ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57420
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  walaiporn [ 01 เม.ย. 2019, 20:47 ]
หัวข้อกระทู้:  ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

๔. ปัญญาสูตร

[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

เจ้าของ:  sssboun [ 01 เม.ย. 2019, 20:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

walaiporn เขียน:
๔. ปัญญาสูตร

[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

:b8: :b8: :b8:

ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ :b8:

เจ้าของ:  walaiporn [ 03 เม.ย. 2019, 21:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

sssboun เขียน:
walaiporn เขียน:
๔. ปัญญาสูตร

[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

:b8: :b8: :b8:

ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ :b8:






เห็นว่า คุณsssboun คงไม่เข้าใจความหมายในพระสูตร


อธิบายมาสิว่า เมื่ออ่านพระสูตรนี้แล้ว ทำไมจึงให้เกิดความคิดแบบนี้ "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

เจ้าของ:  sssboun [ 03 เม.ย. 2019, 21:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

walaiporn เขียน:
sssboun เขียน:
walaiporn เขียน:
๔. ปัญญาสูตร

[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

:b8: :b8: :b8:

ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ :b8:






เห็นว่า คุณsssboun คงไม่เข้าใจความหมายในพระสูตร


อธิบายมาสิว่า เมื่ออ่านพระสูตรนี้แล้ว ทำไมจึงให้เกิดความคิดแบบนี้ "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

ผมหมายความว่าคนที่ปฏิบัติ ธรรมทั่วไปครับ ไม่ได้หมายความพระสูตร

เจ้าของ:  sssboun [ 03 เม.ย. 2019, 22:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

ความหมาย คุณ จขกท ก็บอกไว้แล้วนี่ครับ ว่า ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

และไม่จำเป็นอะไรจะต้องแปลความหมายเลย

เจ้าของ:  walaiporn [ 03 เม.ย. 2019, 22:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

sssboun เขียน:
walaiporn เขียน:
sssboun เขียน:
walaiporn เขียน:
๔. ปัญญาสูตร

[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

:b8: :b8: :b8:

ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ :b8:






เห็นว่า คุณsssboun คงไม่เข้าใจความหมายในพระสูตร


อธิบายมาสิว่า เมื่ออ่านพระสูตรนี้แล้ว ทำไมจึงให้เกิดความคิดแบบนี้ "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

ผมหมายความว่าคนที่ปฏิบัติ ธรรมทั่วไปครับ ไม่ได้หมายความพระสูตร






อ่อ ... ชอบจ้อไปเรื่อย
ตามสบายค่ะ

เจ้าของ:  sssboun [ 03 เม.ย. 2019, 22:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

sssboun เขียน:
เริ่มออกเดินทางสู่หนทางแห่งบุญกันบ้างหรือยังครับ

Quote Tipitaka:
๗. อัพภานุโมทนมัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา


สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องเสียเงินทองก็ได้บุญ หรือจะเรียกอีกชื่อ
ว่า มุทิตาจิต คือยินดีกับสัตว์หรือบุคคลที่เค้าได้ดีมีสุข มีความเจริญครับ


ผมก็ทำตามคำสั่งสอนของพระอริยเจ้าครับ เรียนรู้แล้วลงมือปฏิบัติถึงจะ
ได้รับผล

เจ้าของ:  walaiporn [ 03 เม.ย. 2019, 22:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

จ้า .. ตามสบายจ้า :b32:

เจ้าของ:  walaiporn [ 04 เม.ย. 2019, 07:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

"เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ขำ และแนวออกขำๆ
ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ"


walaiporn เขียน:
จ้า .. ตามสบายจ้า :b32:









sssboun เขียน:
ความหมาย คุณ จขกท ก็บอกไว้แล้วนี่ครับ ว่า ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

และไม่จำเป็นอะไรจะต้องแปลความหมายเลย


โมฆบุรุษ











walaiporn เขียน:

สำหรับผู้ที่ยังมีสักกายทิฏฐิ และผลของการที่มียังสักกายทิฏฐิ
คือ ทำให้ตนติดอยู่ในความหมุนเวียนของวัฏฏสงสาร


เมื่อเห็นเป็นตัวตนขึ้นมา สิ่งที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ) ที่มีผลกระทบให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(มโนกรรม)
โดยมีตัณหาเป็นแรงผลักดัน จึงกระทำตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น
โดยการปล่อยออกไปทางกาย วาจา (ชาติ)


เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้




รวมทั้ง การกระทำที่คิด(มโน)เอาเองว่า นี่เป็นกุศล นี่เป็นอกุศล
ส่วนผลที่ได้รับ ไม่ควรคาดเดา

เจ้าของ:  walaiporn [ 04 เม.ย. 2019, 13:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

ถ้ายังอโยนิโสมนสิการ

viewtopic.php?f=1&t=57405&p=444252#p444252



เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของผู้ที่ยังถูกตัณหาครอบงำอยู่

เจ้าของ:  walaiporn [ 06 เม.ย. 2019, 09:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

๓. เสรีววาณิชชาดก
ว่าด้วยเสรีววาณิช


[๓] ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้
ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลังสิ้นกาลนาน ดุจพาณิชชื่อเสรีวะผู้นี้ ฉะนั้น.


จบ เสรีววาณิชชาดกที่ ๓.




บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ เจ นํ วิราเธสิ สทฺธมฺมสฺส นิยามกํ ความว่า หากท่านพลาด
คือ ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค กล่าวคือความแน่นอนแห่งพระสัทธรรมอย่างนี้ ในศาสนานี้
อธิบายว่า ท่าน เมื่อละความเพียร จะไม่บรรลุคือไม่ได้.

บทว่า จิรํ ตุวํ อนุตปฺเปสิ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านเมื่อเศร้าโศก คือรํ่าไรอยู่ตลอดกาลนาน
ชื่อว่าจักเดือดร้อนใจภายหลัง ในกาลทุกเมื่อ.

อีกอย่างหนึ่ง ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ท่านเกิดในนรกเป็นต้น เสวยทุกข์มีประการต่างๆ ตลอดกาลนาน
ชื่อว่าจักเดือดร้อนใจภายหลัง คือชื่อว่าจักลำบาก เพราะความเป็นผู้ละความเพียร คือเพราะความเป็นผู้พลาดอริยมรรค.

เจ้าของ:  walaiporn [ 06 เม.ย. 2019, 10:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

การเจริญสมถะและวิปัสสนา


viewtopic.php?f=1&t=57440&p=444396#p444396

เจ้าของ:  walaiporn [ 06 เม.ย. 2019, 11:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

walaiporn เขียน:

จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง

เจ้าของ:  walaiporn [ 07 เม.ย. 2019, 20:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

ตรงนี้เป็นเรื่องของผู้ที่ติดอุปกิเลส เพียงแต่ว่า ไม่รู้ว่าว่าติดกับดักหลุมพรางของกิเลส

การให้ความสำคัญแบบเข้าใจผิดเรื่อง มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ


ข้อความนำมาจาก

...................................................................................

สมาธิลืมตา

สมาธิ ที่กำหนดจิตให้สงบนิ่งอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่รู้อารมณ์
หรือการปลีกวิเวกเพื่อกันความวุ่นวายออกไปให้พ้นจากจิตใจ
เช่น ทำความสงบอยู่กับลมหายใจ จิตไหลออกไปแช่ในอวัยวะที่เคลื่อนไหวขณะก้าวเดิน
หรือมือที่ยกตามจังหวะ เท้าที่ก้าวเดินเป็นต้น สมาธิแบบนี้ไม่มีปัญญา ได้แต่ความสงบ (มิจฉาสมาธิ)

แต่สมาธิที่จะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้น คือ การที่จิตสงบอยู่ภายในไม่ส่งออกหรือไหลไปกับสิ่งภายนอกเมื่อมีการกระทบกับประสาทสัมผัส ต่างๆ เช่นขณะที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัสรู้ หรือ ใจกำลังคิดสิ่งต่างๆ
สมาธิแบบนี้มีปัญญาทำให้พ้นทุกข์ ท่านเรียกว่า สัมมาสมาธิ"

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... vHO2zc6DYM

...........................................................................................

เจ้าของ:  walaiporn [ 08 เม.ย. 2019, 20:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

walaiporn เขียน:
"เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ขำ และแนวออกขำๆ
ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ"

walaiporn เขียน:
จ้า .. ตามสบายจ้า :b32:



sssboun เขียน:
ความหมาย คุณ จขกท ก็บอกไว้แล้วนี่ครับ ว่า ความเสื่อมไปจากปัญญาและเรื่องเล่า

และไม่จำเป็นอะไรจะต้องแปลความหมายเลย


โมฆบุรุษ



walaiporn เขียน:

สำหรับผู้ที่ยังมีสักกายทิฏฐิ และผลของการที่มียังสักกายทิฏฐิ
คือ ทำให้ตนติดอยู่ในความหมุนเวียนของวัฏฏสงสาร


เมื่อเห็นเป็นตัวตนขึ้นมา สิ่งที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ) ที่มีผลกระทบให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(มโนกรรม)
โดยมีตัณหาเป็นแรงผลักดัน จึงกระทำตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น
โดยการปล่อยออกไปทางกาย วาจา (ชาติ)


เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้




รวมทั้ง การกระทำที่คิด(มโน)เอาเองว่า นี่เป็นกุศล นี่เป็นอกุศล
ส่วนผลที่ได้รับ ไม่ควรคาดเดา






๒. อุทุมพริกสูตร (๒๕)


ดูกรนิโครธะ ก็อกุศลธรรมอันเป็นเครื่องเศร้าหมอง มีปรกติทำภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นผล
เป็นปัจจัยแห่งชาติชรามรณะต่อไป ซึ่งท่านยังละไม่ได้ มีอยู่ ที่เราจะแสดงธรรม
เพื่อละเสีย ธรรมเป็นเครื่องเศร้าหมอง อันท่านปฏิบัติแล้วอย่างไร จักละได้
ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความผ่องแผ้ว จักเจริญยิ่ง ท่านจักทำให้แจ้งซึ่งความบริบูรณ์
แห่งมรรคปัญญาและความไพบูลย์แห่งผลปัญญา ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกเหล่านั้น
เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ เหมือนถูกมารดลใจฉะนั้น ฯ


[๓๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พวก โมฆบุรุษ เหล่านี้
แม้ทั้งหมด ถูกมารดลใจแล้ว ในพวกเขาแม้สักคนหนึ่ง ไม่มีใครคิดอย่างนี้ว่า
เอาเถิด พวกเราจะพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม เพื่อความรู้ทั่วถึงบ้าง
เจ็ดวันจักทำอะไร ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันลือสีหนาท ในปริพาชการาม
ของพระนางอุทุมพริกาแล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส ปรากฏอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ สันธาน
คฤหบดีเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ในขณะนั้นเอง ดังนี้แล ฯ

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/