ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ลัทธิหลุมดำ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57466 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 12 เม.ย. 2019, 22:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ทุกคนมีตา ดูแล้วก็ไม่รู้ซักที แต่ฟังเพื่อจะได้ยินเพื่อรู้ตามได้นะคะ ทุกคนครั้งพุทธกาลตามไปเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ไม่ได้ไปสำนักอื่นค่ะ สำนักแปลว่าที่อยู่เช่นสำนักช่างหม้อพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ทรงเสด็จไปแสดงพระธรรมให้ใครฟังน๊า ปานได๋สิพากันคิดได่ซักทีเวลาบ่รอไผเด้อจร้า (แปลว่าเมื่อไฟร่จะพากันคิดได้สักทีเวลาไม่รอใครเด้อจร้า555) https://youtu.be/Xwt3mu5Dt_E ถ้าตาไม่มีประโยชน์อย่างนั้น ก็เอาไม้แทงตาสะให้บอดสิ เอาแต่หูไว้ฟังอย่างเดียวพอ ตาเอาไวดูตอนฟังว่าเห็นอะไร คิดไปเท๊อะ...มุสาน่ะบาป คิดว่าคนตาบอดอยากเห็นมั๊ย อยู่ดีๆก็อยากจะตาบอด... แถมโง่จะเอาไม้ทิ่มตาอีก... จริงใจต่อสิ่งที่คิดไหม... มีปกติจิตคิดอกุศลตามปกติเป็นปกติ555... |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 12 เม.ย. 2019, 23:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: โลกสวย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: อยากคิดอะไรก็คิดไปนะคะ ความจริงไม่เป็นไปตามความคิดของใคร โยฯคำสอนมาใส่ตัวให้มันตรงจะได้เข้าใจถูกตรงทางตามคำสอนได้ ไม่ใช่เหมาเอาว่าที่ไปอ่านพระไตรปิฎกมาแล้วท่องจำทุกคำได้เป็นปัญญาของตัวเอง555 เข้าใจไหมว่ากำลังเห็นผิดมีสัญญาจำผิดตามตัวอักษรว่าตัวเองรู้สภาวะล่วงหน้าจะได้เลือกทำได้ตามที่อ่าน ปัญญาเจตสิกไม่ใช่สัญญาเจตสิกและความจริงตรงสัจจะไม่ใช่เวทนาเจตสิกเพราะเวทนาไม่ใช่สังขารขันธ์ ปัญญาคือสังขารขันธ์/ความจำคือสัญญาขันธ์/และทุก1ขณะจิตมีครบทั้ง5ขันธ์มีแล้ว...ฮู้บ่อ...ตัวตนไม่ได้ทำ ทุกอย่างตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากำลังมีและกำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตรงตามที่ทรงตรัสรู้ทุกคำ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้วที่ไม่มีใครสามารถคิดได้เองต้องรอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมาสั่งสอน ทรงสั่งไว้ว่าให้ฟังด้วยความไม่ประมาทเพราะธัมมะกำลังเกิดดับตั้งมั่นตรงทางเป็นไปตามที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว คุณยายโรสค๊ะ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ จู่ๆปัญญาเกิดขึ้นโด่ๆ อันนั้นคุณยายคิดไปเอง ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ผิดพลาดคลาดเคลื่อนมหันต์ อีกแล้วค่ะ เรียนหนังสือฟังยังไงล่ะ ขำคนไม่รู้จักฟังตามคำสอน สุตมยปัญญาทำยังไงฟังเป็นไหม555 https://youtu.be/E3Mndb1H-pQ คริคริ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระธรรมที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก เป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ ยู๊ทู๊ป คุณยายโรสฟังเป้นมั๊ยค๊ะ ว่ายู๊ทู๊ป ไม่ใช่พระศาสดา สอนมาผิดๆๆ จำมาผิดๆๆ ขัดแย้งพระอภิธรรม |
เจ้าของ: | Rosarin [ 12 เม.ย. 2019, 23:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
โลกสวย เขียน: Rosarin เขียน: โลกสวย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: อยากคิดอะไรก็คิดไปนะคะ ความจริงไม่เป็นไปตามความคิดของใคร โยฯคำสอนมาใส่ตัวให้มันตรงจะได้เข้าใจถูกตรงทางตามคำสอนได้ ไม่ใช่เหมาเอาว่าที่ไปอ่านพระไตรปิฎกมาแล้วท่องจำทุกคำได้เป็นปัญญาของตัวเอง555 เข้าใจไหมว่ากำลังเห็นผิดมีสัญญาจำผิดตามตัวอักษรว่าตัวเองรู้สภาวะล่วงหน้าจะได้เลือกทำได้ตามที่อ่าน ปัญญาเจตสิกไม่ใช่สัญญาเจตสิกและความจริงตรงสัจจะไม่ใช่เวทนาเจตสิกเพราะเวทนาไม่ใช่สังขารขันธ์ ปัญญาคือสังขารขันธ์/ความจำคือสัญญาขันธ์/และทุก1ขณะจิตมีครบทั้ง5ขันธ์มีแล้ว...ฮู้บ่อ...ตัวตนไม่ได้ทำ ทุกอย่างตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากำลังมีและกำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตรงตามที่ทรงตรัสรู้ทุกคำ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้วที่ไม่มีใครสามารถคิดได้เองต้องรอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมาสั่งสอน ทรงสั่งไว้ว่าให้ฟังด้วยความไม่ประมาทเพราะธัมมะกำลังเกิดดับตั้งมั่นตรงทางเป็นไปตามที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว คุณยายโรสค๊ะ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ จู่ๆปัญญาเกิดขึ้นโด่ๆ อันนั้นคุณยายคิดไปเอง ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ผิดพลาดคลาดเคลื่อนมหันต์ อีกแล้วค่ะ เรียนหนังสือฟังยังไงล่ะ ขำคนไม่รู้จักฟังตามคำสอน สุตมยปัญญาทำยังไงฟังเป็นไหม555 https://youtu.be/E3Mndb1H-pQ คริคริ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระธรรมที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก เป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ ยู๊ทู๊ป คุณยายโรสฟังเป้นมั๊ยค๊ะ ว่ายู๊ทู๊ป ไม่ใช่พระศาสดา สอนมาผิดๆๆ จำมาผิดๆๆ ขัดแย้งพระอภิธรรม แค่เห็นยังไม่มีปัญญารู้เลยว่าตัวเองเห็นอะไร ยังเอาแต่คิดผิดๆท่องบัญญัติคำเอามาเขียนให้ดูเหมือนมีปัญญา สัญญาจำทุกอย่างที่เห็นแต่ที่กำลังเห็นไม่มีตัวอักษรให้คิดเห็นตามที่อ่านได้ยินมันมืด ก็การอ่านคือการคิดตามตาเนื้อกิเลสเห็นว่ามีตัวอักษรแล้วคิดตามตัวอักษรท่องจำไว้เยอะ จนไม่รู้ว่าปัญญาเจตสิกเกิดตรงขณะพร้อมจิตได้ยินตอนเข้าใจความจริงตรงตามคำสอนที่กายใจกำลังมี ไม่ใช่การท่องเรื่องราวที่ไปอ่านแล้วเก็บเอามาคิดว่าต้องมีตัวตนของเราไปทำตามหนังที่เขาฉายภาพให้เห็น ดาราแสดงว่าเป็นพระพุทธเจ้านั่งหลับตาทำสมาธิเลยเลียนแบบตามตามกันเสียยกใหญ่เห็นผิดจำผิดคิดผิด จะให้ว่าไงดีคะ...แถมมีบางคนตั้งตนเป็นตถาคตองค์ที่2ทำนายว่าพระอรหันตสาวกตรัสรู้ได้โดยไปนั่งหลับตา โอ๊ยขำกลิ้งนอกจากจะไม่รู้ยังจำทุกคำแค่สัญญาน่ะ...ตัวจริงธัมมะดับไป1ล้านดวงจิตตั้งแสนครั้งแล้วนะจ๊ะ ศึกษาคำสอนเพื่อเข้าใจตัวจริงธัมมะตรงจริงที่กายตนเองทีละ1ทางจากการตามรู้สัจจะที่กายใจมีตามเสียง |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 13 เม.ย. 2019, 00:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: โลกสวย เขียน: Rosarin เขียน: โลกสวย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: อยากคิดอะไรก็คิดไปนะคะ ความจริงไม่เป็นไปตามความคิดของใคร โยฯคำสอนมาใส่ตัวให้มันตรงจะได้เข้าใจถูกตรงทางตามคำสอนได้ ไม่ใช่เหมาเอาว่าที่ไปอ่านพระไตรปิฎกมาแล้วท่องจำทุกคำได้เป็นปัญญาของตัวเอง555 เข้าใจไหมว่ากำลังเห็นผิดมีสัญญาจำผิดตามตัวอักษรว่าตัวเองรู้สภาวะล่วงหน้าจะได้เลือกทำได้ตามที่อ่าน ปัญญาเจตสิกไม่ใช่สัญญาเจตสิกและความจริงตรงสัจจะไม่ใช่เวทนาเจตสิกเพราะเวทนาไม่ใช่สังขารขันธ์ ปัญญาคือสังขารขันธ์/ความจำคือสัญญาขันธ์/และทุก1ขณะจิตมีครบทั้ง5ขันธ์มีแล้ว...ฮู้บ่อ...ตัวตนไม่ได้ทำ ทุกอย่างตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากำลังมีและกำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตรงตามที่ทรงตรัสรู้ทุกคำ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้วที่ไม่มีใครสามารถคิดได้เองต้องรอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมาสั่งสอน ทรงสั่งไว้ว่าให้ฟังด้วยความไม่ประมาทเพราะธัมมะกำลังเกิดดับตั้งมั่นตรงทางเป็นไปตามที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว คุณยายโรสค๊ะ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ จู่ๆปัญญาเกิดขึ้นโด่ๆ อันนั้นคุณยายคิดไปเอง ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ผิดพลาดคลาดเคลื่อนมหันต์ อีกแล้วค่ะ เรียนหนังสือฟังยังไงล่ะ ขำคนไม่รู้จักฟังตามคำสอน สุตมยปัญญาทำยังไงฟังเป็นไหม555 https://youtu.be/E3Mndb1H-pQ คริคริ ที่ถูกต้อง ตามพระอภิธรรม คือ ปัญญาเจตสิก จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก เป็น อัญญมัญญะปัจจัย ค่ะ ถึงเกิดขึ้นได้ แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระธรรมที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก เป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่ ยู๊ทู๊ป คุณยายโรสฟังเป้นมั๊ยค๊ะ ว่ายู๊ทู๊ป ไม่ใช่พระศาสดา สอนมาผิดๆๆ จำมาผิดๆๆ ขัดแย้งพระอภิธรรม แค่เห็นยังไม่มีปัญญารู้เลยว่าตัวเองเห็นอะไร ยังเอาแต่คิดผิดๆท่องบัญญัติคำเอามาเขียนให้ดูเหมือนมีปัญญา สัญญาจำทุกอย่างที่เห็นแต่ที่กำลังเห็นไม่มีตัวอักษรให้คิดเห็นตามที่อ่านได้ยินมันมืด ก็การอ่านคือการคิดตามตาเนื้อกิเลสเห็นว่ามีตัวอักษรแล้วคิดตามตัวอักษรท่องจำไว้เยอะ จนไม่รู้ว่าปัญญาเจตสิกเกิดตรงขณะพร้อมจิตได้ยินตอนเข้าใจความจริงตรงตามคำสอนที่กายใจกำลังมี ไม่ใข่การท่องเรื่องราวที่ไปอ่านแล้วเอาเก็บมาคิดว่าต้ิงมีตัวตนของเราไปทำตามหนังที่เขาฉายภาพให้เห็น ดาราแสดงว่าเป็นพระพุทธเจ้านั่งหลับตาทำสมาธิเลยเลียนแบบตามตามกันเสียยกใหม่เห็นผิดจำผิดคิดผิด จะให้ว่าไงดีคะ...แถมมีบางคนตั้งตนเป็นตถาคตองค์ที่2ทำนายว่าพระอรหันตสาวกตรัสรู้ได้โดยไปนั่งหลับตา โอ๊ยขำกลิ้งนอกจากจะไม่รู้ยังจำทุกคำแค่สัญญาน่ะ...ตัวจริงธัมมะดับไป1ล้านดวงจิตตั้งแสนครั้งแล้วนะจ๊ะ คริคริ คุณยายโรสเอาอีกแล้ว นี่แหละไม่รู้จริงๆเรย ว่า ตาทำหน้าที่อะไร แถมท่องจำยูท๊ปมาผิดๆ ไม่ตรงตามพระอภิธรรม ผิดมหันต์อีกแวัว ตัวจริงธรรมะ น่ะ เกิดไป1 ล้านดวงจิตแสนครั้ง แล้วจึงดับไป เม ขำๆๆ กลิ้งเรย สอนมาได้แต่ ดับ ๆๆๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 13 เม.ย. 2019, 00:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
ดูก็ปกตินะ กำลังเห็นอยู่ เป็นเราเห็นผิด จำผิดว่ามีตัวอักษร คิดตามตาเห็นผิดอยู่ค่ะ ตอนคิดมืด...ตอนเห็นสว่าง คิดตามตัวอักษรมีแสงตาไม่บอดไม่เห็นเหรอคะ555 |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 13 เม.ย. 2019, 00:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: Kiss ดูก็ปกตินะ กำลังเห็นอยู่ เป็นเราเห็นผิด จำผิดว่ามีตัวอักษร คิดตามตาเห็นผิดอยู่ค่ะ ตอนคิดมืด...ตอนเห็นสว่าง คิดตามตัวอักษรมีแสงตาไม่บอดไม่เห็นเหรอคะ555 ไม่ใช่ค่ะยาย ตาเห็น ไม่ใช่ความปกติ แต่ผิดปกติ จำไม่ใช่ความปกติ แต่ผิดปกติ คิดตามตา มีสองแบบ คือ คิดถูก และคิดผิด ตอนคิดน่ะจิตเกิดสว่าง แต่ตอนเห็นจิตดับมืด แต่ใจสว่างเพราะไม่มีไรบดบัง แบบนี้ค่ะ เอาหละเมจะเดินทาง คงไม่ได้เข้ามาค่ะ จุ๊ฟๆ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 เม.ย. 2019, 05:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
ลัทธิ ความเชื่อถือ, ความรู้และประเพณีที่ได้รับ และปฏิบัติสืบต่อกันมา ลัทธิสมัย สมัยคือลัทธิ หมายถึงลัทธินั่นเอง ลัฏฐิวัน สวนตาลหนุ่ม (ลัฏฐิ แปลว่า ไม้ตะพด ก็ได้ บางท่านจึงแปลว่า ป่าไม้รวก) อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงราชคฤห์ พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่นั่น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าพร้อมด้วยราชบริพารจำนวนมาก ทรงสดับพระธรรมเทศนา ได้ธรรมจักษุ ประกาศพระองค์เป็นอุบาสกที่นั่น ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญารู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา |
เจ้าของ: | Rosarin [ 13 เม.ย. 2019, 09:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านิยามเรียกว่าธัมมะ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่ามีชั่วคราวสั้นแสนสั้นและดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลาที่ไม่มีความจำอันเก่าแต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่าเป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิตแต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่ามีตัวตนคิดพูดทำแปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัยและยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 เม.ย. 2019, 16:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: Kiss ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านิยามเรียกว่าธัมมะ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่ามีชั่วคราวสั้นแสนสั้นและดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลาที่ไม่มีความจำอันเก่าแต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่าเป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิตแต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่ามีตัวตนคิดพูดทำแปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัยและยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI สมแล้วที่เป็นลัทธิหลุมดำ คือเอาทิฏฐิความคิดความเห็นของตัวไปใส่ปากพระพุทธเจ้า ธรรม สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฎการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฎขึ้น |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 เม.ย. 2019, 16:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
เทศนา การแสดงธรรมสั่งสอนในทางศาสนา, การชี้แจงให้รู้จักดีรู้จักชั่ว, คำสอน มี ๒ อย่าง คือ ๑. บุคคลาธิษฐาน เทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๒.ธรรมาธิษฐาน เทศนา เทศนามีธรรมเป็นที่ตั้ง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 เม.ย. 2019, 18:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู |
เจ้าของ: | Rosarin [ 13 เม.ย. 2019, 23:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านิยามเรียกว่าธัมมะ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่ามีชั่วคราวสั้นแสนสั้นและดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลาที่ไม่มีความจำอันเก่าแต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่าเป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิตแต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่ามีตัวตนคิดพูดทำแปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัยและยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI สมแล้วที่เป็นลัทธิหลุมดำ คือเอาทิฏฐิความคิดความเห็นของตัวไปใส่ปากพระพุทธเจ้า ธรรม สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฎการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฎขึ้น คุณกรัชกายมีทั้งสมองแล้วก็ตาไม่ได้บอด ไม่รู้จักคิดถึงความปกติตามคำสอน เนี่ยคุณมีครบตาหูจมูกลิ้นกายใจ กำลังเกิดสลับกันครบทั้ง6ทาง ตามปกติตามเหตุตามปัจจัย มีแล้วไม่ได้มีใครทำขึ้นมา มันมีเป็นขันธ์ห้าครบแล้ว คือจิตเจตสิกรูปนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงรู้ถึงนิพพาน และแสดงความจริง ให้เข้าใจถูกว่ามันดับแล้ว ถึง1ล้านดวงจิตแสนครั้งแล้ว ไม่เข้าใจหรือคะว่าจิต89-121ประเภท กำลังมีและกำลังวิปลาสคลาดเคลื่อนไปต่างๆกัน ทุกคนที่คิดเห็นผิดไม่ได้คิดตามคำสอนอยู่ต้องคิดตามอยู่ ถ้าคุณไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนแสดงว่าคุณคิดตามตาเนื้อคุณเห็นผิด เห็นขณะแรกที่มีแสงสลับกับจิตที่ไม่เห็นอีก5ทางในความมืดมันสว่าง1มืดต่ออีก5 ดูไม่ชัดเหรอคุ๊นคุณเห็นสว่างตาแต่จิตคิดนึกมันมืดก็คุณคิดผิดว่าคุณเห็น+คิด/เห็นกับคิดคนละขณะจิตเด่วนี้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 15 เม.ย. 2019, 09:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านิยามเรียกว่าธัมมะ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่ามีชั่วคราวสั้นแสนสั้นและดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลาที่ไม่มีความจำอันเก่าแต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่าเป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิตแต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่ามีตัวตนคิดพูดทำแปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัยและยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI สมแล้วที่เป็นลัทธิหลุมดำ คือเอาทิฏฐิความคิดความเห็นของตัวไปใส่ปากพระพุทธเจ้า ธรรม สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฎการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฎขึ้น คุณกรัชกายมีทั้งสมองแล้วก็ตาไม่ได้บอด ไม่รู้จักคิดถึงความปกติตามคำสอน เนี่ยคุณมีครบตาหูจมูกลิ้นกายใจ กำลังเกิดสลับกันครบทั้ง6ทาง ตามปกติตามเหตุตามปัจจัย มีแล้วไม่ได้มีใครทำขึ้นมา มันมีเป็นขันธ์ห้าครบแล้ว คือจิตเจตสิกรูปนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงรู้ถึงนิพพาน และแสดงความจริง ให้เข้าใจถูกว่ามันดับแล้ว ถึง1ล้านดวงจิตแสนครั้งแล้ว ไม่เข้าใจหรือคะว่าจิต89-121ประเภท กำลังมีและกำลังวิปลาสคลาดเคลื่อนไปต่างๆกัน ทุกคนที่คิดเห็นผิดไม่ได้คิดตามคำสอนอยู่ต้องคิดตามอยู่ ถ้าคุณไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนแสดงว่าคุณคิดตามตาเนื้อคุณเห็นผิด เห็นขณะแรกที่มีแสงสลับกับจิตที่ไม่เห็นอีก5ทางในความมืดมันสว่าง1มืดต่ออีก5 ดูไม่ชัดเหรอคุ๊นคุณเห็นสว่างตาแต่จิตคิดนึกมันมืดก็คุณคิดผิดว่าคุณเห็น+คิด/เห็นกับคิดคนละขณะจิตเด่วนี้ คุณโรสตอบตรงๆคำถามนะ คือ คุณคิดว่า คุณได้อะไรจากความคิดความเห็นที่ว่ามาทั้งหมดนี่ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 17 เม.ย. 2019, 17:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้านิยามเรียกว่าธัมมะ ธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่ามีชั่วคราวสั้นแสนสั้นและดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลาที่ไม่มีความจำอันเก่าแต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่าเป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิตแต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่ามีตัวตนคิดพูดทำแปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัยและยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI สมแล้วที่เป็นลัทธิหลุมดำ คือเอาทิฏฐิความคิดความเห็นของตัวไปใส่ปากพระพุทธเจ้า ธรรม สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฎการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฎขึ้น คุณกรัชกายมีทั้งสมองแล้วก็ตาไม่ได้บอด ไม่รู้จักคิดถึงความปกติตามคำสอน เนี่ยคุณมีครบตาหูจมูกลิ้นกายใจ กำลังเกิดสลับกันครบทั้ง6ทาง ตามปกติตามเหตุตามปัจจัย มีแล้วไม่ได้มีใครทำขึ้นมา มันมีเป็นขันธ์ห้าครบแล้ว คือจิตเจตสิกรูปนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงรู้ถึงนิพพาน และแสดงความจริง ให้เข้าใจถูกว่ามันดับแล้ว ถึง1ล้านดวงจิตแสนครั้งแล้ว ไม่เข้าใจหรือคะว่าจิต89-121ประเภท กำลังมีและกำลังวิปลาสคลาดเคลื่อนไปต่างๆกัน ทุกคนที่คิดเห็นผิดไม่ได้คิดตามคำสอนอยู่ต้องคิดตามอยู่ ถ้าคุณไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนแสดงว่าคุณคิดตามตาเนื้อคุณเห็นผิด เห็นขณะแรกที่มีแสงสลับกับจิตที่ไม่เห็นอีก5ทางในความมืดมันสว่าง1มืดต่ออีก5 ดูไม่ชัดเหรอคุ๊นคุณเห็นสว่างตาแต่จิตคิดนึกมันมืดก็คุณคิดผิดว่าคุณเห็น+คิด/เห็นกับคิดคนละขณะจิตเด่วนี้ คุณโรสตอบตรงๆคำถามนะ คือ คุณคิดว่า คุณได้อะไรจากความคิดความเห็นที่ว่ามาทั้งหมดนี่ นั่งดูนั่งอ่านอยู่เนี่ยอ่ะค่ะ ไม่รู้จักความรู้สึกตามปกติ ที่กำลังเป็นไปตรงตามคำสอนรึ คิดช้าๆนะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนแปลว่า ไม่มีใครนับได้คือทำได้แค่ทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอน คือเพียรฟังเพื่อเข้าใจความจริงมีศรัทธาในการทำมรรคแรกตามคำสอนเริ่มมีปัญญายังไงล่ะคะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 22 เม.ย. 2019, 06:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลัทธิหลุมดำ |
กรัชกาย เขียน: สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไรจากลัทธิความเชื่อของตนที่ว่า (นอกจากภาพเบลอๆในใจ) นี้ Rosarin เขียน: ความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้า นิยามเรียกว่า ธัมมะ ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น และปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้นกำลังมีจริงๆไม่มีใครทำขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า มีชั่วคราว สั้นแสนสั้น และดับหายไปในจิต เกิดธัมมะใหม่ตลอดเวลา ที่ไม่มีความจำอันเก่า แต่ความยึดติดจำทุกอย่างเอาไว้ว่า เป็นอัตตา ไม่มีเราในปัจจัยที่กำลังปรุงแต่งจิต แต่เป็นอุปาทานขันธ์ว่า มีตัวตน คิด พูด ทำ แปลกออกไปจากปกติที่จำผิด วิปลาสไปจากความจริงตามเหตุปัจจัย และยึดมั่นทุกอย่างที่ตัวตนจดจำปรุงแต่งกิเลสให้มีกำลังโดยขาดสุตะ https://youtu.be/sp895DPPRHI ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา ๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา ๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา ๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา ๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้ “ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา "ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย... “ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย... “ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร” จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา *(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294) นั่นใช่ธรรมะไหม ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถ้าใช้ก็ลองเทียบกับคคห.คุณโรส ดู สุดท้ายคุณโรสจะไม่ได้อะไร...คืออะไร...พูดทุกคำที่ไม่รู้จักเลยนะ ถ้าทุกคนอ่านท่องจำคำสอนได้หมดแบบที่คุณก๊อปแปะมีปัญญาเท่าพระพุทธเจ้าหรือคะ555 ไปท่องจำตัวอักษรทำไมก็บอกแล้วอรรถบัญญัติต้องอาศัยฟังเสียงคือสัททะบัญญัติเพื่อเข้าถึงธัมมะ ไม่ใช่มีตัวตนของเราไปนั่งทำหลับตาเพราะตาไม่บอดหลับตานั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้สึกตัวไปตามสัททะบัญญัติ แล้วทำไมไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาให้คิดเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้ตามปกติทีละ1ทางตามเป็นจริงก่อน การอ่านเป็นการคิดนึกเกินเห็นตรง1ขณะตามคำสอนเป็นการ1เห็นผิด2จำผิด3ไม่รู้ตรงตามคำสอนทีละคำ ตาดูหูฟังดูความจริงเทียบตามตำราโดยไม่ขาดการคิดตามตรงคำตรงสัจจะที่กายใจกำลังมีคือพึ่งคำตถาคต เพื่อทำความคิดเห็นให้ตรงตามคำสอนทีละ1ทางเพราะตัวจริงธัมมะแต่ละทางไม่เกิดปนกันไม่เกิดพร้อมกัน มันเกิดดับทีละ1ขณะจิตและเป็นคนละขณะจิตมี6ทางการสิกขาต้องคิดตรงตามทีละ1ทางตอนฟังคำตถาคต พึ่งคำสอนเพื่อให้รู้สึกตัวเกิดความคิดเห็นถูกตรงตามคำสอนตรง1สัจจะของแต่ละ1ทางที่มีไม่ปนทางกันทันที พึ่งคิดตามตรงคำตรงจริงตรงขณะตามคำสอนตรงกับตัวจริงธัมมะที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆที่กายใจตน เดี๋ยวนี้ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังมีเพราะมันเกิดดับถึงแสนล้านขณะจิตอยู่ตอนนี้คุณรู้สึกตัวตรง1ทางไหน |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |