วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๖.วิธีคิดแบบรู้ทันคุณ โทษ และทางออก

วิธีคิดแบบรู้ทันคุณโทษและทางออก หรือ พิจารณาให้เห็นครบทั้ง อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ

เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเน้นการยอมรับความจริงตามที่สิ่งนั้นๆ เป็นอยู่ทุกแง่ทุกด้าน ทั้งด้านดี ด้านเสีย และเป็นวิธีคิด ที่ต่อเนื่องกับการปฏิบัติมาก เช่น บอกว่า ก่อนจะแก้ปัญหา ต้องเข้าใจปัญหาให้ชัด และรู้ที่ไปให้ดีก่อน หรือ
ก่อนจะละสิ่งหนึ่งไปหาอีกสิ่งหนึ่ง ต้องรู้จักทั้งสองฝ่ายดีพอ ที่จะให้เห็นได้ว่า การละและไปหานั้น หรือ การทิ้งอย่างหนึ่งไปเอาอีกอย่างนั้น เป็นการกระทำที่รอบคอบ สมควร และดีจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัสสาทะ แปลว่า ส่วนดี ส่วนอร่อย ส่วนหวานชื่น คุณ คุณค่า ข้อที่น่าพึงพอใจ

อาทีนวะ แปลว่า ส่วนเสีย ข้อเสีย ช่องเสีย โทษ ข้อบกพร่อง (อาทีนพ ก็เขียน)

นิสสรณะ แปลว่า ทางออก ทางรอด ภาวะหลุดรอดปลอดพ้น หรือ สลัดออกได้ ภาวะที่ปลอดหรือปราศจากปัญหา มีความสมบูรณ์ในตัว ดีงามจริง โดยไม่ขึ้นต่อข้อดีข้อเสีย ไม่ขึ้นต่ออัสสาทะ และอาทีนวะ ของสิ่งที่เป็นปัญหาหรือภาวะที่สลัดออกมานั้น (นิสสรณ์ ก็ได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การคิดแบบนี้มีลักษณะที่พึงย้ำ ๒ ประการ

๑) การที่จะชื่อว่ามองเห็นตามเป็นจริงนั้น จะต้องมองเห็นทั้งด้านดี ด้านเสีย หรือทั้งคุณ และโทษของสิ่งนั้นๆ ไม่ใช่มองแต่ด้านดี หรือ คุณอย่างเดียว และไม่ใช่เห็นโทษหรือด้านเสียอย่างเดียว เช่น ที่ชื่อว่า มองเห็นกามตามเป็นจริง คือ รู้ทั้งคุณ และโทษของกาม *

๒) เมื่อจะแก้ปัญหา ปฏิบัติ หรือ ดำเนินมรรควิธีออกไปจากภาวะที่ไม่พึงประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น เพียงรู้คุณโทษ ข้อดี ข้อเสีย ของสิ่งที่เป็นปัญหา หรือ ภาวะที่ไม่ต้องการเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ
จะต้องมองเห็นทางออก มองเห็นจุดหมาย และรู้ว่า จุดหมาย หรือ ที่จะไปนั้น คืออะไร คืออย่างไร ดีกว่า และพ้นจากข้อบกพร่อง จุดอ่อน โทษ ส่วนเสีย ของสิ่งหรือภาวะที่เป็นปัญหาอยู่นั้นอย่างไร ไม่ต้องขึ้นต่อคุณโทษ ข้อดีข้อเสียแบบเก่าอีกต่อไปจริงหรือไม่ จุดหมาย หรือที่ไป หรือภาวะปลอดปัญหาเช่นนั้น มีอยู่จริง หรือ เป็นไปได้อย่างไร

อ้างอิง *

* เน้นว่า ไม่พึงเข้าใจความหมายของกามแคบๆอย่างสามัญในภาษาไทย ขอทำความเข้าใจด้วยตัวอย่าง เช่น ภิกษุรูปหนึ่งพบชาวบ้าน ก็ทักทายถามสุขทุกข์ของเขา และครอบครัวของเขา ถ้าไม่ถามด้วยเมตตา แต่มุ่งให้เขาชอบใจแล้วนิมนต์อยู่รับการอุปถัมภ์บำรุง เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า ปราศรัยเพราะอยากได้กาม (ธ.อ.4/42)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)

ถามใจดู ว่ายอมรับหรือเปล่า ว่า ได้พบสิ่งประเสริฐ แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)


ก็บอกอยู่หยกๆ นี่เป็นรูปสำเร็จ เหมือนรถที่เขาทำมาเรียบร้อยแล้ว ขับวิ่งได้เบย แต่ตอนเขาทำยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ชิ้นส่วนแต่ละอย่างๆ เหงื่อไหลใคลย้อย :b32:

แถมอีกหน่อย คนที่อ่านพระสูตรก็ทำนองนี้แหละ คิกๆๆ อ่านแล้วจะเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ได้เป็นเฒ่าแก่ เป็นนี่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ ต่อ :b13:

ทั้งนี้ ไม่พึงผลีผลามละทิ้งสิ่งที่คิดว่าเป็นปัญหา หรือ ผลีผลามปฏิบัติ เช่น พระพุทธเจ้า ทั้งที่รู้แจ่มแจ้งว่ากามมีข้อเสีย มีโทษมากมาย แต่ถ้ายังไม่เห็นนิสสรณะแห่งกาม ก็ไม่ยืนยันว่าจะไม่เวียนกลับมาหากามอีก *

"ภิกษุทั้งหลาย ก่อนสัมโพธิ เมื่อยังเป็นโพธิสัตว์ ผู้ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิดว่า อะไรหนอคือส่วนส่วนดี (อัสสาทะ) ในโลก อะไรคือส่วนเสีย (อาทีนวะ) อะไรคือทางออก (นิสสรณะ) ?
เรานั้นได้มีความคิดว่า ความสุขความฉ่ำชื่นใจ ที่เกิดขึ้นอาศัยสิ่งใดๆในโลก นี่คือส่วนดีในโลก
ข้อที่โลกไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้คือส่วนเสียในโลก
ภาวะที่บำราศฉันทราคะ เป็นที่ละฉันทราคะในโลกได้ (นิพพาน) นี้คือทางออกในโลก

อ้างอิง *
* นิสสรณะ ในที่นี้ คือ ปีติสุขที่ไม่ต้องอาศัยกาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)


ก็บอกอยู่หยกๆ นี่เป็นรูปสำเร็จ เหมือนรถที่เขาทำมาเรียบร้อยแล้ว ขับวิ่งได้เบย แต่ตอนเขาทำยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ชิ้นส่วนแต่ละอย่างๆ เหงื่อไหลใคลย้อย :b32:


คริคริ

พระพุทธองค์ สอนทั้งปัญญา และความเพียรหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อสอนใจ

เพราะใจ ไม่ยอมรับ เมื่อเจอทุกข์ ว่า เป็นสัจจะอันประเสรฺิฐ ไงค๊ะ

ก็สอนใจซะ ให้รู้ซะ ว่าไม่รู้เรย ว่า นี่คือธรรมอันประเสริฐ

วันไหนใจเห็นและยอมรับโดยดุษฎี ว่า ประเสริฐแท้

ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยะโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)


ก็บอกอยู่หยกๆ นี่เป็นรูปสำเร็จ เหมือนรถที่เขาทำมาเรียบร้อยแล้ว ขับวิ่งได้เบย แต่ตอนเขาทำยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ชิ้นส่วนแต่ละอย่างๆ เหงื่อไหลใคลย้อย :b32:


คริคริ

พระพุทธองค์ สอนทั้งปัญญา และความเพียรหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อสอนใจ

เพราะใจ ไม่ยอมรับ เมื่อเจอทุกข์ ว่า เป็นสัจจะอันประเสรฺิฐ ไงค๊ะ

ก็สอนใจซะ ให้รู้ซะ ว่าไม่รู้เรย ว่า นี่คือธรรมอันประเสริฐ

วันไหนใจเห็นและยอมรับโดยดุษฎี ว่า ประเสริฐแท้

ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยะโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ได้



เจอทุกข์แล้วเห็นเหตุแห่งทุกข์ยัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ ต่อ :b12:


"ภิกษุทั้งหลาย เราได้เที่ยวแสวงหาอัสสาทะของโลก อันใดเป็นอัสสาทะในโลก อันนั้นเราได้ประสบแล้ว อัสสาทะในโลกมีเท่าใด อัสสาทะนั้น เราได้ประสบแล้ว
อาทีนวะในโลก มีเท่าใด อาทีนวะนั้น เราได้เห็นเป็นอย่างดีแล้วด้วยปัญญา
เราได้เที่ยวแสวงหานิสสรณะของโลก อันใดเป็นนิสสรณะของโลก อันนั้นเราได้ประสบแล้ว นิสสรณะในโลกมีเท่าใด นิสสรณะนั้น เราได้เห็นเป็นอย่างดีแล้วด้วยปัญญา

"ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ประจักษ์ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะของโลก โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะ และซึ่งนิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะ ตราบใด
ตราบนั้น เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่าตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ....

"ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอัสสาทะจักมิได้มีในโลกแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงติดใจในโลก แต่เพราะอัสสาทะในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงติดใจในโลก
ถ้าอาทีนวะจักมิได้มีใน โลกแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงเบื่อหน่ายในโลก แต่เพราะอาทีนวะในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในโลก
ถ้านิสสรณะจักมิได้มีในโลกแล้ว ไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงสลัดออกได้จากโลก แต่เพราะนิสสรณะในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงสลัดออกจากโลกได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)


ก็บอกอยู่หยกๆ นี่เป็นรูปสำเร็จ เหมือนรถที่เขาทำมาเรียบร้อยแล้ว ขับวิ่งได้เบย แต่ตอนเขาทำยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ชิ้นส่วนแต่ละอย่างๆ เหงื่อไหลใคลย้อย :b32:


คริคริ

พระพุทธองค์ สอนทั้งปัญญา และความเพียรหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อสอนใจ

เพราะใจ ไม่ยอมรับ เมื่อเจอทุกข์ ว่า เป็นสัจจะอันประเสรฺิฐ ไงค๊ะ

ก็สอนใจซะ ให้รู้ซะ ว่าไม่รู้เรย ว่า นี่คือธรรมอันประเสริฐ

วันไหนใจเห็นและยอมรับโดยดุษฎี ว่า ประเสริฐแท้

ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยะโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ได้



เจอทุกข์แล้วเห็นเหตุแห่งทุกข์ยัง


คริคริ

สมุทัย สุดท้าย ต้องเห็นจากอรหัตมรรค ละสังโยชน์สิบ จนถึง นิโรธละสมุทัยหมดน๊าคร้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วๆไป คิดเห็นแต่ด้านดีด้านเดียว นึกว่าถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะดี จะเอาแต่ดี ไม่มองด้านเสียเลย

หรือ มีบ้างมองเห็นด้านดี กับ ด้านเสียแล้ว เห็นคุณเห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้ไม่เห็นทางออก ทีนี้เอาไงต่อ มันก็ติดวน ไม่ไหนไม่ได้ดิ เหมือนนกอยู่ในกรงไก่อยู่ในสุ่ม

รูปภาพ

อยากออกแต่ก็ออกไม่ได้


คริคริ

นี่แหละเป็นทั้งมรรค นิโรธ และตัดสมุทัย ทางออก ด้วยปัญญาอันแหลมคม


“ภิกษุนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ว่า ทุกข์คือดังนี้ "

พระพุทธองค์ ตรัสว่า อริยะสัจสี่ ก็คือ ความจริงอันประเสริฐ ไงค๊ะ

รู้ป่าว ว่าเจอสิ่งประเสริฐยิ่ง เข้าแล้ว ?

แค่นี้ นี่แหละ ภาคปฎิบัติ ของพระอริยะ สุขในธรรม ยิ้ม ได้ทันตาเห็น ด้วยปัญญายิ่ง

มัวแต่มาถามลุงกรัชกาย ปฎิบัติก็ไม่เป็น อีกสิบปี ก็ยิ้มไม่ออก เวลาเจอทุกข์ เห็นทุกข์

“เมื่อเธอมนสิการโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละเสียได้” (ม.มู.12/12/16)


ก็บอกอยู่หยกๆ นี่เป็นรูปสำเร็จ เหมือนรถที่เขาทำมาเรียบร้อยแล้ว ขับวิ่งได้เบย แต่ตอนเขาทำยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ชิ้นส่วนแต่ละอย่างๆ เหงื่อไหลใคลย้อย :b32:


คริคริ

พระพุทธองค์ สอนทั้งปัญญา และความเพียรหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อสอนใจ

เพราะใจ ไม่ยอมรับ เมื่อเจอทุกข์ ว่า เป็นสัจจะอันประเสรฺิฐ ไงค๊ะ

ก็สอนใจซะ ให้รู้ซะ ว่าไม่รู้เรย ว่า นี่คือธรรมอันประเสริฐ

วันไหนใจเห็นและยอมรับโดยดุษฎี ว่า ประเสริฐแท้

ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยะโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ได้



เจอทุกข์แล้วเห็นเหตุแห่งทุกข์ยัง


คริคริ

สมุทัย สุดท้าย ต้องเห็นจากอรหัตมรรค ละสังโยชน์สิบ จนถึง นิโรธละสมุทัยหมดน๊าคร้า



คนเป็นทุกข์จนตูดขมิบ ยังไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ในขณะนั้น แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ ท่านว่าดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

"ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายยังไม่รู้แจ้งประจักษ์ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะของโลก โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะ ซึ่งนิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะ ตราบใด
ตราบนั้น สัตว์ทั้งหลายก็ยังสลัดออก ไม่เกาะเกี่ยว หลุดพ้นจากโลก....เป็นอยู่ด้วยใจไร้เขตแดนไม่ได้
เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายรู้ประจักษ์ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะของโลก โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะ ซึ่งนิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะ
เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงจะสลัดออก ไม่เกาะเกี่ยว หลัดพ้นจากโลก...เป็นอยู่ได้ด้วยจิตใจไร้เขตแดน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ภิกษุทั้งหลาย สมณะทั้งหลายก็ดี พราหมณ์ทั้งหลายก็ดี เหล่าหนึ่งเหล่าใด ยังไม่รู้อัสสาทะของโลก โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะ ซึ่งนิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะ
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ก็ยังยอมรับไม่ได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะทั้งหลาย ยังยอมรับไม่ได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ทั้งหลาย และ
ท่านเหล่านั้น ก็ยังไม่ชื่อว่าประจักษ์แจ้งด้วยปํญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอรรถแห่งความเป็นสมณะหรือซึ่งอรรถแห่งความเป็นพราหมณ์” (องฺ.ติก.20/543-6/332-5)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ภิกษุทั้งหลาย ก่อนสัมโพธิ เมื่อยังเป็นโพธิสัตว์ ผู้ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิดว่า อะไรหนอคือส่วนดีของรูป อะไรเป็นส่วนเสีย อะไรเป็นทางออก
อะไรหนอคือส่วนดีของเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อะไรเป็นส่วนเสีย อะไรเป็นทางออก
เรายังไม่รู้ประจักษ์ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะของอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้น โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะ ซึ่งนิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะ ตราบใด
ตราบนั้น เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่า ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ.." (สํ.ข.17/59-60/34-6 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร