วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เรือใครเรือมัน (เจตนาใครเจตนามัน=กรรมใครกรรมมัน) แจวเองต่างคนต่างแจวพายงัดๆเอง จะแจวไปนรกไปสวรรค์นิพพานก็แจวไปตามอัธยาศัย จะแจวไปที่เจริญ แจวไปที่เสื่อมก็แจวไป แจวไปวัด แจวไปคุก เป็นต้น ก็แจวไป :b1: พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอก ส่วนการเดินทางนั้นเธอทั้งหลายต้องเดินเองทำกันเอง


อ้างคำพูด:
โลกสวยว่า
คริคริ

เรือเม มีทั้งสารถีผู้ล้ำเลิศ

แถมยังมีต้นหนผู้เจนจบรู้สิ่งทั้งปวง คอยดูทิศทางให้

เรยไม่ต้องแจวเอง


ถ้ายังงั้นก็ดี มือจะได้ว่างจิบเบียร์ คริกๆๆ


ก็ดีสิค๊ะ ล่วงเจตนาแจวไป ก็เรยทำกิจของปุถุชนได้ ทุกอย่างในเรือ

คริคริ


เอาเข้าไปขอรับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เรือใครเรือมัน (เจตนาใครเจตนามัน=กรรมใครกรรมมัน) แจวเองต่างคนต่างแจวพายงัดๆเอง จะแจวไปนรกไปสวรรค์นิพพานก็แจวไปตามอัธยาศัย จะแจวไปที่เจริญ แจวไปที่เสื่อมก็แจวไป แจวไปวัด แจวไปคุก เป็นต้น ก็แจวไป :b1: พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอก ส่วนการเดินทางนั้นเธอทั้งหลายต้องเดินเองทำกันเอง


อ้างคำพูด:
โลกสวยว่า
คริคริ

เรือเม มีทั้งสารถีผู้ล้ำเลิศ

แถมยังมีต้นหนผู้เจนจบรู้สิ่งทั้งปวง คอยดูทิศทางให้

เรยไม่ต้องแจวเอง


ถ้ายังงั้นก็ดี มือจะได้ว่างจิบเบียร์ คริกๆๆ


ก็ดีสิค๊ะ ล่วงเจตนาแจวไป ก็เรยทำกิจของปุถุชนได้ ทุกอย่างในเรือ

คริคริ


เอาเข้าไปขอรับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ :b32:


คริคริ

อกุศลกรรมบทสิบ ไม่มีห้ามกินเบียร์ ซดไวน์ อ่ะค๊ะ นอนซดในเรือได้เนาะ ดีกว่ากินน้ำทะเล

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห.คุณโรสที่่

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57345&start=135

อ้างคำพูด:
Rosarin
ในชีวิตไม่เคยจำ ว่า ไม่มีตัวเรา ของเรา เพราะไม่รู้ ว่า จริงๆแท้แล้วมีอะไรที่กำลังมีจริงๆ

จะทำอะไร ก็ทำไปด้วยจิตที่คิด ว่า ฉันทำเพื่อให้ตัวเองดี ทำเพื่อสิ่งดีๆ เกิดกับครอบครัว

ทำอะไรไม่เคยรู้สึกตัวตามคำสอน มีแต่คิด ว่า ฉันทำเพื่อตัวฉัน ลูกฉัน พ่อแม่ฉันมีความสุข

ไม่เคยจำถูกต้องตรงสัจจะตามคำสอน ว่า ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี ที่มีคือ อุปาทาน ว่า มีตัวตน


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ถามคุณโรสตรงๆนะ พึงตอบตรงๆจากใจ คือ ที่คุณโรสทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ทุกวี่วันเนี่ย คุณโรสทำเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร

1. ทำเพื่อตนเองและครอบครัว

2. ทำไปงั้นๆแหละ

สองข้อพอ ตอบข้อไหน 1 หรือ 2


เอามากท.นี้ดีฝ่า

ที่คุณโรสพูดมากรัชกายเข้าใจนะ แต่ผู้พูดเองกลับไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจชีวิตทั้งสองด้าน (เหมือนเหรียญสองด้าน - ถ้าพูดภาษาธรรมก็ว่า ด้านโลกียะ กับ ด้านโลกุตระ) เมื่อไม่เข้าใจแล้วพูด การพูดก็แย้งความคิดตัวเอง จึงเมื่อมีผู้ถามก็ไม่รู้จะออกทางไหน เรียกว่า "คิดเกินความรู้ตัวเอง" เมื่อยังรู้ไม่ถึงเข้าไม่ถึงได้แต่คิดคิดเลยไป เหตุได้ยินจากคนจากสำนักนั้นพูดให้ฟัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เรือใครเรือมัน (เจตนาใครเจตนามัน=กรรมใครกรรมมัน) แจวเองต่างคนต่างแจวพายงัดๆเอง จะแจวไปนรกไปสวรรค์นิพพานก็แจวไปตามอัธยาศัย จะแจวไปที่เจริญ แจวไปที่เสื่อมก็แจวไป แจวไปวัด แจวไปคุก เป็นต้น ก็แจวไป :b1: พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอก ส่วนการเดินทางนั้นเธอทั้งหลายต้องเดินเองทำกันเอง


อ้างคำพูด:
โลกสวยว่า
คริคริ

เรือเม มีทั้งสารถีผู้ล้ำเลิศ

แถมยังมีต้นหนผู้เจนจบรู้สิ่งทั้งปวง คอยดูทิศทางให้

เรยไม่ต้องแจวเอง


ถ้ายังงั้นก็ดี มือจะได้ว่างจิบเบียร์ คริกๆๆ


ก็ดีสิค๊ะ ล่วงเจตนาแจวไป ก็เรยทำกิจของปุถุชนได้ ทุกอย่างในเรือ

คริคริ


เอาเข้าไปขอรับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ :b32:


คริคริ

อกุศลกรรมบทสิบ ไม่มีห้ามกินเบียร์ ซดไวน์ อ่ะค๊ะ นอนซดในเรือได้เนาะ ดีกว่ากินน้ำทะเล



ขอรับ ตามสบายอยากทำอะไรก็ทำเรือของเรา คิกๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ กท.จาก 1000 ทิพมา เข้าท่าดี

สอบถามเรื่อง การกำหนดรู้รูปนาม และกำหนดคำว่าหนอ

อยากสอบถามว่า การปฏิบัติเจริญสติในสายหนอนั้น เราสามารถจะประยุกต์เติมคำว่า รูป หรือ นาม ลงไปนำหน้ากิริยาอาการนั้นๆได้หรือไม่

เช่น นั่งหนอ ก็เป็น รูปนั่งหนอ
เห็นหนอ ก็เป็น นามเห็นหนอ
โกรธหนอ เป็น นามโกรธหนอ
ดังนี้เป็นต้น...

หรือ กำหนดโดยความเป็นธาตุ ขันธ์ อายตนะ
เช่น เห็นหนอ เป็น วิญญาณจิตเห็นหนอ
ฟุ้งหนอ เป็น สังขารเจตสิก/สังขารขันธ์ฟุ้งหนอ
เดินหนอ เป็น รูปธาตุเดินหนอ
ดังนี้...

คือสรุปความว่า เอาศัพท์ทางอภิธรรมมาผสมผสานกับการกำหนดหนอได้ไหมครับ เพราะส่วนตัวผมเป็นคนมีจริตรักในการศึกษาอภิธรรมเป็นพิเศษ

พอเรากำหนดแต่อาการกิริยาอย่างเดียวก็รู้สึกโหวงๆเหมือนเปิดช่องให้อัตตาเข้ามา
กลายเป็นว่า "เราเดินหนอ เรานั่งหนอ" แบบนี้
ผมกลัวอัตตสัญญาในระหว่างการภาวนา จึงเอาประธานมาเติมหน้าเป็น รูปบ้าง นามบ้าง ขันธ์บ้าง เพื่อทำลายความเป็น "เรา" ครับ

แต่ก็ไม่ทราบว่ามันจะได้ผลการปฏิบัติตามอย่างครูบาอาจารย์ในสายนี้เขาหรือไม่

https://pantip.com/topic/38718856

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กท.ความเห็นข้างบน เขาเข้าใจสับสนปะปนกันระหว่างการปฏิบัติ กับ หลักอภิธรรม พอๆกับคุณโรส เป็นต้น ที่เรียนอภิธรรมมาอย่างเดียว (ไม่ศึกษาพระสูตรด้วย) แล้วก็ไม่เข้าใจความมุ่งหมายหลักของอภิธรรม พูดให้เห็นภาพก็ว่า ตัวเองยังอยู่ขั้นพระสูตร :b12: แต่ก็เขย่งจะเอาอภิธรรม (เทียบบัตรเขย่ง=อภิธรรมเขย่ง) :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูหลักนี่ก่อน น่าจะเห็นภาพหลักอภิธรรมได้ระดับหนึ่ง

วิภัชชวาที "ผู้กล่าวจำแนก" "ผู้แยกแยะพูด" เป็นคุณบท คือคำแสดงคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ทรงแสดงธรรม แยกแยะ แจกแจง ออกไปให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลาย เกิดจากส่วนประกอบย่อยๆ มาประชุมกันเข้าอย่างไร เช่น แยกแยะกระจายนามรูปออกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒

คำว่า รูป-นาม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ เป็นการพูดแบบอภิธรรม ซึ่งท่านจำแนกแจกแจงคน,มนุษย์ออกไปตามนั้น เพื่อให้แต่ละคนคลายความยึดติดถือมั่น เพื่อให้เห็นว่ามันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เราเขา เป็นเพียงรูปเพียงนาม เป็นธาตุ เป็นขันธ์ ฯลฯ เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ ที่สับสนเพราะเรานำมาปนกับเรื่องที่เราทำเราพูด

อาจมีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วเราปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐานในรูปแบบต่างๆเพื่ออะไร ? อันนี้ เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน ที่เราเรียน รูปนามขันธ์ ๕ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขานั่นน่า เรารู้จากการเรียนจากหนังสือ เป็นระดับสุตะ (ฟัง) ระดับจินตะ (คิด) ไม่ใช่ระดับภาวนา ซึ่งมันลึกกว่าสองระดับข้างต้น

ดูตัวอย่าง คคห.ล่างประกอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำมาฉายอีกรอบหนึ่ง เพราะเบาๆเห็นรอบด้าน

นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยง หมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัด ก็นั่ง ก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง
ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว

เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันที เพราะเป็นคนใจร้อน

คุณโรส แยกระหว่างคน (จขกท.) กับ รูป นาม (อภิธรรม) ออกจากกันได้ไหม ลองตอบสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เรือใครเรือมัน (เจตนาใครเจตนามัน=กรรมใครกรรมมัน) แจวเองต่างคนต่างแจวพายงัดๆเอง จะแจวไปนรกไปสวรรค์นิพพานก็แจวไปตามอัธยาศัย จะแจวไปที่เจริญ แจวไปที่เสื่อมก็แจวไป แจวไปวัด แจวไปคุก เป็นต้น ก็แจวไป :b1: พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอก ส่วนการเดินทางนั้นเธอทั้งหลายต้องเดินเองทำกันเอง


อ้างคำพูด:
โลกสวยว่า
คริคริ

เรือเม มีทั้งสารถีผู้ล้ำเลิศ

แถมยังมีต้นหนผู้เจนจบรู้สิ่งทั้งปวง คอยดูทิศทางให้

เรยไม่ต้องแจวเอง


ถ้ายังงั้นก็ดี มือจะได้ว่างจิบเบียร์ คริกๆๆ


ก็ดีสิค๊ะ ล่วงเจตนาแจวไป ก็เรยทำกิจของปุถุชนได้ ทุกอย่างในเรือ

คริคริ


เอาเข้าไปขอรับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ :b32:


คริคริ

อกุศลกรรมบทสิบ ไม่มีห้ามกินเบียร์ ซดไวน์ อ่ะค๊ะ นอนซดในเรือได้เนาะ ดีกว่ากินน้ำทะเล



ขอรับ ตามสบายอยากทำอะไรก็ทำเรือของเรา คิกๆๆๆ


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2019, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2019, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงกรานต์ รัฐบาลให้งดเล่นน้ำท้ายกระบะ แต่ตำรวจบอกเล่นได้

รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2375523


อีกไม่กี่วัน ก็จะรู้ว่าเจ้าของเรือแต่ละลำๆ จะพายงัดๆเรือที่ตัวเองรับผิดชอบกันไปทางไหนบ้าง เช่น ไปวัด ไปเมืองผี (เมรุ) ไปโรงพัก ไปคุก ฯลฯ รอดู ถ้าประมาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2019, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:



มรรค ในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกโก้ไว้

"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง น่ากลัวภัย แต่ฝั่งข้างโน้น ปลอดโปร่ง ไม่มีภัย ก็แล เรือ หรือสะพาน สำหรับข้ามไปฝั่งโน้น ก็ไม่มี บุรุษนั้นพึงดำริว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง ...ถ้ากระไร เราพึงเก็บรวมเอาหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามเอาด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี"

"คราวนั้น เขาจึง...ผูกแพ...ข้ามถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี ครั้น เขาได้ข้ามไป ขึ้นฝั่งข้างโน้นแล้ว ก็มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้ เราอาศัยแพนี้...ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นเทินบนหัว หรือแบกขึ้นบ่าไว้ ไปตามความปรารถนา"

"ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเห็นเป็นเช่นไร ? บุรุษนั้น ผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น หรือไม่?"

(ภิกษุทั้งหลาย ทูลตอบว่า ไม่ถูก จึงตรัสต่อไปว่า)

"บุรุษนั้นทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น ? ในเรื่องนี้ บุรุษนั้น เมื่อได้ข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้ว มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้... ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นไว้บนบก หรือผูกให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วจึงไปตามปรารถนา บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น นี้ฉันใด"

"ธรรม ก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า" (ม.มู.12/280/270)

"ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ (หลักการ ความเข้าใจธรรม) ที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ"(ม.มู.12/445/479)

(สมมติถึงฝั่งแล้ว สมมตินะ สมมติว่าเขารัก :b13: ว่าถึงฝั่งแล้ว ก็ไม่ต้องถึงกับเทินเรือ หรือแพไปไหนไปด้วยดอกหนักเปล่าๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:



มรรค ในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกโก้ไว้

"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง น่ากลัวภัย แต่ฝั่งข้างโน้น ปลอดโปร่ง ไม่มีภัย ก็แล เรือ หรือสะพาน สำหรับข้ามไปฝั่งโน้น ก็ไม่มี บุรุษนั้นพึงดำริว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง ...ถ้ากระไร เราพึงเก็บรวมเอาหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามเอาด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี"

"คราวนั้น เขาจึง...ผูกแพ...ข้ามถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี ครั้น เขาได้ข้ามไป ขึ้นฝั่งข้างโน้นแล้ว ก็มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้ เราอาศัยแพนี้...ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นเทินบนหัว หรือแบกขึ้นบ่าไว้ ไปตามความปรารถนา"

"ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเห็นเป็นเช่นไร ? บุรุษนั้น ผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น หรือไม่?"

(ภิกษุทั้งหลาย ทูลตอบว่า ไม่ถูก จึงตรัสต่อไปว่า)

"บุรุษนั้นทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น ? ในเรื่องนี้ บุรุษนั้น เมื่อได้ข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้ว มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้... ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นไว้บนบก หรือผูกให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วจึงไปตามปรารถนา บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น นี้ฉันใด"

"ธรรม ก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า" (ม.มู.12/280/270)

"ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ (หลักการ ความเข้าใจธรรม) ที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ"(ม.มู.12/445/479)

(สมมติถึงฝั่งแล้ว สมมตินะ สมมติว่าเขารัก :b13: ว่าถึงฝั่งแล้ว ก็ไม่ต้องถึงกับเทินเรือ หรือแพไปไหนไปด้วยดอกหนักเปล่าๆ)


เอาอีกแล้ว ไม่ใช่ผั่งแบบคุณลุงคิดไป
เพราะลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก

เรยไม่รู้ว่า พระพุทธองค์ ไม่ได้ขึ้นฝั่งไปตรัสรู้ที่ไหน
ไม่ได้เหาะไปขึ้นฝั่งที่ไหน แต่นั่งอยู่โคนไม้
ต้นอัสสัตถะ และต้นนี้ เปลี่ยน กลายเป็นศรีมหาโพธิค่ะ


smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:



มรรค ในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกโก้ไว้

"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง น่ากลัวภัย แต่ฝั่งข้างโน้น ปลอดโปร่ง ไม่มีภัย ก็แล เรือ หรือสะพาน สำหรับข้ามไปฝั่งโน้น ก็ไม่มี บุรุษนั้นพึงดำริว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง ...ถ้ากระไร เราพึงเก็บรวมเอาหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามเอาด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี"

"คราวนั้น เขาจึง...ผูกแพ...ข้ามถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี ครั้น เขาได้ข้ามไป ขึ้นฝั่งข้างโน้นแล้ว ก็มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้ เราอาศัยแพนี้...ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นเทินบนหัว หรือแบกขึ้นบ่าไว้ ไปตามความปรารถนา"

"ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเห็นเป็นเช่นไร ? บุรุษนั้น ผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น หรือไม่?"

(ภิกษุทั้งหลาย ทูลตอบว่า ไม่ถูก จึงตรัสต่อไปว่า)

"บุรุษนั้นทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น ? ในเรื่องนี้ บุรุษนั้น เมื่อได้ข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้ว มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้... ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นไว้บนบก หรือผูกให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วจึงไปตามปรารถนา บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น นี้ฉันใด"

"ธรรม ก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า" (ม.มู.12/280/270)

"ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ (หลักการ ความเข้าใจธรรม) ที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ"(ม.มู.12/445/479)

(สมมติถึงฝั่งแล้ว สมมตินะ สมมติว่าเขารัก :b13: ว่าถึงฝั่งแล้ว ก็ไม่ต้องถึงกับเทินเรือ หรือแพไปไหนไปด้วยดอกหนักเปล่าๆ)


เอาอีกแล้ว ไม่ใช่ผั่งแบบคุณลุงคิดไป
เพราะลุงกรัชกาย ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก

เรยไม่รู้ว่า พระพุทธองค์ ไม่ได้ขึ้นฝั่งไปตรัสรู้ที่ไหน
ไม่ได้เหาะไปขึ้นฝั่งที่ไหน แต่นั่งอยู่โคนไม้
ต้นอัสสัตถะ และต้นนี้ เปลี่ยน กลายเป็นศรีมหาโพธิค่ะ


smiley


ธรรมก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น
เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า

ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ



เป็นข้อความอุปมาอุปไมยจ้ะ

นี่ขนาดมีไม่กี่ตัวยังอ่านจับประเด็นไม่ได้ แล้วจะอ่านหนังสืออ่านบทความที่ยาวๆรู้เรื่องได้อย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:


นั่นแน้
คุณลุงมีอุปทาน เรยทำให้เกิดเจตนา ขนขวายในปฎิปทา ยึดเรือจากสารถี และต้นหนผู้ล้ำเลิศ
หันเรือเข้าหาภพ แล้ว

คริคริ


ยังไม่ถึงฝั่ง อย่าเพิ่งสละเรือ จะเป็นเหยื่อฉลาม :b32:



มรรค ในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกโก้ไว้

"ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง น่ากลัวภัย แต่ฝั่งข้างโน้น ปลอดโปร่ง ไม่มีภัย ก็แล เรือ หรือสะพาน สำหรับข้ามไปฝั่งโน้น ก็ไม่มี บุรุษนั้นพึงดำริว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่าหวาดระแวง ...ถ้ากระไร เราพึงเก็บรวมเอาหญ้า
ท่อนไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามเอาด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโน้นได้โดยสวัสดี"

"คราวนั้น เขาจึง...ผูกแพ...ข้ามถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี ครั้น เขาได้ข้ามไป ขึ้นฝั่งข้างโน้นแล้ว ก็มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้ เราอาศัยแพนี้...ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นเทินบนหัว หรือแบกขึ้นบ่าไว้ ไปตามความปรารถนา"

"ภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเห็นเป็นเช่นไร ? บุรุษนั้น ผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น หรือไม่?"

(ภิกษุทั้งหลาย ทูลตอบว่า ไม่ถูก จึงตรัสต่อไปว่า)

"บุรุษนั้นทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น ? ในเรื่องนี้ บุรุษนั้น เมื่อได้ข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้ว มีความดำริว่า แพนี้ มีอุปการะแก่เรามากแท้... ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นไว้บนบก หรือผูกให้ลอยอยู่ในน้ำ แล้วจึงไปตามปรารถนา บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กระทำถูกหน้าที่ต่อแพนั้น นี้ฉันใด"

"ธรรม ก็มีอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้ เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้ ฉันนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า" (ม.มู.12/280/270)

"ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ (หลักการ ความเข้าใจธรรม) ที่บริสุทธิ์ถึงอย่างนี้ ผุดผ่องถึงอย่างนี้ ถ้าเธอทั้งหลาย ยังยึดติดอยู่ เริงใจกระหยิ่มอยู่ เฝ้าถนอมอยู่ ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ เธอทั้งหลาย จะพึงรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว เพื่อมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือเอาไว้ ได้ละหรือ"(ม.มู.12/445/479)




ต่อให้อีกหน่อย น่าจะเข้าใจชัดขึ้นไหม

พุทธพจน์ทั้งสองแห่งนี้ นอกจากเป็นเครื่องเตือนไม่ให้ยึดมั่นในธรรมทั้งหลาย (แม้ที่เป็นความจริง ความถูกต้อง) โดยมิได้ถือเอาประโยชน์จากธรรมเหล่านั้นตามความหมาย คุณค่า และประโยชน์ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ข้อที่สำคัญยิ่งก็คือ เป็นการย้ำให้มองเห็นธรรมทั้งหลาย ในฐานะเป็นอุปกรณ์ หรือวิธีการที่จะนำไปสู่จุดหมาย มิใช่สิ่งลอยๆ หรือจบในตัว

ด้วยเหตุนี้ เมื่อปฏิบัติธรรมข้อใดข้อหนึ่ง จะต้องรู้ตระหนักชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ของธรรมนั้น พร้อมทั้งความสัมพันธ์ของมันกับธรมอย่างอื่นๆ ในการดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์นั้น

วัตถุประสงค์ในที่นี้ มิได้หมายเพียงวัตถุประสงค์ทั่วไปในขั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่หมายถึงวัตถุประสงค์เฉพาะตัวของธรรมข้อนั้นๆ เป็นสำคัญ ว่าธรรมข้อนั้นปฏิบัติ เพื่อช่วยสนับสนุนหรือให้เกิดธรรมข้อใด จะไปสิ้นสุดลงที่ใด มีธรรมใดรับช่วงต่อไป ดังนี้เป็นต้น

เหมือนการเดินทางไกลที่ต่อยานพาหนะหลายทอด และอาจใช้ยานพาหนะต่างกัน ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ จะรู้คลุมๆ เพียงว่าจะไปสู่จุดหมายปลายทางที่นั่นๆ เท่านั้นไม่ได้ จะต้องรู้ด้วยว่า ยานแต่ละทอดแต่ละอย่างนั้น ตนกำลังอาศัยเพื่อไปถึงที่ใด ถึงที่นั้นแล้ว จะอาศัยยานใดต่อไป ดังนี้ เป็นต้น *

การปฏิบัติธรรมที่ขาดความตระหนักในวัตถุประสงค์ ความเป็นอุปกรณ์ และความสัมพันธ์กับธรรมอื่นๆ ย่อมกลายเป็นการปฏิบัติที่เลื่อนลอย คับแคบ ตัน และที่ร้ายยิ่งคือ ทำให้เขวออกนอกทาง ไม่ตรงจุดหมาย และกลายเป็นธรรมที่เฉื่อยชา เป็นหมัน ไม่แล่นทำการ ไม่ออกผลที่หมาย

เพราะการปฏิบัติอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ความไขว้เขว และผลเสียหายต่างๆ จึงเกิดขึ้นแก่หลักธรรมสำคัญๆ เช่น สันโดษ อุเบกขา เป็นต้น


ที่อ้างอิง *

* พระสูตรที่ช่วยเน้นข้อความที่กล่าวมานี้ ได้แก่ รถวินีตสูตร ม.มู.12/292-300/287-297 ซึ่ง่แสดงให้เห็นวัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เฉพาะของธรรมแต่ละอย่าง ตามลำดับวิสุทธิ ๗

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร