ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ลัทธิหลุมดำ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57466 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 22 เม.ย. 2019, 08:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไร...คืออะไร...พูดทุกคำที่ไม่รู้จักเลยนะ ถ้าทุกคนอ่านท่องจำคำสอนได้หมดแบบที่คุณก๊อปแปะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้าหรือคะ555 ไปท่องจำตัวอักษรทำไมก็บอกแล้วอรรถบัญญัติต้องอาศัยฟังเสียงคือสัททะบัญญัติเพื่อเข้าถึงธัมมะ ไม่ใช่มีตัวตนของเราไปนั่งทำหลับตาเพราะตาไม่บอดหลับตานั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้สึกตัวไปตามสัททะบัญญัติ แล้วทำไมไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาให้คิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้ตามปกติทีละ1ทางตามเป็นจริงก่อน การอ่านเป็นการคิดนึกเกินเห็นตรง1ขณะตามคำสอนเป็นการ1เห็นผิด2จำผิด3ไม่รู้ตรงตามคำสอนทีละคำ ตาดูหูฟังดูความจริงเทียบตามตำราโดยไม่ขาดการคิดตามตรงคำตรงสัจจะที่กายใจกำลังมีคือพึ่งคำตถาคต เพื่อทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอนทีละ1ทางเพราะตัวจริงธัมมะแต่ละทางไม่เกิดปนกันไม่เกิดพร้อมกัน มันเกิดดับทีละ1ขณะจิตและเป็นคนละขณะจิตมี6ทางการสิกขาต้องคิดตรงตามทีละ1ทางตอนฟังคำตถาคต พึ่งคำสอนเพื่อให้รู้สึกตัวเกิดความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรง1สัจจะของแต่ละ1ทางที่มีไม่ปนทางกันทันที พึ่งคิดตามตรงคำตรงจริงตรงขณะตามคำสอนตรงกับตัวจริงธัมมะที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆที่กายใจตน เดี๋ยวนี้ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังมีเพราะมันเกิดดับถึงแสนล้านขณะจิตอยู่ตอนนี้คุณรู้สึกตัวตรง1ทางไหน เอาตามที่สบายใจเถอะขอรับ ทำแล้วสบายใจก็เป็นธัมมะ คิกๆๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 22 เม.ย. 2019, 08:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไร...คืออะไร...พูดทุกคำที่ไม่รู้จักเลยนะ ถ้าทุกคนอ่านท่องจำคำสอนได้หมดแบบที่คุณก๊อปแปะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้าหรือคะ555 ไปท่องจำตัวอักษรทำไมก็บอกแล้วอรรถบัญญัติต้องอาศัยฟังเสียงคือสัททะบัญญัติเพื่อเข้าถึงธัมมะ ไม่ใช่มีตัวตนของเราไปนั่งทำหลับตาเพราะตาไม่บอดหลับตานั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้สึกตัวไปตามสัททะบัญญัติ แล้วทำไมไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาให้คิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้ตามปกติทีละ1ทางตามเป็นจริงก่อน การอ่านเป็นการคิดนึกเกินเห็นตรง1ขณะตามคำสอนเป็นการ1เห็นผิด2จำผิด3ไม่รู้ตรงตามคำสอนทีละคำ ตาดูหูฟังดูความจริงเทียบตามตำราโดยไม่ขาดการคิดตามตรงคำตรงสัจจะที่กายใจกำลังมีคือพึ่งคำตถาคต เพื่อทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอนทีละ1ทางเพราะตัวจริงธัมมะแต่ละทางไม่เกิดปนกันไม่เกิดพร้อมกัน มันเกิดดับทีละ1ขณะจิตและเป็นคนละขณะจิตมี6ทางการสิกขาต้องคิดตรงตามทีละ1ทางตอนฟังคำตถาคต พึ่งคำสอนเพื่อให้รู้สึกตัวเกิดความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรง1สัจจะของแต่ละ1ทางที่มีไม่ปนทางกันทันที พึ่งคิดตามตรงคำตรงจริงตรงขณะตามคำสอนตรงกับตัวจริงธัมมะที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆที่กายใจตน เดี๋ยวนี้ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังมีเพราะมันเกิดดับถึงแสนล้านขณะจิตอยู่ตอนนี้คุณรู้สึกตัวตรง1ทางไหน เอาตามที่สบายใจเถอะขอรับ ทำแล้วสบายใจก็เป็นธัมมะ คิกๆๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะ ก็ดูพฤติกรรมตัวเองให้มันตรงตามคำสอนตรงเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันขณะไม่มีตัวจริงของธัมมะนอกกายใจตัวเอง ดูสิ่งที่ตัวเองส่งออกไปดูและเอาตัวเองไปทำอะไร ก็บอกว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงเดี๋ยวนี้ ตัวเองรู้ตรงกับคำไหนตรง1สัจจะที่กำลังมี ไม่รู้แปลว่าความจริงปรากฏกับอวิชชาแล้ว...บอกไม่ฟัง555 https://youtu.be/sWTvIgiC45M |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 22 เม.ย. 2019, 10:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไร...คืออะไร...พูดทุกคำที่ไม่รู้จักเลยนะ ถ้าทุกคนอ่านท่องจำคำสอนได้หมดแบบที่คุณก๊อปแปะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้าหรือคะ555 ไปท่องจำตัวอักษรทำไมก็บอกแล้วอรรถบัญญัติต้องอาศัยฟังเสียงคือสัททะบัญญัติเพื่อเข้าถึงธัมมะ ไม่ใช่มีตัวตนของเราไปนั่งทำหลับตาเพราะตาไม่บอดหลับตานั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้สึกตัวไปตามสัททะบัญญัติ แล้วทำไมไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาให้คิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้ตามปกติทีละ1ทางตามเป็นจริงก่อน การอ่านเป็นการคิดนึกเกินเห็นตรง1ขณะตามคำสอนเป็นการ1เห็นผิด2จำผิด3ไม่รู้ตรงตามคำสอนทีละคำ ตาดูหูฟังดูความจริงเทียบตามตำราโดยไม่ขาดการคิดตามตรงคำตรงสัจจะที่กายใจกำลังมีคือพึ่งคำตถาคต เพื่อทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอนทีละ1ทางเพราะตัวจริงธัมมะแต่ละทางไม่เกิดปนกันไม่เกิดพร้อมกัน มันเกิดดับทีละ1ขณะจิตและเป็นคนละขณะจิตมี6ทางการสิกขาต้องคิดตรงตามทีละ1ทางตอนฟังคำตถาคต พึ่งคำสอนเพื่อให้รู้สึกตัวเกิดความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรง1สัจจะของแต่ละ1ทางที่มีไม่ปนทางกันทันที พึ่งคิดตามตรงคำตรงจริงตรงขณะตามคำสอนตรงกับตัวจริงธัมมะที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆที่กายใจตน เดี๋ยวนี้ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังมีเพราะมันเกิดดับถึงแสนล้านขณะจิตอยู่ตอนนี้คุณรู้สึกตัวตรง1ทางไหน เอาตามที่สบายใจเถอะขอรับ ทำแล้วสบายใจก็เป็นธัมมะ คิกๆๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะ ก็ดูพฤติกรรมตัวเองให้มันตรงตามคำสอนตรงเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันขณะไม่มีตัวจริงของธัมมะนอกกายใจตัวเอง ดูสิ่งที่ตัวเองส่งออกไปดูและเอาตัวเองไปทำอะไร ก็บอกว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงเดี๋ยวนี้ ตัวเองรู้ตรงกับคำไหนตรง1สัจจะที่กำลังมี ไม่รู้แปลว่าความจริงปรากฏกับอวิชชาแล้ว...บอกไม่ฟัง555 https://youtu.be/sWTvIgiC45M มาอีกแระ ปัจจุบันขณะ ว่าชัดๆสิขอรับโผม ปัจจุบันขณะ ตามที่คุณโรสคิดเนี่ยได้แก่อะไร ว่าไป |
เจ้าของ: | Rosarin [ 22 เม.ย. 2019, 14:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไร...คืออะไร...พูดทุกคำที่ไม่รู้จักเลยนะ ถ้าทุกคนอ่านท่องจำคำสอนได้หมดแบบที่คุณก๊อปแปะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้าหรือคะ555 ไปท่องจำตัวอักษรทำไมก็บอกแล้วอรรถบัญญัติต้องอาศัยฟังเสียงคือสัททะบัญญัติเพื่อเข้าถึงธัมมะ ไม่ใช่มีตัวตนของเราไปนั่งทำหลับตาเพราะตาไม่บอดหลับตานั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้สึกตัวไปตามสัททะบัญญัติ แล้วทำไมไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาให้คิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้ตามปกติทีละ1ทางตามเป็นจริงก่อน การอ่านเป็นการคิดนึกเกินเห็นตรง1ขณะตามคำสอนเป็นการ1เห็นผิด2จำผิด3ไม่รู้ตรงตามคำสอนทีละคำ ตาดูหูฟังดูความจริงเทียบตามตำราโดยไม่ขาดการคิดตามตรงคำตรงสัจจะที่กายใจกำลังมีคือพึ่งคำตถาคต เพื่อทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอนทีละ1ทางเพราะตัวจริงธัมมะแต่ละทางไม่เกิดปนกันไม่เกิดพร้อมกัน มันเกิดดับทีละ1ขณะจิตและเป็นคนละขณะจิตมี6ทางการสิกขาต้องคิดตรงตามทีละ1ทางตอนฟังคำตถาคต พึ่งคำสอนเพื่อให้รู้สึกตัวเกิดความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรง1สัจจะของแต่ละ1ทางที่มีไม่ปนทางกันทันที พึ่งคิดตามตรงคำตรงจริงตรงขณะตามคำสอนตรงกับตัวจริงธัมมะที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆที่กายใจตน เดี๋ยวนี้ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังมีเพราะมันเกิดดับถึงแสนล้านขณะจิตอยู่ตอนนี้คุณรู้สึกตัวตรง1ทางไหน เอาตามที่สบายใจเถอะขอรับ ทำแล้วสบายใจก็เป็นธัมมะ คิกๆๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะ ก็ดูพฤติกรรมตัวเองให้มันตรงตามคำสอนตรงเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันขณะไม่มีตัวจริงของธัมมะนอกกายใจตัวเอง ดูสิ่งที่ตัวเองส่งออกไปดูและเอาตัวเองไปทำอะไร ก็บอกว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงเดี๋ยวนี้ ตัวเองรู้ตรงกับคำไหนตรง1สัจจะที่กำลังมี ไม่รู้แปลว่าความจริงปรากฏกับอวิชชาแล้ว...บอกไม่ฟัง555 https://youtu.be/sWTvIgiC45M มาอีกแระ ปัจจุบันขณะ ว่าชัดๆสิขอรับโผม ปัจจุบันขณะ ตามที่คุณโรสคิดเนี่ยได้แก่อะไร ว่าไป ความจริงตามคำสอนที่กำลังมีจริงๆตรงปัจจุบันขณะไม่อยู่นอกกายคุณ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีจริงๆตรงปรมัตถสัจจะตรงที่คุณรู้สึกตัวตอนนี้ คุณจะไปไหนจะไปทำอะไรเป็นไปตามตัวตนของคุณคิดพูดทำลืมคิดตามคำสอน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่กำลังมีจริงๆอดีตก็ผ่านไปแล้วอนาคตก็ยังมาไม่ถึงมันมีแล้วไม่ได้ทำแต่ไม่รู้ว่ามีไงคะ |
หน้า 3 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |