วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 13:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ ตุมฺหากํ โภชนํ ความว่า
สิ่งเช่นไร เป็นโภชนะของท่าน. บทว่า กึ สยานํ ความว่า สิ่งเช่นไร
เป็นที่นอนของท่าน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กึ สยานา ดังนี้ก็มี,
อธิบายว่า สิ่งเช่นไร เป็นที่นอนของท่าน คือ ท่านนอนในที่นอน
เช่นไร. บทว่า กถญฺจ ยาเปถ ความว่า ท่านยังอัตภาพให้เป็นไป

ด้วยประการไร. บาลีว่า กถํ โว ยาเปถ ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า ท่าน
ยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยอาการอย่างไร. บทว่า สุปาปธมฺมิโน
ได้แก่ ผู้มีบาปธรรม ด้วยดี คืออย่างยิ่ง. บทว่า ปหูตโภเคสุ
ความว่า เมื่อโภคะอันหาที่สุดมิได้ คืออย่างยิ่ง มีอยู่. บทว่า
อนปฺปเกสุ แปลว่า ไม่น้อย คือมาก. บทว่า สุขํ วิราธาย ได้แก่

เบื่อหน่าย คือไม่ยินดีความสุข เพราะไม่ทำบุญอันเป็นเหตุให้เกิด
ความสุข. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สุขสฺส วิราเธน ก็มี. บทว่า
ทุกฺขชฺช ปตฺตา ความว่า วันนี้คือบัดนี้ ท่านได้รับความทุกข์อัน
นับเนื่องในกำเนิดเปรตนี้.

เปรตทั้งหลาย ถูกสามเณรถามอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะแก้
ข้อความที่สามเณรถาม จึงได้ภาษิตคาถา ๕ คาถาว่า :-
ข้าพเจ้าทั้งสอง ตีซึ่งกันและกันแล้ว กิน
หนองและเลือดของกันและกัน ได้ดื่มหนองและ
เลือดเป็นอันมาก ก็ยังไม่หายอยาก มีความหิว
อยู่เป็นนิตย์ สัตว์ทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน ละไป
แล้ว เกิดในยมโลก ย่อมร่ำไรอยู่ เหมือนข้าพเจ้า

ทั้ง ๒ ฉะนั้น สัตว์เหล่าใดได้ประสพโภคะต่าง ๆ
แล้วไม่ใช้สอยเอง ไม่ทำบุญ สัตว์เหล่านั้น จัก
ต้องหิวกระหายในปรโลก ภายหลังถูกความหิว
แผดเผาไหม้อยู่สิ้นกาลนาน ครั้นทำกรรมทั้ง
หลายมีผลเผ็ดร้อน เป็นทุกข์ เป็นกำไรแล้ว ย่อม
ได้เสวยทุกข์ บัณฑิตทั้งหลาย รู้ทรัพย์และข้าว

เปลือกเป็นอย่างหนึ่ง รู้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ใน
มนุษยโลกนี้ เป็นอย่างหนึ่ง รู้ทรัพย์ ข้าวเปลือก
และชีวิตมนุษย์ เป็นอีกอย่างหนึ่ง จากสิ่งนอกนี้
แล้ว พึงทำที่พึ่งของตน ชนเหล่าใด เป็นผู้ฉลาด
ในธรรม ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว มา
รู้ชัดอย่างนี้ ชนเหล่านั้น ชื่อว่า ไม่ประมาทใน
ทาน.


ความจนนั้นน่ากลัว แต่ความเกลียดคร้านนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รอไรอยู่ แบบนี้ก็เพ่นสิขอรับ :b14:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ธาตา โหม ความว่า ข้าพเจ้า
ยังไม่หายอยาก คือ ยังไม่หายอิ่มหนำ. บทว่า นจฺฉาทิมฺหเส แปลว่า
ยังไม่อิ่มใจ, คือ ไม่ยังความชอบใจให้เกิดขึ้น, อธิบายว่า พวกเรา
ไม่ได้ดื่มหนองและเลือดนั้นตามความชอบใจของตน. บทว่า อิจฺเจว
แก้เป็น เอวเมว แปลว่า ฉันนั้นนั่นแล. บทว่า มจฺจา ปริเทวยนฺติ
ความว่า พวกมนุษย์แม้เหล่าอื่น ผู้ทำบาปไว้ ย่อมรำพัน ย่อม

คร่ำครวญ เหมือนพวกเรา. บทว่า อทายกา ได้แก่ เป็นผู้ไม่ให้
เป็นปกติ คือเป็นผู้ตระหนี่. บทว่า ยมสฺส €ายิโน ได้แก่ เป็นผู้มี
ปกติตั้งอยู่ ในฐานะแห่งพระยายม อันเข้าใจกันว่า ยมโลก คือ ใน
เปตวิสัย. บทว่า เย เต วิทิจฺจ อธิคมฺม โภเค ความว่า ชนเหล่านั้น
เหล่าใด ได้ประสบคือได้รับ โภคะต่าง ๆ อันเป็นความสุขพิเศษ
ในบัดนี้ และในต่อไป. บทว่า น กุญฺชเร นาปิ กโรนฺติ ปุฺํ
ความว่า ย่อมไม่บริโภค แม้ด้วยตนเองเหมือนพวกเรา เมื่อจะให้
แก่ชนเหล่าอื่น ก็ไม่ทำบุญอันสำเร็จด้วยทาน.

บทว่า เต ขุปฺปิปาสูปคตา ปรตฺถ ความว่า สัตว์เหล่านั้น
จะต้องถูกความหิวกระหายครอบงำ ในโลกหน้า คือ ในปรโลก
ได้แก่ในเปตวิสัย. บทว่า จิรํ ฌายเร ฑยฺหมานา ความว่า ถูกไฟ
คือทุกข์ อันมีความหิวเป็นต้น เป็นเหตุ คือ ถูกไฟคือความเดือดร้อน
อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า พวกเราไม่ได้กระทำกุศลไว้เลย ทำแต่
ความชั่ว ดังนี้ แผดเผาไหม้อยู่คือ ทอดถอนอยู่. บทว่า อนุโภนฺติ

ทุกฺขํ กฏุกปฺผลานิ ความว่า คนเหล่านั้นครั้นทำบาปกรรม อันมีผล
ไม่น่าปรารถนาแล้ว ย่อมเสวยทุกข์ คือทุกข์อันเป็นไปในอบาย
ตลอดกาลนาน.

บทว่า อิตฺตรํ ความว่า ไม่ตั้งอยู่ตลอดกาลนาน คือ ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. บทว่า อิตฺตรํ อิธ ชีวิตํ ความว่า
แม้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ในมนุษยโลกนี้ นิดหน่อย คือมีประมาณ
เล็กน้อย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ผู้ใดเป็นอยู่
ได้นาน ผู้นั้นก็เป็นอยู่เพียง ๑๐๐ ปี หรือเกินไปเพียงเล็กน้อย.

บทว่า อิตฺตรํ อิตฺตรโต ตฺวา ความว่า ใคร่ครวญด้วยปัญญาว่า
เครื่องอุปกรณ์มีทรัพย์และธัญญาหารเป็นต้น และชีวิตของมนุษย์
ทั้งหลาย มีนิดหน่อยคือ มีชั่วขณะ ได้แก่ไม่นาน. บทว่า ทีปํ
กยิราถ ปณฺฑิโต ความว่า บุรุษผู้มีปัญญา พึงทำเกาะคือที่พึ่ง

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ของตนให้เป็นที่ตั้งอาศัย แห่งหิตสุขในปรโลก. บทว่า เย เต เอวํ
ปชานนฺติ ความว่า ชนเหล่านั้น เหล่าใด ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
ว่า โภคะและชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นของนิดหน่อย ชนเหล่านั้น
ย่อมไม่ประมาทในทานตลอดกาลทุกเมื่อ. บทว่า สุตฺวา อรหตํ
วโจ ความว่า ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย คือของพระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น, อธิบายว่าเพราะฟัง. คำที่
เหลือ ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.

เปรตเหล่านั้น ถูกสามเณรถามแล้วอย่างนี้ จึงบอกความ
นั้นแล้ว ประกาศว่า พวกเราเป็นลุงและป้าของท่าน. สามเณรได้ฟัง
ดังนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ บันเทาความกลุ้มใจเสียได้ ซบศีรษะ
ลงที่แทบเท้าทั้ง ๒ ของพระอุปัชฌาย์แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ข้อที่ท่านผู้อนุเคราะห์ อาศัยความเอ็นดูพึงกระทำนั้น

เป็นอันท่านกระทำแล้ว แก่กระผม กระผมจะรักษาไว้ โดยไม่ให้
ตกไปสู่ความพินาศเป็นอันมาก, บัดนี้ เราไม่มีความต้องการ
ด้วยการครองเรือน เราจักยินดียิ่งในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
ลำดับนั้น ท่านสังกิจจะ ได้บอกกัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่อัธยาศัย
ของสามเณรนั้น. สามเณรนั้นหมั่นประกอบพระกัมมัฏฐาน ไม่นาน

นักก็บรรลุพระอรหัต. ฝ่ายท่านสังกิจจะ ได้กราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. พระศาสดา ทรงกระทำเรื่องนั้น
ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร แก่บริษัทผู้
พรั่งพร้อมแล้ว. พระเทศนานั้น ได้มีประโยชน์แก่มหาชนฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานาคเปตวัตถุที่ ๑๑

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อรรถกถาอุรคเปตวัตถุที่ ๑๒
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
อุบาสกคนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของอุบาสกคนหนึ่ง ได้ถึง
แก่กรรมลง. เพราะเหตุที่บุตรตายลง อุบาสกนั้น จึงถึงความ
เศร้าโศกร่ำไร ออกไปข้างนอก ไม่อาจจะทำการงานอะไร ๆ ได้
จึงอยู่แต่ในเรือนเท่านั้น. ครั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จ
ออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ทรงเห็นอุบาสกนั้น ในเวลาเช้า ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและ

จีวร ได้เสด็จไปยังเรือนของอุบาสกนั้นแล้ว ประทับยืนอยู่ที่ประตู.
ฝ่ายอุบาสก ทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ
แล้ว รับบาตรจากพระหัตถ์ แล้วให้เสด็จเข้าบ้าน ให้คนปูลาด
อาสนะถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะที่เขา
ปูลาดไว้แล้ว ฝ่ายอุบาสกไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ส่วน

ข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะอุบาสกนั้นว่า ดูก่อนอุบาสก
ทำไมจึงปรากฏดูเหมือนเศร้าโศกไป. อุบาสกกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุตรที่รักของข้าพระองค์ตายไป เพราะ
เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศก. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงบันเทาความเศร้าโศกของเขา จึงตรัสอุรคชาดกว่า :-

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ได้มี
ตระกูลพราหมณ์ ชื่อว่า ธรรมปาละ. ในตระกูลพราหมณ์นั้น
มีคนเหล่านี้คือ พราหมณ์ พราหมณี บุตร ธิดา ลูกสะใภ้ และทาสี
ทั้งหมดได้มีความยินดีในการเจริญมรณานุสสติ. บรรดาชนเหล่านั้น
คนผู้ที่จะออกไปจากเรือน จะให้โอวาทคนที่เหลือแล้ว ไม่ห่วงใย

ออกไป. ครั้นวันหนึ่ง พราหมณ์กับบุตรออกจากเรือนไปไถนา.
บุตร สุมหญ้าใบไม้และฟืนแห้ง ๆ อยู่. งูเห่าตัวหนึ่งในที่นั้น เลื้อย
ออกจากโพรงไม้ เพราะกลัวถูกเผาไฟจึงกัดบุตรคนนี้ของพราหมณ์.
เขาสลบไปเพราะกำลังพิษล้มลงตรงนั้นเอง ตายแล้ว เกิดเป็น

ท้าวสักกเทวราช. พราหมณ์เห็นบุตรตายแล้ว จึงพูดกะบุรุษคนหนึ่ง
ผู้เดินไปใกล้ที่ทำงานอย่างนี้ว่า สหายเอ๋ย ท่านจงไปเรือน
ของเรา แล้วบอกนางพราหมณีอย่างนี้ว่า จงอาบน้ำ นุ่งผ้าขาว

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ถือเอาภัตรและดอกไม้ของหอมเป็นต้น สำหรับคนผู้เดียวแล้วจง
รีบมา. บุรุษนั้นไปที่เรือนนั้นแล้ว บอกให้ทราบอย่างนั้น. ฝ่ายชน
ในเรือนก็ได้ทำตาม. พราหมณ์ อาบน้ำ บริโภคอาหารแล้วลูบไล้
มีชนบริวารห้อมล้อม ยกร่างของบุตรขึ้นเชิงตะกอน จุดไฟเผา
ไม่เศร้าโศก ไม่เดือดร้อน ได้ยืนมนสิการถึงอนิจจสัญญา เหมือน
เผาท่อนไม้.

ลำดับนั้น บุตรของพราหมณ์ บังเกิดเป็นท้าวสักกะ. และ
ท้าวสักกะนั้น ก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย. พระองค์
ทรงพิจารณาชาติก่อนของพระองค์ และบุญที่ได้ทำไว้ เมื่อจะ
อนุเคราะห์บิดาและพวกญาติ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาใน
ที่นั้น เห็นพวกญาติไม่เศร้าโศก จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญเผามฤค
จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าหิวจริง. พราหมณ์กล่าวว่า

ไม่ใช่มฤค แต่เป็นมนุษย์นะพราหมณ์. ท้าวสักกะกล่าวว่า ผู้นี้
เป็นศัตรูของพวกท่านหรือไง. พราหมณ์กล่าวว่า ไม่ใช่ศัตรู,
เขาเป็นบุตรรุ่นหนุ่ม มีคุณมาก เป็นโอรสเกิดในอก. ท้าวสักกะ
กล่าวว่า เมื่อบุตรรุ่นหนุ่มมีคุณเห็นปานนั้นตายไป ทำไมพวกท่าน
จึงไม่เศร้าโศกกันเล่า. พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกเหตุที่
ไม่เศร้าโศก จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-

บุตรของเรา ละสรีระอันคร่ำคร่าของตน
ไป เหมือนงูลอกคราบ เมื่อสรีระใช้สอยไม่ได้
ละไปแล้วทำกาละไปแล้วอย่างนี้ บุตรของเรา
เมื่อญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ถึงความร่ำไรของพวก
ญาติได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุรโค ความว่า ชื่อว่า อุรคะ
เพราะไปด้วยอก. คำว่า อุรโค นี้ เป็นชื่อของงู. บทว่า ตจํ ชิณฺณํ
ได้แก่ หนังคือคราบของตน อันคร่ำคร่าคือเก่า เพราะความ
ทรุดโทรม. บทว่า หิตฺวา คจฺฉติ สนฺตนุํ ความว่า งูลอกละทิ้ง
คราบเก่าของตนจากร่าง ในระหว่างต้นไม้ ในระหว่างไม้ฟืน

ในระหว่างโคนต้นไม้ หรือในระหว่างแผ่นหิน เหมือนคนถอดเสื้อ
แล้วไปตามความต้องการ ฉันใด สัตว์ผู้หมุนเวียนไปในสงสาร
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ละร่างของตน คือสรีระของตน อันชื่อว่า
เป็นของคร่ำคร่า เพราะกรรมเก่าหมดสิ้นไป คือ ไปตามกรรม,
อธิบายว่า อุบัติ โดยภพใหม่. พราหมณ์เมื่อจะแสดงถึงร่างกาย
ของบุตรที่กำลังพากันเผาอยู่ จึงกล่าวว่า เอวํ ดังนี้เป็นต้น. บทว่า

สรีเร นิพฺโภเค ได้แก่ เมื่อร่างกายแม้ของคนเหล่าอื่น ที่ใช้สอย
ไม่ได้อย่างนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนร่างกายของบุตรนี้. บทว่า
เปเต ได้แก่ ปราศจาก อายุ ไออุ่น และวิญญาณ. บทว่า กาลกเต สติ
ได้แก่ ตายไปแล้ว. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะร่างกายที่ถูกเผา
ย่อมไม่รู้สึกถึงการร้องไห้ ทั้งความร่ำไรของพวกญาติ เหมือน

บุตรของเรา ไม่รู้ความทุกข์ที่เกิดแต่การเผา เพราะปราศจาก
วิญญาณ ฉะนั้น เราทำบุตรคนนี้ของเราให้เป็นเหตุ จึงไม่ร้องไห้.
บทว่า คโต โส ตสฺส ยา คติ ความว่า หากว่า สัตว์ที่ตายไปแล้ว
ทั้งหลาย ไม่ขาดศูนย์ไซร้ ถึงกระนั้น ผู้ตายพึงหวังคติใด ด้วย

อำนาจกรรมที่มีโอกาสได้กระทำไว้ เขาก็ไปสู่คตินั้น ถัดจาก
การจุติทีเดียว, อธิบายว่า เขาย่อมไม่หวัง การร้องไห้ หรือความ
ร่ำไร ของพวกญาติคนก่อน ๆ ทั้งการร้องไห้ของพวกญาติคน
ก่อน ๆ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ๆ เสียโดยมาก.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เมื่อพราหมณ์ได้กล่าวถึงเหตุที่ตนไม่เศร้าโศก เมื่อได้
ประกาศถึงความฉลาดในมนสิการโดยปริยายอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะ
ผู้มาในรูปร่างพราหมณ์ จึงตรัสกะนางพราหมณีว่า แม่คุณผู้ตาย
นั้น เป็นอะไรกับท่าน. พราหมณีกล่าวว่า นาย เขาเป็นบุตร
ของฉัน ฉันบริหารครรภ์มาถึง ๑๐ เดือน ให้ดื่มน้ำนม ประคบ

ประหงมมือและเท้า จนเติบโต. ท้าวสักกะตรัสว่า ถ้าเมื่อเป็น
เช่นนี้ เริ่มแรกบิดา ไม่ร้องไห้ เพราะเขาเป็นผู้ชาย, แต่ธรรมดา
ว่ามารดามีหทัยอ่อนโยน เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ร้องไห้เล่า.
นางได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่ร้องไห้ จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-

บุตรของดิฉัน ดิฉันไม่ได้เชิญมาก็มาจาก
ปรโลกนั้น ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปแล้ว
จากมนุษยโลกนี้ เขามาอย่างใด เขาก็ไปอย่าง
นั้น ทำไมจะต้องไปร่ำไร ในการไปจากโลกนี้
ของเขาเล่า. เขาถูกพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึก
ถึงความร่ำไร ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉัน

จึงไม่ร้องไห้ถึงเขา, คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็
ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนพฺภิโต แปลว่า ไม่ได้เรียกมา
คือ ไม่ได้ร้องเรียกอย่างนี้ว่า เจ้าจงมาเป็นบุตรของเราเถิด. บทว่า
ตโต ได้แก่ จากปรโลกที่เขาเคยอยู่มาก่อน. บทว่า อาคา แปลว่า
มาแล้ว. บทว่า นานุฺาโต แปลว่า ไม่ได้อนุมัติ คือ พวกเรามิได้
ปล่อยไปอย่างนี้ว่า จงไปปรโลกเถิดพ่อ. บทว่า อิโต โยคว่า

อิธโลกโต แปลว่า จากโลกนี้. บทว่า คโต แปลว่า ไปปราศแล้ว.
บทว่า ยถาคโต ได้แก่ มาแล้วโดยอาการใด, อธิบายว่า พวกเรา
ไม่ได้เรียกก็มา. บทว่า ตถา คโต ได้แก่ ไปแล้ว โดยอาการนั้น
เหมือนกัน. พราหมณีแสดงถึงกรรมที่บุตรนั้นกระทำว่า เขามา
ด้วยกรรมของตนเองอย่างใด เขาก็ไปด้วยกรรมของตนเองอย่างนั้น.
บทว่า ตตฺถ กา ปริเทวนา ความว่า ทำไมจะไปมัวร่ำไร เพราะ
อาศัยความตายในการเวียนว่ายอยู่ในสงสาร ที่ไม่อยู่ในอำนาจ
อย่างนี้เล่า. พราหมณีแสดงว่า ความร่ำไรนั้น ไม่สมควร ผู้มีปัญญา
ไม่พึงกระทำ.

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 02:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:

อ่าน ช้าๆ ชัดๆ ที ละ คำ ทำ ไม่ได้ ต้องฟัง เพื่อ ให้รู้ เพิ่มขึ้น ตาม ลำดับ
เข้าใจความหมายของตามไหม ตามฟังทีละคำ เข้าใจตรงความหมาย
ตามลำดับ ทำตรงขณะคือจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยยุ่แล้ว
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่ม...ที่มีอยู่ตอนนี้คือกำลังมีกิเลสเพราะไม่ฟังยุ่
ประมาทการฟังย่อมไม่ได้ทำตามปัญญาตรงตามที่ตถาคตตรัส
ว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระธรรม
พระธรรมแทนศาสดาจะทำปัญญาต้องถูกทางตามลำดับ
ทำฟังตอนลืมตาตื่นรู้คือตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
คนละทางกับทำฌานค่ะคือฌานนั้นเริ่มหลับตาทำนะคะ
ตัวเองเป็นคนตรงไหม...รู้...ตาม...คำสอน...ของ...ตถาคต...ทุกคำ...ตรง1คำวาจาสัจจะตรงจริงที่กายกำลังมี
เริ่มทำปัญญาจากการฟังตรงตามคำสอนตรงปัจจุบันขณะฟังตรงทีละ1ทางจนกว่าจะเป็นผู้รู้ตรงทางเข้าใจบ่
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/yV1PnZYR7lw
สัญญาณเตือนให้ฟังดังตลอดเลยนะรู้ยังคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 04:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:

อ่าน ช้าๆ ชัดๆ ที ละ คำ ทำ ไม่ได้ ต้องฟัง เพื่อ ให้รู้ เพิ่มขึ้น ตาม ลำดับ
เข้าใจความหมายของตามไหม ตามฟังทีละคำ เข้าใจตรงความหมาย
ตามลำดับ ทำตรงขณะคือจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยยุ่แล้ว
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่ม...ที่มีอยู่ตอนนี้คือกำลังมีกิเลสเพราะไม่ฟังยุ่
ประมาทการฟังย่อมไม่ได้ทำตามปัญญาตรงตามที่ตถาคตตรัส
ว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระธรรม
พระธรรมแทนศาสดาจะทำปัญญาต้องถูกทางตามลำดับ
ทำฟังตอนลืมตาตื่นรู้คือตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
คนละทางกับทำฌานค่ะคือฌานนั้นเริ่มหลับตาทำนะคะ
ตัวเองเป็นคนตรงไหม...รู้...ตาม...คำสอน...ของ...ตถาคต...ทุกคำ...ตรง1คำวาจาสัจจะตรงจริงที่กายกำลังมี
เริ่มทำปัญญาจากการฟังตรงตามคำสอนตรงปัจจุบันขณะฟังตรงทีละ1ทางจนกว่าจะเป็นผู้รู้ตรงทางเข้าใจบ่
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/yV1PnZYR7lw
สัญญาณเตือนให้ฟังดังตลอดเลยนะรู้ยังคะ
:b32: :b32:

ฟังคลิปเสียงจากบ้านธรรมะแล้วจะมี กริยามารยาทอย่างนี้ ทิฏฐิวาทะอย่างนี้ มั้ยครับ
ถ้าฟังแล้วกลายเป็นแบบนี้ผมจะได้ไม่ฟัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เคยเข้าไปเปิดฟังดูเหมือนกัน ดูแม่สุจินนั้นท่านก็
เรียบร้อยดี อีกทั้งผู้ฟังทั้งหลายก็ดูสงบดี แต่ดูแล้วส่วนมาก
จะมีแต่คนสูงอายุนั่งฟังกัน คนหนุ่มสาวมีน้อยมากครับ

ผมก็ขออนุโมทนา กับแม่สุจิน กับจิตที่เป็นกุศลด้วยครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท้าวสักกะครั้นได้สดับคำของนางพราหมณีอย่างนี้แล้ว
จึงถามน้องสาวของเขาว่า แม่คุณ เขาเป็นอะไรกับเธอหรือ?
น้องสาวตอบว่า เขาเป็นพี่ชายของฉันจ๊ะนาย. ท้าวสักกะถามว่า
แน่ะแม่ ธรรมดาว่าน้องสาว จะต้องรักพี่ชาย เพราะเหตุไรเธอ
จึงไม่ร้องไห้เล่า. ฝ่ายนางเมื่อจะบอกเหตุที่ไม่ร้องไห้ จึงกล่าว
๒ คาถาว่า :-

ถ้าดิฉันร้องไห้ ก็จะผ่ายผอม ผลอะไรจะ
พึงมีแก่ฉัน ในการร้องไห้นั้น ความไม่สบายใจ
ก็จะพึงมีแก่ญาติมิตรและสหายยิ่งขึ้น. พี่ชาย
ของดิฉันถูกเผาอยู่ ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของ
พวกญาติเลย เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึง
เขา คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็ไปสู่คติอันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ โรเท กิสา อสฺสํ ความว่า
ถ้าเราจะพึงร้องไห้ คือ เราก็จะซูบผอม มีร่างกายเหี่ยวแห้ง.
บทว่า ตตฺถ เม กึ ผลํ สิยา ความว่า จะมีผลชื่อไร จะมีอานิสงส์
ชื่อไร ในการร้องไห้ ซึ่งมีการตายของพี่ชายฉันเป็นเหตุนั้น, อธิบาย
ว่า พี่ชายของฉันก็จะไม่พึงมา เพราะการร้องไห้นั้น ทั้งเขาก็จะ

ไม่ไปสู่สุคติ เพราะการร้องไห้นั้น. บทว่า ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ
ภิยฺโย โน อรตี สิยา ความว่า ความไม่สบายใจ คือความลำบาก
เท่านั้น แม้ที่ยิ่งกว่าความทุกข์ในเพราะการตายของพี่ชาย จะพึง
มีแก่ญาติ มิตร และสหาย ของพวกเรา เพราะความเศร้าโศกของ
ดิฉัน.

ท้าวสักกะ ได้สดับคำของน้องสาวอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าว
กะภริยาของเขาว่า เธอเป็นอะไรกะเขา? นางตอบว่า เขาเป็น
สามีของดิฉันจ๊ะนาย. ท้าวสักกะตรัสว่า นางผู้เจริญ ธรรมดาสตรี
ย่อมมีความเสน่หาในสามี และหญิงหม้ายในสามีนั้น ย่อมเป็นคน
ไร้ที่พึ่ง เพราะเหตุไร เธอจึงไม่ร้องไห้. ฝ่ายนาง เมื่อจะบอกเหตุ
ที่ตนไม่ร้องไห้ จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ผู้ใดเศร้าโศก ถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้
นั้นก็เปรียบเหมือนทารก ร้องไห้ถึงพระจันทร์
อันลอยอยู่ในอากาศ ฉะนั้น. สามีดิฉันถูกพวก
ญาติเผาอยู่ ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาก็ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารโก ได้แก่ เด็กอ่อน. บทว่า
จนฺทํ ได้แก่ ดวงจันทร์. บทว่า คจฺฉนฺตํ ได้แก่ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า.
บทว่า อนุโรทติ ความว่า ย่อมร้องไห้ว่า จงจับล้อรถให้ฉันเถิด.
บทว่า เอวํ สมฺปทเมเวตํ ความว่า ผู้ใดย่อมเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับ
ไปแล้ว คือ ตายไปแล้ว, ความเศร้าโศกของผู้นั้น ก็เปรียบเหมือน
อย่างนั้น คือเห็นปานนั้น, อธิบายว่า เหมือนมีความต้องการจะจับ
พระจันทร์ ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เพราะความอยากได้ในสิ่งที่
ไม่ควรจะได้.

ท้าวสักกะครั้นฟังคำภริยาของเขาอย่างนั้นแล้ว จึงถามทาสี
ว่า เธอเป็นอะไรกะเขา ? ทาสีตอบว่า เขาเป็นนายของดิฉันจ๊ะ.
ท้าวสักกะกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เธอคงจักถูกเขาโปยตีแล้ว
ใช้ให้ทำการงาน เพราะฉะนั้น เธอเห็นจะไม่ร้องไห้ ด้วยคิดว่า
เราพ้นดีแล้วจากเขา. นางทาสีกล่าวว่า นาย อย่าได้พูดอย่างนั้น

กะดิฉันเลย ทั้งข้อนั้นก็ไม่สมควรแก่ดิฉัน, บุตรของเจ้านายดิฉัน
พร้อมด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู เป็นอย่างยิ่ง ชอบกล่าว
ความถูกต้อง ได้เป็นเหมือนบุตรที่เติบโตในอก. ท้าวสักกะกล่าวว่า
เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร เธอจึงไม่ร้องไห้. ฝ่ายนางทาสี
เมื่อจะบอกเหตุที่ตนไม่ร้องไห้ จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่ท่านผู้เป็นเหล่ากอของพรหม หม้อ
น้ำที่แตกแล้ว จะพึงประสานให้ติดอีกไม่ได้
ฉันใด ผู้ใดเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้นั้นก็
เปรียบเหมือนฉันนั้น นายของดิฉันถูกพวกญาติ
เผาอยู่ ก็ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงท่าน คติอันใด
ของท่านมีอยู่ ท่านก็ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ พฺรหฺเม อุทกุมฺโภ ภินฺโน
อปฺปฏิสนฺธิโย ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ หม้อน้ำที่แตกไปด้วย
การทุบด้วยไม้ฆ้อนเป็นต้น จะประสานให้ติดกันอีกไม่ได้ คือจะ
ให้เป็นปกติอย่างเดิมไม่ได้. คำที่เหลือในคาถานี้ มีเนื้อความง่าย
ทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวไว้แล้ว.

ท้าวสักกะ ครั้นได้ฟังถ้อยคำของคนเหล่านั้นแล้ว มีจิต
เลื่อมใส จึงตรัสว่า ท่านทั้งหลาย เจริญมรณัสสติชอบทีเดียว ตั้งแต่
นี้ไป ท่านทั้งหลาย ไม่มีกิจที่จะทำมีการไถนาเป็นต้น ดังนี้แล้ว
จึงทำเรือนของชนเหล่านั้น ให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ โอวาทว่า

ท่านทั้งหลาย อย่าประมาทจงให้ทาน รักษาศีล ทำอุโบสถกรรม
และบอกให้คนเหล่านั้นรู้จักพระองค์แล้ว เสด็จไปสู่ที่ของพระองค์
แล. แม้ชนเหล่านั้น มีพราหมณ์เป็นต้น ทำบุญมีทานเป็นต้น ดำรง
อยู่ชั่วอายุแล้ว บังเกิดในเทวโลก.

พระศาสดา ครั้นทรงนำชาดกนี้มาแล้ว ทรงถอนลูกศร
คือความเศร้าโศกของอุบาสกนั้นแล้ว ทรงประกาศสัจจะให้สูง ๆ
ขึ้น. ในเวลาจบสัจจะ อุบาสก ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล.
จบ อรรถกถาอุรคเปตวัตถุที่ ๑๒
จบ ปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร