วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2019, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อันการแสดงสัมมาคารวะนั้น
แม้จะเหมือนเป็นการยกผู้ได้รับว่าสูง
และผู้ให้ว่าต่ำ แต่ที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น

ผู้แสดงสัมมาคารวะนั่นเอง
เป็นผู้ประกาศความสูงของตน
ให้ปรากฏแก่ตาผู้รู้ทั้งหลาย

ผู้ได้รับมีฐานะอย่างไร ก็คงอยู่ในฐานะเดิม
ไม่อาจสูงขึ้นได้ เพราะสัมมาคารวะที่ได้รับ

การแสดงสัมมาคารวะก็เป็นกรรม จึงเข้ากฎแห่งกรรม
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ ผู้ใดทำ ผู้นั้น
ย่อมได้รับ เมื่อสัมมาคารวะเป็นกรรมดี ผลดีจึงเกิดแก่ผู้ทำ

แม้มีความรู้สึกไม่อยากจะแสดงสัมมาคารวะเมื่อใด
ก็ควรนึกถึงความจริงนี้ ไม่มีใครไหนอื่นจะได้รับผลดี
จากการแสดงสัมมาคารวะ นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม ผู้แสดงความก้าวร้าว หยาบคาย
ไม่มีสัมมาคารวะ ก็ไม่มีใครไหนอื่น จะต้องกระทบ
กระเทือน นอกจากเจ้าตัวเองเท่านั้น"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ



วันเดือนปีไม่เคยทำดีทำชั่วให้ใคร ""..คนต่างหากที่เป็นผู้ทำดีทำชั่ว.."" แล้วเราจะไปโทษวันนั้นไม่ดีวันนี้ไม่ดีได้อย่างไร ก็คนนี่แหละที่ทำไม่ดี เพราะวันเดือนปีมันก็อยู่ของมันเฉยๆ
โอวาทธรรม หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์






“…พุทโธเป็นหัวใจของมหาสมัยสูตร…”

…มีพระสูตรพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงเป็นพระสูตรที่ใหญ่มากเรียกว่า “มหาสมัย” มหาสมัยนี่มีเทวดามาฟัง มาฟังพระสูตรมหาสมัยนี่เป็นโกฎิในครั้งนั้น แล้วเนื้อความของมหาสมัยนั่นย่อลงว่า

พุทฺธํ สรณํ คตาเส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ มานุสํ เทหํ เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ

นี่เป็นภาษาแขกแล้วก็จะแปลให้โยมฟังว่า “พุทฺธํ สรณํ คตาเส” ใครเล่ามาไหว้พระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง เอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

“พุทฺธํ สรณํ คตาเส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ” นะ แปลว่า “ไม่” น เต คมิสฺสนฺติ ไม่ไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่ สัตว์นรกไม่ไป “น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ”

“มานุสํ เทหํ” เทหัง แปลว่า “ละ” ละจากกายมนุษย์ “เทวกายํ” ได้กายเทพมาแทน…จบ

เทศน์ย่อว่าเทศน์ย่อ คือว่าหมายความว่า อธิบายอีกนิดหนึ่งว่า เมื่อเราเนี่ยภาวนาพุทโธใช่ไหม ภาวนาพุทโธแล้วป้องกันนรกได้แน่นอน นี่คือ “หัวใจของมหาสมัยสูตร” ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้เทวดาฟัง แต่มนุษย์ก็จำเอามา เทวดาเขาก็รู้ไป แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์เราก็จำเอามาทำเพราะว่าเราก็อยากเป็นเทวดาเหมือนกัน…

หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ






ตั้งสติ..ตั้งปัญญา
ระลึกรู้ใจของเราอยู่ตลอดเวลา
มันถึงจะเป็นไปได้
มันถึงจะมีที่พึ่งอันมั่นคงได้
ถ้าเราปล่อยจิตปล่อยใจไปตามเรื่องของอารมณ์ มันมาสัมผัสรับรู้ตลอดเวลา
ดีก็ไปตาม มันร้ายก็ไปตามมันล่ะ
โอ๊ย...""..ก็เหมือนเรือมันวนอยู่ในอ่าง..""

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล
วัดอนาลโยทิพยาราม จ.พะเยา





กำเนิดอัตตาตัวตน

- พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนมิได้เกิดอยู่ จนกว่าเมื่อไหร่มีความรู้สึกว่าตัวกูขึ้นมา คนจึงจะเกิด

- "การกิน" เกิดก่อนหรือว่า "ผู้กิน" เกิดก่อน ไอ้ลูกเด็กๆ หรือว่าอาจจะเป็นว่าที่เรียนมาอย่างพวกคุณนี่ก็จะตอบว่า มันต้องมีผู้กินก่อนมันจึงจะมีการกินได้ ถ้าอย่างนี้ก็ต้องตอบว่าบ้าเลย มันต้องมีการกินก่อนจึงจะมีคนกินใช่ไหม จึงมีผู้กินใช่ไหม เมื่อเรายังไม่ได้กินจะเรียกเราว่าผู้กินได้อย่างไร มันต้องมีการกินกันเสียก่อนมันจึงจะมีตัวผู้กิน นี่พระพุทธเจ้าท่านมองอย่างนี้

- กิเลสหรือความอยากนี่มันเกิดก่อน เกิดขึ้นในใจตามธรรมชาตินี่ก่อน มันจึงจะมีผู้อยากคือตัวกู

- รูปที่เห็นนั้นสมมติว่าสวยน่ารักนะ เวทนาที่เกิดขึ้นทางตานั้น ก็เป็นสุข เป็นความอร่อยทางตา มโนหรือจิตก็เข้ามาสัมผัสไอ้เวทนาชนิดนี้อีกทีหนึ่ง ก็เรียกว่าสัมผัสครั้งที่สอง โดยใจล้วนๆ มาสัมผัสเข้าที่เวทนาที่มีความอร่อยทางตา นี้ก็เรียกว่าตอนนี้เป็นตอนหัวเลี้ยวหัวต่อ ถ้าโง่ตอนนี้ก็เกิดอวิชชา ถ้าไม่โง่ตอนนี้ก็ไม่เกิดอวิชชา

- ถ้าโง่ตอนนี้เผลอไป สติไม่มีพอ อะไรไม่พอ อวิชชาก็มาผสมเข้าไปในการสัมผัสในเวทนานั้น เราจึงโง่ไปหลงรักมันเข้า อย่างนี้เรียกว่าตัณหา พอเกิดตัณหาแล้วก็จะเกิดสิ่งถัดไป คือ อุปาทาน เป็นความรู้สึกว่าตัวกู ได้สิ่งที่เอร็ดอร่อยทางตานี้ เรียกอุปาทาน ตัวกู มันตั้งต้นเกิดที่ตรงนี้

- พระพุทธเจ้าท่านว่า คนนี่เพิ่งเกิด ก่อนนี้มันมีแต่ความอยากหรือตัณหา พอเกิดความอยากแล้วมันทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกู ผู้อยาก หรือผู้ได้ ผู้เสีย มันจึงเกิดผู้อยากขึ้นมาทีหลังความอยาก

......................
ท่านพุทธทาสภิกขุ







โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้นแสนยาก

“…พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้แจ้งว่า โลกนี้จะพ้นโง่มันก็ยาก การที่จะได้เกิดเป็นคนนี่ยากที่สุด แล้วเป็นคนจะเอาคนชนิดไหน คนมีบุญ คนลำบาก คนพิการง่อยเปลี้ย จะหาคนสบายมีกี่คน ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมด อย่างเดียรัจฉานนี่มันกินกันเอง กัดกันเอง คนบ้าฆ่ากันเอง

กระดูกของแต่ละคนนี้ ท่านว่า กองเท่าภูเขา น้ำตาและเลือดของแต่ละชีวิต ที่ผ่านมามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร ! ดูซิ มันยาวนานแค่ไหน การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยาก ! อย่างที่ท่านเปรียบว่า

“เต่าตาบอด” มันจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ทะเลมีตาข่ายกั้นอยู่ และมีรู เท่าตัวเต่าอยู่รูเดียว ถ้าหัวไปโดนตาข่าย มันจะจมลงไปอีก ๑๐๐ ปี จึงจะได้โผล่มาใหม่ คือ จะลอดได้ มันต้องฟลุ๊คที่สุด แต่อย่างนั้น โอกาสก็ยังง่ายกว่าโอกาสจะได้เกิดมาเป็นคน และเป็นคนอยู่ในพระพุทธศาสนามันยาก ไม่พ้นวัฏสงสารไปได้…”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร