปัญญานั้น จึงไม่อาจมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ได้ ไม่ใช่ฐานะ เพราะไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง

ความจริงคือทุกข์ หรือที่เรียกว่าทุกขอริยสัจจ์ จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล อย่างที่คุณกล่าวมา

ทุกข์อริยสัจจ์ โดยสภาวะแล้ว คือ อุปาทานขันธ์ 5
ซึ่งเป็นสภาพจริงแท้

คือสภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพบีบคั้น ๑
เป็นสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่ง ๑
เป็นสภาพให้เดือดร้อน ๑
เป็นสภาพแปรปรวน ๑


นอกจากผมจะไม่สับสนบัญญัติปรมัตถ์แล้ว ผมยังกล่าวสอดคล้องไม่ขัดแย้งทั้งธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ทั้งสภาวะโดยปรมัตถ์ เพราะผมกล่าวธรรมที่เป็นทางสายกลาง ที่เป็นอริยสัจ ๔ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘

ลองถามความเห็นตนเองดูว่า ผู้ที่ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ประกาศศาสนาพร้อมพระธรรมคำสอน พระสงฆ์สาวกดำเนินตามคำสอนได้รู้ตามเห็นตาม และสืบทอดศาสนาให้ดำรงคงอยู่มาถึงพวกเรา มีอยู่จริงมั้ยบนโลกใบนี้

หากเห็นว่ามี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาสั่งสอนสิ่งที่ไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง ให้เหน็ดเหนื่อยทำไมในเมื่อ จิต เจตสิก รูป มันก็เกิดแล้วดับไปของมันเอง นิพพาน ก็เที่้ยงแท้อยู่เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
Love J. เขียน:
ความจริงแล้ว สัตว์นั้นเป็นเพียงเสียงเรียก เป็นแต่นามเท่านั้น
เพราะเมื่อประกอบกันเข้าด้วยส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้นามสมมุติเรียกว่าสัตว์ เหมือนรถที่ประกอบกันเข้าด้วยส่วนต่างๆ จึงได้ถูกเรียกว่ารถ
................................................................
ส่วนประกอบเครื่องยลกลไกประกอบเข้าแล้วขับเคลื่อนเดินทางไปไหนมาไหนได้ มีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมอยู่
จะสมมุติเรียกว่ารถหรือไม่ก็ตาม ความเป็นรถก็มีแล้ว เป็นแล้ว พร้อมแล้ว มิใช่บัญญัติว่ารถ ๆ โดยมิได้มีความเป็นรถรองรับ
.................................................................
คนหาสัตว์ บุคคล ไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ถูกแล้ว
ปรมัตถ์อันใดมีอยู่ คนหาสัตว์ บุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ .. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น


ธรรมมี 2 คือ บัญญัติธรรม และปรมัตถธรรม ถ้าแยกอย่างงี้ก็จะไม่เกิดความสับสน

บัญญัติธรรม เป็นการสมมุติ ไม่ได้มีอยู่จริงโดยสภาวะ คือไม่มีสภาวะ เช่น คน ภูเขา กระรอก นก
เป็นเพียงการบัญญัติตามรูปร่างสัณฐาน และเพื่อให้เกิดชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกัน

ปรมัตถธรรม คือ สภาพที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ต้องเรียกชื่อตามนี้ก็ได้ ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรก็ได้ มีอยู่จริงโดยสภาวะ

แต่เพราะความไม่รู้ จึงเกิดการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ขึ้นมา

นานแสนนาน นับชาติประมาณไม่ได้


สัตว์ บุคคล ก็มีอยู่จริงแท้แน่นอน คือ ทุกขอริยสัจ
ตัณหา คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ความดับตัณหา คือ ทุกขนิโรธอริยสัจ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

อริยสัจ ๔ ประการนี้ก็มีอยู่จริง หาที่สุดเบื้องตนเบื้องปลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ประการนี้
........................................................................
เพราะความไม่รู้อริยสัจ ๔ จึงยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเรา ของเรา ตัวตนเรา


คุณ Love J อย่ามีความสับสน ในสภาวะกับบัญญัติ บัญญัติเป็นสมมุติ ไม่มีจริงนะครับ ไม่มีสภาวะ
การแทงตลอดทุกขอริยสัจจ์ด้วยปัญญานั้น จึงไม่อาจมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ได้ ไม่ใช่ฐานะ เพราะไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง

ความจริงคือทุกข์ หรือที่เรียกว่าทุกขอริยสัจจ์ จึงไม่ใช่ สัตว์ บุคคล อย่างที่คุณกล่าวมา

ทุกข์อริยสัจจ์ โดยสภาวะแล้ว คือ อุปาทานขันธ์ 5
ซึ่งเป็นสภาพจริงแท้

คือสภาพแห่งทุกข์เป็นสภาพบีบคั้น ๑
เป็นสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่ง ๑
เป็นสภาพให้เดือดร้อน ๑
เป็นสภาพแปรปรวน ๑


นอกจากผมจะไม่สับสนบัญญัติปรมัตถ์แล้ว ผมยังกล่าวสอดคล้องไม่ขัดแย้งทั้งธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ทั้งสภาวะโดยปรมัตถ์ เพราะผมกล่าวธรรมที่เป็นทางสายกลาง ที่เป็นอริยสัจ ๔ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘

ลองถามความเห็นตนเองดูว่า ผู้ที่ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ประกาศศาสนาพร้อมพระธรรมคำสอน พระสงฆ์สาวกดำเนินตามคำสอนได้รู้ตามเห็นตาม และสืบทอดศาสนาให้ดำรงคงอยู่มาถึงพวกเรา มีอยู่จริงมั้ยบนโลกใบนี้

หากเห็นว่ามี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาสั่งสอนสิ่งที่ไม่มีสภาวะ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีจริง ให้เหน็ดเหนื่อยทำไมในเมื่อ จิต เจตสิก รูป มันก็เกิดแล้วดับไปของมันเอง นิพพาน ก็เที่้ยงแท้อยู่เอง


คุณ LoveJ แค่บอกว่า ทุกขอริยสัจจ์ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็แสดงให้เห็นชัด ได้แล้วถึงความเห็นผิด

สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ชื่อครับ
ความเป็นบุคคล ก็ไม่ใช่บุคคลที่เป็นตัวตน
หากยังยึดบุคคลด้วยความเป็นตัวตนก็คือ
อุปาทานปรารภแม้บัญญัตินั่นแหละเป็นตัวตน

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่คุณยกตัวอย่างมาก็เป็นการบัญญัติบุคคล จะเรียกอย่างอื่นก็ได้ ให้เกิดชื่อเรียกเท่านั้น ซึ่งตัวบัญญัตินั่นไม่มีสภาวะ
จะกล่าวว่ามีจริง โดยสมมุติสัจจะ อย่างงี้ได้
แต่ไม่มี โดยปรมัตถ์สัจจะ

ความเห็นผิดติดแน่น แยกไม่ออกบัญญัติ กับปรมัตถ์ เห็น บัญญัติเป็นตัวตน

ยกตัวอย่างคุณ lovej เคยนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั้ยครับ เคยเจริญพุทธานุสติรึเปล่า นั่นคือการนึกถึงบัญญัติ

เคยนึกถึงเทวตานุสสติมั้ย นั่นก็เป็นการนึกถึงบัญญัติ

แม้แต่ บิดา มารดา พี่สาว น้องสาว ก็เป็นบัญญัติ

ปรมัตถธรรม มีแต่ จิต เจตสิก และรูป นิพพาน เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระตถาคต

การเพียงเห็นพระรูป สดับพระสุรเสียงก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นพระตถาคต แม้แต่จับจีวรก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นพระตถาคต

การเห็นพระตถาคตคือการเห็นธรรม

ทุกข์เท่านั้นที่เกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

ฟังอย่างงี้เข้าใจมั้ยนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด

ถ้าไม่เข้าใจก็เพราะปัญญายังไม่คมพอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
โลกสวย เขียน:
ชอบๆๆ กาทู้แบบนี้

แวะมาขีดเขียนวรรณกรรม ก่อนค่ะ เผื่อจะได้ซีไร้กะเค้ามั่ง 555

ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด อดีต อนาคต และปัจจุบัน
ปัจจุบัน คือรุ่นที่สาม
ไม่ว่ารุ่นไหน จะไม่สามารถ แยกออกจากกรรมทั้งสิบสอง และการวนเวียนกลับชาติมาเกิด
การเริ่มต้น จะเริ่มกันจากชีวิตส่วนตัวมากที่สุด

สิบสองกรรมนั่นคือ การไม่มีเส้นใจที่ชัดเจน ไม่อยู่สายของความรู้ อิงเอนไปกับชื่อของชื่อ
หกสีของชื่อ สิ่งนำเข้าทั้งหก สัมผัส ความรัก ความไม่รัก โชคชะตา ชะตากรรม
และการมอบชีวิตนั้นแก่ความเศร้าโศกและหมองเศร้า หม่นหมอง

นอกจากนี้ยังเป็นสิบสองกระบวนการ ของ การไม่มีความไม่รู้ การอยู่ในสายแห่งความรู้
ความรู้ใน ชื่อ สัมผัส การยอมรับ ความรัก การใช้ในสิ่งที่มี การทำให้ไม่มี การมีชีวิตอยู่
และความตาย

ชีวิตที่ว่างเปล่าการวิเคราะห์ จากปรากฏการณ์ของความไม่มีสถานะ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

รากหกราก มีน้ำหนักหกลิตร หกฝุ่น และสามกลุ่มของรากเหง้า
รวมเป็นกระบวนการสิบแปดโครงการ รวมกันเป็นวงกลมเดียว
ที่รวมกันเพื่อสร้างข้อเท็จจริงของชีวิต ภูมิปัญญาแห่งพระโพธิสัตว์ ที่ เรียกว่า โลกทั้ง18

ชีวิตดำเนิน เป็นไป การลงทุนไปในโครงการ กลุ่มโลกทั้ง 18 แห่งนี้
คือ การดำรงอยู่ของความเป็นตน ที่ลอยล่องในอวกาศ
ขาดการดำรงอยู่ได้ของตนเอง ตามการรวมกันอย่างต่อเนื่องของกรรม
ดังนั้นมันจะล่องลอยอย่างว่างเปล่า

18 กลุ่มโลก เป็นโครงการในกระบวนการ ที่อิงกับกรรมได้ก่อตัวขึ้นเป็นตัวตนขึ้นมา
แต่ที่สำคัญคือกระบวนการของโครงการทั้ง 18
เป็นเพียงเป็นโครงการของการก่อสร้างตัวตนขึ้นมา
มันเป็นเพียงภาพลวงตาภาพลวงตาที่รวมกัน ในการใช้งาน

เมื่อเรามีตาน้อยลง ด้วยสองตาที่หายไป ก็ไม่ได้ทำให้หายไป

แต่เมื่อหมดสิบแปดกระบวนการในโครงการไปแล้ว ความมีตัวตนจะมีได้อย่างไร
นี่เป็นเพียงโครงการหนึ่งชิ้น ต่อชิ้น ในกระบวนโครงการทั้ง 18 ชิ้น
ที่ถูกแยกชิ้นส่วนในลักษณะต่างๆ

ดังนั้น ใครจะชี้ได้ ว่า โครงการอันเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน
จากการวางพื้นที่ในวงกลม การรวมกัน ของกรรม และตัวตน
ที่ได้เกิดขึ้น จึงว่างเปล่าลวงตาไม่จริงไม่ใช่นิรันดร์

ตัวตนนั้น เปรียบดังมองหาในอวกาศ เรียกโครงการนั้นว่า การค้นพบ โลกที่ 18
และโดย เวลานี้ เป็นสิบสองสาเหตุ ในความเป็นจริง

จากองค์ประกอบห้าประการนั้นเป็นทั้งเวลาและสถานที่
ความหมายสองประการสำหรับสาเหตุสิบสองประการ
ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุปัจจุบันและชีวิตทั้งหมดนี้คือสาเหตุสิบสองประการนั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของขั้นตอนเดียวในสิบสองสาเหตุ

หนึ่งเดียว คือจากจุดเริ่มต้นของอดีตและแม้กระทั่งอนาคตที่ไม่รู้จบ
ตราบใดที่ชีวิตยังไม่ถูกปลดปล่อยสิบสองสาเหตุจะยังคงไหลเวียนและส่งเสริมวงจรชีวิตและความตาย
หากหลักฐานได้รับการปลดปล่อยในอดีตก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่อนาคตจะเป็นที่สิ้นสุด
ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่มีนี่คือเป้าหมายระดับสูงสุด
เป็นความคืบหน้าในกระบวนการปลดปล่อยของความทุกข์ทรมาน
การกระทำ จึงต่างกับการปฎิบัติการส่วนบุคคล
แต่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย


ภาษาสละสลวย ถ้าแต่งนิยาย อาจจะได้ซีไรต์นะครับ
12 กระบวนการ 18 โลก สามรากเหง้า องค์ประกอบห้า

พยายามหา key words s002


คริคริ
อาจไม่ได้เข้ามาหลายวัน
ลิมไปค่ะ เดียวบอกไบ้ให้

กรรม เวลา ทุกขอริยสัจ ไตรลักษณ์ นาม รูป18 ปฎิจจสมุปาท12 ขันธ์ห้า อายตนะหก สติปัฎฐาน มายา
พระโพธิสัตว์ และนิพพาน


tongue


smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2019, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความบางส่วนจากอนุราธสูตร

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?

อ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?

อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

พ. เพราะเหตุนี้แล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.



พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

เธอย่อมเห็นรูปว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นสัตว์บุคคลหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.



พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

เธอย่อมเห็นว่าสัตว์บุคคลในรูปหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในเวทนาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในสัญญาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากสัญญาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในสังขารหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในวิญญาณหรือ?

อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ?

อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า


พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่า สัตว์
บุคคลมีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ อย่างนั้นหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.


พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่า สัตว์
บุคคลนี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ อย่างนั้นหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.


พ. ดูกรอนุราธะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ เธอค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ใน
ปัจจุบันไม่ได้เลย

ควรแลหรือที่เธอจะพยากรณ์ว่า พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นยอดบุรุษ ถึง
ความบรรลุชั้นเยี่ยม เมื่อจะบัญญัติ ย่อมบัญญัติเว้นจากฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ๑ ย่อมไม่เกิดอีก ๑ ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑ ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ๑?

อ. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.

พ. ถูกละๆ อนุราธะ ทั้งเมื่อก่อนและทั้งบัดนี้ เราย่อมบัญญัติทุกข์ และความดับทุกข์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร