วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 10:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2019, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
เป็นเรื่องที่แปลกที่ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องภูติผีปีศาจเลย .... ไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี
เรื่องร้องให้ผมเป็นคนหนึ่งร้องให้ง่ายเหมือนคนอ่อนไหว ... แต่ร้องให้เมื่อมีความสุขตื้นตันใจเท่านั้น


วันนี้ผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาบ้างเหมือนกันได้ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานแล้ว
พิจารณาถึงคุณความดีของท่าน ความจริงผมจะไม่ปล่อยให้ออกก็ได้ ก็พอทำได้
เช่นกัน แต่ที่ปล่อยเพราะคิดเห็นว่าเพื่อล้างตาบ้างก็ดีนานๆครั้ง ถึงผมไม่เคยพบเจอ
แต่ผมก็เชื่อ 85% นอกนั้นก็เมื่อพบเจอด้วยตนเองแล้วถึงจะเชื่อครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2019, 20:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
เป็นเรื่องที่แปลกที่ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องภูติผีปีศาจเลย .... ไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี
เรื่องร้องให้ผมเป็นคนหนึ่งร้องให้ง่ายเหมือนคนอ่อนไหว ... แต่ร้องให้เมื่อมีความสุขตื้นตันใจเท่านั้น


วันนี้ผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาบ้างเหมือนกันได้ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานแล้ว
พิจารณาถึงคุณความดีของท่าน ความจริงผมจะไม่ปล่อยให้ออกก็ได้ ก็พอทำได้
เช่นกัน แต่ที่ปล่อยเพราะคิดเห็นว่าเพื่อล้างตาบ้างก็ดีนานๆครั้ง ถึงผมไม่เคยพบเจอ
แต่ผมก็เชื่อ 85% นอกนั้นก็เมื่อพบเจอด้วยตนเองแล้วถึงจะเชื่อครับ


ฟิลลิ่งนั้นแหละครับที่ผมเป็นบ่อยมาก ... ร้องให้กับความดีของคน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
เป็นเรื่องที่แปลกที่ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องภูติผีปีศาจเลย .... ไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี
เรื่องร้องให้ผมเป็นคนหนึ่งร้องให้ง่ายเหมือนคนอ่อนไหว ... แต่ร้องให้เมื่อมีความสุขตื้นตันใจเท่านั้น


วันนี้ผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาบ้างเหมือนกันได้ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานแล้ว
พิจารณาถึงคุณความดีของท่าน ความจริงผมจะไม่ปล่อยให้ออกก็ได้ ก็พอทำได้
เช่นกัน แต่ที่ปล่อยเพราะคิดเห็นว่าเพื่อล้างตาบ้างก็ดีนานๆครั้ง ถึงผมไม่เคยพบเจอ
แต่ผมก็เชื่อ 85% นอกนั้นก็เมื่อพบเจอด้วยตนเองแล้วถึงจะเชื่อครับ


ฟิลลิ่งนั้นแหละครับที่ผมเป็นบ่อยมาก ... ร้องให้กับความดีของคน


การร้องไห้นี้เป็นจุดเริ่มต้นของความดี เพราะเห็นตามความเป็นจริง
แล้วเกิดความดีใจ ปลื้มจนน้ำตาไหล หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเกิดปีติ
(ความปลื้มใจ, ความยินดี, ความอิ่มเอมใจ.) ผมเป็นครั้งแรกตอนอ่าน
ชาดกเรื่องพระเวสสันดร ตอนที่ท่านให้ทานลูก เมีย หลังจากนั้นก็เกิดอีก
หลายครั้ง แต่ครั้งที่แรงที่สุดนั้นก็คือพรรษาที่ ๒ หลังจากครั้งนั้นปัญญา

ก็สว่างแจ้งแทงปัญหาที่เคยสงสัยจนหมดสิ้น นี้หมายถึงปัญหาส่วนตัวของ
ผมนะครับ ที่แต่งคำต่างๆออกมาได้ก็หลังจากช่วงนั้นเองก่อนหน้านี้ยังไม่
มีความรู้อะไรเลยและไม่สามารถทำได้ และขอให้คุณ Love J.บวชครั้งนี้
ขอให้ได้เห็นดั่งที่ผมเห็นและได้ยิ่งๆกว่าผมนะครับ จงยึด พรหมวิ ๔ และ
หิริโอตตัปปะ ไว้เป็นพื้นฐานนะครับ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเกาะคุ้มกันมิให้เราเดิน
หลงทางได้ดีเลยทีเดียว

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พี่น้อง ๓ พระองค์นั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงรับการอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนนี้
แก่ข้าพระองค์เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับด้วยดุษฎีภาพ.
พี่น้อง ๓ พระองค์นั้น จึงส่งลิขิตไปถึงนายเสมียนในชนบทของตน

ว่า พวกเราพึงอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือนนี้, ขอ
ท่านจงจัดแจงสัมภาระสำหรับอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง
เริ่มตั้งแต่วิหารไป. นายเสมียนนั้นได้จัดแจงทุกอย่างแล้ว ส่งลิขิต
ตอบไป. พี่น้อง ๓ พระองค์นั้น ต่างนุ่งผ้ากาสายะ พร้อมกับบุรุษ
๑,๐๐๐ คน ผู้ทำการขวนขวาย ได้พากันอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า
และภิกษุสงฆ์โดยเคารพ นำไปยังชนบท มอบถวายวิหารให้อยู่
จำพรรษา.

บุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ผู้เป็นภัณฑาคาริกของพี่น้อง ๓ พระองค์
นั้น พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส. เขาได้ถวาย
ทานวัตรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยเคารพ.
นายเสมียนในชนบท พาเขาไปพร้อมกับชาวชนบทประมาณ
๑๑,๐๐๐ คน ได้ให้ทานเป็นไปโดยเคารพทีเดียว. ในคนเหล่านั้น

ชาวชนบทบางพวก ได้เกิดขัดใจกันขึ้น. เขาเหล่านั้น จึงพากัน
ทำอันตรายแก่ทาน พากันกินไทยธรรมด้วยตนเอง และเอาไฟเผา
โรงครัว. ราชบุรุษผู้ปรารถนาแล้วก็พากันทำสักการะแด่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า นำพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้เบื้องหน้า แล้วกลับ
มาหาบิดาตามเดิม. บรรดาท่านเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ

ไปแล้ว ก็ปรินิพพาน. ส่วนราชบุตร เสมียนในชนบท และผู้เป็น
ภัณฑาคาริกพร้อมด้วยบริษัททำกาละแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์
ตามลำดับ. เหล่าชนผู้ขัดใจกัน ก็พากันเกิดในนรก. เมื่อชนทั้ง ๒
พวกนั้น จากสวรรค์เข้าถึงสวรรค์ จากนรกเข้าถึงนรก ด้วยอาการ
อย่างนี้ ผ่านไป ๙๒ กัป.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ครั้นในภัททกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า กัสสปะ คนผู้ขัดใจกันเหล่านั้น เกิดในพวกเปรต.
ในกาลนั้น พวกมนุษย์พากันให้ทานอุทิศเพื่อประโยชน์แก่พวกเปรต
ผู้เป็นญาติของตนว่า ขอทานที่ให้นี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติของ
พวกเราเถิด. เปรตเหล่านั้น ได้เสวยสมบัติ. ลำดับนั้น เปรตเหล่านี้

ได้เห็นดังนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พวกข้าพระองค์จะพึงได้สมบัติเห็นปานนี้
หรือไม่หนอ? พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า บัดนี้ ท่านยังไม่ได้
แต่ในอนาคต จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า โคตม
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จักมีพระราชาทรง

พระนามว่า พิมพิสาร, ใน ๙๒ กัปแต่ภัททกัปนี้ พระองค์ได้เป็น
ญาติของพวกท่าน พระองค์ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วจัก
อุทิศแก่พวกท่าน, พวกท่านจักได้ในกาลนั้น. ได้ยินว่า เมื่อพระ-
กัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วอย่างนี้ พระดำรัสนั้น ได้เป็น
เหมือนตรัสแก่พวกเปรตเหล่านั้นว่า จักได้ในวันพรุ่งนี้.

ครั้นพุทธันดรหนึ่งผ่านไป พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา
ทรงอุบัติขึ้นแล้ว. ราชบุตรทั้ง ๓ แม้เหล่านั้น พร้อมด้วยบุรุษ
๑,๐๐๐ คน จุติจากเทวโลกแล้ว เกิดในสกุลพราหมณ์ ในมคธรัฐ
พากันบวชเป็นฤาษีตามลำดับ ได้เป็นชฎิล ๓ พี่น้อง ณ คยาสีส-

ประเทศ. นายเสมียนในชนบท ได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร คฤหบดีบุตร
ผู้เป็นขุนคลัง ได้เป็นเศรษฐี ชื่อว่า วิสาขะ. ภริยาของคฤหบดีบุตร
นั้น ได้เป็นธิดาของเศรษฐี นามว่าธรรมทินนา. ฝ่ายคนนอกนั้น
บังเกิดเป็นบริวารของพระราชานั่นเอง.

พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ของพวกเรา ก็ทรงอุบัติขึ้นในโลก
ล่วงไป ๗ สัปดาห์ ก็เสด็จมายังกรุงพาราณสีโดยลำดับ ทรง
ประกาศธรรมจักร ทรงแนะนำตั้งต้นแต่พระปัญจวัคคีย์ จนถึง
ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน แล้วได้เสด็จไปยัง
กรุงราชคฤห์. ก็ในบรรดาชนเหล่านั้น พระองค์ทรงให้พระเจ้า

พิมพิสาร ผู้เข้าไปเฝ้าในวันนั้นนั่นเอง พร้อมกับพราหมณ์และ
คฤหบดีชาวอังคะและมคธะ ๑๑๐,๐๐๐ คน ให้ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผลแล้ว. ลำดับนั้น พระราชาทรงนิมนต์ด้วยภัตต์เพื่อเสวย
พระกระยาหารในวันพรุ่งนี้ พระองค์ทรงรับแล้วในวันที่ ๒ อัน
ท้าวสักกะจอมเทพผู้แปลงเพศเป็นมาณพน้อยนำเสด็จไป ชมเชย
ด้วยพระคาถามีอาทิอย่างนี้ว่า

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงฝึกพระองค์
แล้ว ผู้พ้นวิเศษแล้ว ผู้มีวรรณะเพียงดังว่าลิ่มทอง
สิงคี พร้อมด้วยปุราณชฎิล ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้พ้น
วิเศษแล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ดังนี้.

จึงเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงรับมหาทานในพระ-
ราชนิเวศน์. ส่วนพวกเปรตเหล่านั้น ได้พากันยืนล้อมด้วยหวังใจ
ว่า บัดนี้ พระราชาจักอุทิศทานแก่พวกเรา. บัดนี้พระราชาจักอุทิศ.

พระราชาทรงถวายทานแล้ว ทรงพระดำริเฉพาะสถานที่
ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จะพึง
ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ดังนี้ จึงไม่ได้อุทิศทานนั้นแก่ใคร ๆ.
พวกเปรตเมื่อไม่ได้ทานนั้น อย่างนั้น ก็สิ้นหวัง ในเวลากลางคืน
จึงพากันส่งเสียงร้องอันน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ใกล้พระราชนิเวศน์.

พระราชาทรงถึงความสังเวชอันน่าสะพึงกลัว น่าหวาดเสียว เมื่อ
ราตรีผ่านไปจึงได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์
ได้สดับเสียงเห็นปานนี้, จักมีเหตุอะไรแก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าทรงกลัวเลยมหาบพิตร จักไม่มี
ความชั่วช้าลามกอะไรแก่พระองค์ดอก อนึ่ง ญาติเก่าก่อนของ

พระองค์ที่เกิดในพวกเปรตก็มี, ญาติเหล่านั้น หวังจะพบเฉพาะ
พระองค์แต่ผู้เดียวถึงพุทธันดรหนึ่ง ท่องเที่ยวไปด้วยหวังใจว่า
พระองค์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้ว จักอุทิศแก่พวกเราบ้าง
เพราะพระองค์ถวายทานเมื่อวันวานแล้ว มิได้อุทิศจึงพากันสิ้นหวัง
ส่งเสียงร้องเห็นปานนั้น. พระราชาตรัสถามว่า เมื่อหม่อมฉันถวาย

ทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะพึงได้รับหรือ พระเจ้าข้า? พระ-
ศาสดาตรัสว่า ได้ มหาบพิตร. พระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดรับทานของ
ข้าพระองค์เพื่อเสวยในวันนี้, ข้าพระองค์จักอุทิศแก่พวกเปรต
เหล่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับนิมนต์ด้วยดุษฎีภาพ.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ทรงให้จัดแจงมหาทาน
แล้ว ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประทับนั่งบน
อาสนะที่บรรจงจัดไว้. เปรตเหล่านั้นไปด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเรา
จะพึงได้อะไรเป็นแน่ ดังนี้ จึงได้พากันยืนอยู่ในที่ต่าง ๆ มีภายนอก
ฝาเรือนเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงกระทำโดยที่พวกเปรต

เหล่านั้นทั้งหมดมาปรากฏแด่พระราชา. พระราชาเมื่อจะทรงหลั่ง
น้ำทักษิโณทก จึงอุทิศว่า ทานที่ข้าพเจ้าให้นี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติ
เถิด. ในบัดดลนั้นเอง สระโบกขรณีอันดาระดาษด้วยกลุ่มดอกกมล
ได้บังเกิดแก่พวกเปรต. เปรตเหล่านั้นพากันอาบและดื่มในสระ
โบกขรณีนั้น ได้สงบระงับความกระวนกระวาย ความลำบาก และ

ความกระหาย ได้เป็นผู้มีสีดั่งทองคำ. พระราชา ถวายข้าวยาคู
ของเคี้ยว และของบริโภคแล้วอุทิศให้. ขณะนั้นนั่นเอง ข้าวยาคู
ของเคี้ยวและอาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. เปรต
เหล่านั้นพากันบริโภคข้าวยาคูเป็นต้นนั้นแล้ว ก็ได้เป็นผู้มีอินทรีย์
กระปรี้กระเปร่า. ลำดับนั้น พระองค์ได้ถวายผ้า, ที่นอน, และที่นั่ง

แล้วอุทิศให้. เครื่องประดับมีชนิดต่าง ๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาด
และที่นอน เป็นต้น อันเป็นทิพย์ ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. และ
สมบัติของเปรตเหล่านั้นทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏแก่พระราชา โดย
ประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานไว้. พระราชาทรง
ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงพอพระทัยยิ่งนัก. ลำดับนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เสวยพระกระยาหารแล้ว ทรงห้ามภัตรแล้ว เพื่อจะ
ทรงอนุโมทนาแก่พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้ตรัสติโรกุฑฑเปตวัตถุว่า
เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตน

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แล้วยืนอยู่ภายนอกฝาเรือน ที่ตรอก กำแพง และ
ทางสามแพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อ
ข้าว น้ำ ของกิน ของบริโภคเพียงพอ เขาเข้าไป
ตั้งไว้แล้ว แต่ญาติไร ๆ ของเปรตเหล่านั้นระลึก
ไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เป็นปัจจัย เหล่าชน
ผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด
ประณีต สมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ดุจทาน

ที่มหาบพิตรถวายแล้วฉะนั้น ด้วยเจตนาอุทิศว่า
ขอทานนี้แล จงสำเร็จผล แก่ญาติทั้งหลายของ
เรา ขอญาติทั้งหลายของเรา จงเป็นสุขเถิด ส่วน
เปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมนุมในที่นั้น
เมื่อข้าวและน้ำมีอยู่เพียงพอ ย่อมอนุโมทนาโดย
เคารพว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด

ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีอายุยืนนาน การ
บูชาเป็นอันพวกญาติได้ทำแล้ว แก่เราทั้งหลาย
และญาติทั้งหลาย ผู้ให้ก็ไม่ไร้ผล เพราะในเปต
วิสัยนั้น กสิกรรมและโครักขกรรมไม่มี การ
ค้าขายเช่นนั้นก็ไม่มี การซื้อการขายด้วยเงินตรา
ก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ทำกาละละไปแล้วในเปต

วิสัยนั้น ย่อมยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยทานที่
ทายกให้แล้ว จากมนุษยโลกนี้ น้ำฝนอันตกลง
ในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอันญาติ
หรือมิตรให้แล้ว จากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล
แก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่
เต็มแล้วย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด ทานอัน

ญาติหรือมิตรให้แล้ว แต่มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จ
ผลแก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตร
เมื่อหวนระลึกถึงอุปการคุณที่ท่านทำแล้วในกาล
ก่อนว่า คนโน้นได้ให้สิ่งของแก่เราแล้ว คนโน้น
ได้ทำอุปการคุณแก่เราแล้ว ญาติมิตรและสหาย

ได้ให้สิ่งของแก่เราและได้ช่วยทำกิจของเรา ดังนี้
พึงให้ทักษิณาแก่เปรตทั้งหลาย ด้วยว่า การ
ร้องไห้ก็ดี ความเศร้าโศกก็ดี การพิไรร่ำไรก็ดี
ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่
เป็นไปเพื่อประโยชน์ แก่เปรตทั้งหลาย ญาติ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ทั้งหลายก็คงดำรงอยู่อย่างนั้น อันทักษิณานี้แล
ที่ให้แล้ว ตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จเพื่อ
ประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน.
ญาติธรรม มหาบพิตร ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว
การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาบพิตรก็
ทรงกระทำแล้ว และพลังกายมหาบพิตรก็ได้เพิ่ม
ให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมีประมาณไม่น้อย
มหาบพิตรก็ได้ทรงขวนขวายแล้วแล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ได้แก่ ที่ส่วนอื่น
ของฝา (เรือน). คำว่า ติฏฺ€นฺติ นี้ เป็นคำกำหนดการยืน โดย
ปฏิเสธการนั่งเป็นต้น, อธิบายว่า ยืนอยู่ภายนอกประตูบ้าน กำแพง
และฝาเรือน. บทว่า สนฺธิสิงฺฆาฏเกสุ จ ได้แก่ ที่ตรอก ๔ แพร่ง
และที่ทาง ๓ แพร่ง. บทว่า สนฺธิ ได้แก่ ตรอก ๔ แพร่ง. เรียก

ที่ต่อเรือน ที่ต่อฝา และที่ต่อหน้าต่างก็มี. บทว่า สิงฺฆาฏกา ได้แก่
ตรอก ๓ แพร่ง. บทว่า ทฺวารพาหาสุ ติฏฺ€นฺติ ได้แก่ ยืนพิงฝา
ประตูเมืองและประตูเรือน. บทว่า อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรํ ความว่า
เรือนของญาติในครั้งก่อนก็ดี เรือนที่ตนครอบครอง โดยความเป็น
เจ้าของก็ดี ชื่อว่าเรือนของตน เพราะเหตุที่พวกเปรตเหล่านั้น

มายังเรือนแม้ทั้งสองชนิดนั้น ด้วยความเข้าใจว่าเรือนของตน ฉะนั้น
จึงตรัสว่า มายังเรือนของตน.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงแก่พระราชาถึงพวกเปรต
เป็นอันมาก ผู้มีรูปแปลกไม่น่าดู ทั้งดูน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ผู้เสวย
ผลของความริษยาและความตระหนี่ ผู้มายังพระราชนิเวศน์ของ
พระเจ้าพิมพิสาร แม้ตนจะไม่เคยครอบครองอยู่ในกาลก่อน ด้วย
สำคัญว่าเป็นเรือนของตน เพราะเป็นเรือนของญาติในกาลก่อน

แล้ว ยืนอยู่ภายนอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยประการอย่างนี้ จึงตรัส
คาถาว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺ€นฺติ เมื่อจะทรงแสดงซ้ำว่า กรรมที่
พวกเปรตเหล่านั้นทำเป็นของโหดร้าย จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า ปหูเต
อนฺนปานมฺหิ ดังนี้เป็นต้น.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
เป็นเรื่องที่แปลกที่ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องภูติผีปีศาจเลย .... ไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี
เรื่องร้องให้ผมเป็นคนหนึ่งร้องให้ง่ายเหมือนคนอ่อนไหว ... แต่ร้องให้เมื่อมีความสุขตื้นตันใจเท่านั้น


วันนี้ผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาบ้างเหมือนกันได้ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานแล้ว
พิจารณาถึงคุณความดีของท่าน ความจริงผมจะไม่ปล่อยให้ออกก็ได้ ก็พอทำได้
เช่นกัน แต่ที่ปล่อยเพราะคิดเห็นว่าเพื่อล้างตาบ้างก็ดีนานๆครั้ง ถึงผมไม่เคยพบเจอ
แต่ผมก็เชื่อ 85% นอกนั้นก็เมื่อพบเจอด้วยตนเองแล้วถึงจะเชื่อครับ


ฟิลลิ่งนั้นแหละครับที่ผมเป็นบ่อยมาก ... ร้องให้กับความดีของคน


การร้องไห้นี้เป็นจุดเริ่มต้นของความดี เพราะเห็นตามความเป็นจริง
แล้วเกิดความดีใจ ปลื้มจนน้ำตาไหล หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเกิดปีติ
(ความปลื้มใจ, ความยินดี, ความอิ่มเอมใจ.) ผมเป็นครั้งแรกตอนอ่าน
ชาดกเรื่องพระเวสสันดร ตอนที่ท่านให้ทานลูก เมีย หลังจากนั้นก็เกิดอีก
หลายครั้ง แต่ครั้งที่แรงที่สุดนั้นก็คือพรรษาที่ ๒ หลังจากครั้งนั้นปัญญา

ก็สว่างแจ้งแทงปัญหาที่เคยสงสัยจนหมดสิ้น นี้หมายถึงปัญหาส่วนตัวของ
ผมนะครับ ที่แต่งคำต่างๆออกมาได้ก็หลังจากช่วงนั้นเองก่อนหน้านี้ยังไม่
มีความรู้อะไรเลยและไม่สามารถทำได้ และขอให้คุณ Love J.บวชครั้งนี้
ขอให้ได้เห็นดั่งที่ผมเห็นและได้ยิ่งๆกว่าผมนะครับ จงยึด พรหมวิ ๔ และ
หิริโอตตัปปะ ไว้เป็นพื้นฐานนะครับ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเกาะคุ้มกันมิให้เราเดิน
หลงทางได้ดีเลยทีเดียว


แทงปัญหาทีเคยสงสัยจนหมดสิ้น ... ปัญหาอะไรบอกผมบ้างได้มั่ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
sssboun เขียน:
Love J. เขียน:
เป็นเรื่องที่แปลกที่ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องภูติผีปีศาจเลย .... ไม่ได้เชื่อหรือปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี
เรื่องร้องให้ผมเป็นคนหนึ่งร้องให้ง่ายเหมือนคนอ่อนไหว ... แต่ร้องให้เมื่อมีความสุขตื้นตันใจเท่านั้น


วันนี้ผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาบ้างเหมือนกันได้ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานแล้ว
พิจารณาถึงคุณความดีของท่าน ความจริงผมจะไม่ปล่อยให้ออกก็ได้ ก็พอทำได้
เช่นกัน แต่ที่ปล่อยเพราะคิดเห็นว่าเพื่อล้างตาบ้างก็ดีนานๆครั้ง ถึงผมไม่เคยพบเจอ
แต่ผมก็เชื่อ 85% นอกนั้นก็เมื่อพบเจอด้วยตนเองแล้วถึงจะเชื่อครับ


ฟิลลิ่งนั้นแหละครับที่ผมเป็นบ่อยมาก ... ร้องให้กับความดีของคน


การร้องไห้นี้เป็นจุดเริ่มต้นของความดี เพราะเห็นตามความเป็นจริง
แล้วเกิดความดีใจ ปลื้มจนน้ำตาไหล หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเกิดปีติ
(ความปลื้มใจ, ความยินดี, ความอิ่มเอมใจ.) ผมเป็นครั้งแรกตอนอ่าน
ชาดกเรื่องพระเวสสันดร ตอนที่ท่านให้ทานลูก เมีย หลังจากนั้นก็เกิดอีก
หลายครั้ง แต่ครั้งที่แรงที่สุดนั้นก็คือพรรษาที่ ๒ หลังจากครั้งนั้นปัญญา

ก็สว่างแจ้งแทงปัญหาที่เคยสงสัยจนหมดสิ้น นี้หมายถึงปัญหาส่วนตัวของ
ผมนะครับ ที่แต่งคำต่างๆออกมาได้ก็หลังจากช่วงนั้นเองก่อนหน้านี้ยังไม่
มีความรู้อะไรเลยและไม่สามารถทำได้ และขอให้คุณ Love J.บวชครั้งนี้
ขอให้ได้เห็นดั่งที่ผมเห็นและได้ยิ่งๆกว่าผมนะครับ จงยึด พรหมวิ ๔ และ
หิริโอตตัปปะ ไว้เป็นพื้นฐานนะครับ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเกาะคุ้มกันมิให้เราเดิน
หลงทางได้ดีเลยทีเดียว


แทงปัญหาทีเคยสงสัยจนหมดสิ้น ... ปัญหาอะไรบอกผมบ้างได้มั่ยครับ


คุณ ยังไม่เห็นหรือครับ ผมก็บอกคุณไปแล้วน่า คิดดูให้ทีสิ
บอกทุกคนด้วยไม่จำเพราะเจาะจงไม่เก็บไว้คนเดียว เมื่อได้มา
ก็ให้ไป เก็บไว้มากก็รกรุงรัง(สิ่งของที่ไม่จำเป็น จำเป็นน้อยและอื่นๆ
ให้ได้ให้ไปเลย)ฝึกไปเรื่อยๆจิตก็จะเข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่นไปเรื่อยๆ
ได้ความสุขไปเรื่อยๆตามอัตตาภาพจนกว่าจะเข้าพระนิพพานครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Love J. เลือกวัดที่จะไปอยู่ไว้แล้วนะครับ นับถอย
หลังอีก ๓ วัน จะได้ไปเกิดใหม่แล้ว ตามความคิดผมนะหาก
ตั้งใจแล้วก็ควรละเสียให้หมดทุกอย่างที่จะทำให้จิตวิตกกังวน
ขุ่นมัว ควรอยู่ห่างไกลจากครอบครัวไปเลย หรืออยู่วัดใกล้บ้าน
สัก ๓-๗ วันเพื่อให้ญาติได้ใส่บาตและเพื่อเตียมตัวให้พร้อมไป
สู่วัดที่มีการสอนและปฏิบัติครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูเต แปลว่า ไม่น้อย คือ มาก,
อธิบายว่า เพียงพอแก่ความต้องการ. จริงอยู่ แปลง พ อักษร เป็น
ป อักษรก็ได้ เหมือนในประโยคที่มีอาทิว่า ปหุ สนฺโต น ภรติ
สัปบุรุษเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่เต็ม (ด้วยความรู้). ส่วนอาจารย์
บางพวกกล่าวว่า พหุเก ดังนี้. ก็นั่น เป็นการกล่าวด้วยความเลินเล่อ.
บทว่า อนฺนปานมฺหิ แปลว่า เมื่อข้าวและน้ำ. บทว่า ขชฺชโภชฺเช

แปลว่า เมื่อของเคี้ยวและของบริโภค. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงอาหาร
ทั้ง ๔ ชนิดคือ ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว และของลิ้ม. บทว่า
อุปฏฺ€ิเต แปลว่า เข้าไปตั้งไว้ คือ ตระเตรียมไว้, อธิบายว่า
จัดแจงไว้. บทว่า น เตสํ โกจิ สรติ สตฺตานํ ความว่า ใคร ๆ
จะเป็นมารดา บิดา บุตร หรือหลานก็ตาม ของสัตว์เหล่านั้น คือ

ผู้เกิดในเปตวิสัยระลึกไม่ได้. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า
เพราะกรรมเป็นปัจจัย, อธิบายว่า เพราะกรรมคือความตระหนี่
อันต่างโดยการไม่ให้และการปฏิเสธการให้เป็นต้น ที่ตนทำไว้
เป็นเหตุ. กรรมนั้นแหละ ทำให้พวกญาติเหล่านั้น ระลึกไม่ได้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความไม่มีแม้แต่การ
หวนระลึก ของพวกญาติเพราะผลกรรมของพวกเปรต ผู้หวัง
เฉพาะต่อพวกญาติ ในเมื่อข้าวและน้ำเป็นต้น แม้มีประมาณ
ไม่น้อย ก็มีอยู่อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงสรรเสริญทานที่
พระราชาถวายอุทิศพวกญาติผู้เกิดในเปตวิสัย จึงตรัสคาถาที่ ๓
ว่า เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ ดังนี้เป็นต้น.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เป็นคำอุปมา. บทว่า เอวํ นั้น
เชื่อมความได้ ๒ ประการ คือ บรรดาญาติบางพวก แม้ที่ระลึกไม่ได้
เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย ญาติบางพวกผู้อนุเคราะห์
อย่างนั้น ก็ย่อมให้แก่พวกญาติ และคือพวกญาติผู้อนุเคราะห์ ย่อม
ให้น้ำและข้าวอันสะอาด ประณีต อันสมควรตามกาลแก่ญาติทั้งหลาย
เหมือนทานที่มหาบพิตรถวายแล้วฉะนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า

ททนฺติ แปลว่า ย่อมให้ คือ อุทิศให้ มอบให้. บทว่า ญาตีนํ ได้แก่
ชนผู้เกี่ยวเนื่องกัน ทางมารดาและบิดา. บทว่า เย ได้แก่ ชนเหล่าใด
เหล่าหนึ่งมีบุตรเป็นต้น. บทว่า โหนฺติ แปลว่า ย่อมเป็น. บทว่า
อนุกมฺปกา ได้แก่ ผู้ต้องการประโยชน์ คือ ผู้แสวงหาประโยชน์
เกื้อกูล. บทว่า สุจึ ได้แก่ บริสุทธิ์ ชื่นใจ และประกอบด้วยธรรม.

บทว่า ปณีตํ ได้แก่ โอฬาร. บทว่า กาเลน ได้แก่ โดยกาลอัน
เหมาะสมแก่การบริโภคของพระทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย หรือโดย
กาลที่เปรตผู้เป็นญาติมายืนอยู่ที่ภายนอกฝาเรือนเป็นต้น. บทว่า
กปฺปิยํ ได้แก่ ควร คือเหมาะสม ได้แก่ สมควรเพื่อการบริโภค.

ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย. บทว่า ปานโภชนํ แปลว่า น้ำ และข้าว.
ก็ในที่นี้โดยการแสดงอ้างถึงบทว่า ปานโภชนะ นั้น พระองค์ตรัส
ถึงไทยธรรมทุกอย่าง.

บัดนี้ เพื่อจะแสดงประการอันเป็นเหตุ ชื่อว่าเป็นอันญาติ
ให้แล้วแก่เปรตเหล่านั้น จึงตรัสกึ่งคาถาเบื้องต้น ด้วยคาถาที่ ๔ ว่า
อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย ดังนี้เป็นต้น. กึ่งเบื้องต้น
แห่งคาถาที่ ๔ นั้น พึงเชื่อมกับกึ่งเบื้องต้นแห่งคาถาที่ ๓ ว่า :-

ญาติผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้แก่พวกญาติ
ด้วยเจตนาอุทิศอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แลจงสำเร็จ
แก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลาย จงได้รับ
ความสุขเถิด.
ด้วย เอวํ ศัพท์นั้น อันมีอาการเป็นอรรถว่า ญาติทั้งหลาย
ย่อมให้โดยประการอย่างนี้ว่า ขอทานนี้แลจงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย
ไม่ให้โดยประการอื่น เป็นอันชื่อว่า กระทำการแสดงออกถึงอาการ
ที่จะพึงให้.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2019, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ เป็นบทแสดงออกถึงไทยธรรม.
บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต, เหมือน โว อักษร ในประโยคมีอาทิว่า
เยหิ โว อริยา. บทว่า าตีนํ โหตุ แปลว่า จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย
ผู้เกิดในเปตวิสัย. แต่บางอาจารย์กล่าวว่า โน าตีนํ, อธิบายว่า
แก่ญาติทั้งหลาย ของพวกเรา. บทว่า สุขิตา โหนฺตุ าตโย ความว่า
พวกญาติผู้เข้าถึงเปตวิสัยเหล่านั้น เมื่อเสวยผลนี้ คือ จงมีความสุข
ได้แก่ ได้รับความสุข.

เพราะเหตุที่กรรมอันบุคคลอื่นกระทำ แม้ในเมื่อพวกญาติ
กล่าวว่า ขอทานนี้แล จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมไม่ให้ผล
แก่คนอื่น ก็สิ่งนั้นที่เขาให้อุทิศอย่างนั้น ล้วนเป็นปัจจัยแก่กุศลกรรม
แก่พวกเปรตผู้เป็นญาติ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงประการที่กุศลกรรม
อันบังเกิดผลแก่เปรตเหล่านั้นในที่นั้น คือ ในขณะนั้นนั่นเอง จึงตรัส
คำมีอาทิว่า เต จ ตตฺถ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ได้แก่ เปรตผู้เป็นญาติ.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่ที่พวกญาติให้ทาน. บทว่า สมาคนฺตฺวา
ได้แก่ เป็นผู้ประชุมกันในที่นั้น เพื่ออนุโมทนาว่า พวกญาติเหล่านี้
ของพวกเรา อุทิศทานเพื่อประโยชน์แก่พวกเรา. บทว่า ปหูเต
อนฺนปานมฺหิ ได้แก่ เมื่อสิ่งของนั้น ที่พวกญาติให้อุทิศตน. บทว่า

สกฺกจฺจํ อนุโมทเร ความว่า เชื่อกรรมและผลของกรรม ไม่ละ
ความยำเกรง เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมบันเทิงใจ ย่อมเบิกบานใจ
เกิดปีติโสมนัสขึ้นว่า ขอทานของพวกเรานี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์
สุขเถิด.

บทว่า จิรํ ชีวนฺตุ ได้แก่ ขอจงมีชีวิตยืนนาน คือมีอายุยืนนาน.
บทว่า โน ญาตี ได้แก่ ญาติทั้งหลายของพวกเรา. บทว่า เยสํ เหตุ
ได้แก่ เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด คือ เพราะอาศัยญาติเหล่าใด.
บทว่า ลภามเส ความว่า ย่อมได้สมบัติเช่นนี้. จริงอยู่ บทนี้ เป็นบท
แสดงอาการที่พวกเปรตผู้เสวยสมบัติที่ได้ด้วยการอุทิศชมเชยพวก
ญาติของตน. จริงอยู่ ทักษิณาย่อมบังเกิดผลแก่พวกเปรตในขณะนั้น

ด้วยองค์ ๓ ประการคือ ด้วยตนอนุโมทนา ๑ ด้วยทายกอุทิศให้ ๑
ด้วยการถึงพร้อมด้วยพระทักขิไทยบุคคล ๑. ในองค์ทั้ง ๓ นั้น
ทายกเป็นเหตุพิเศษ. เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เยสํ เหตุ ลภามเส
ดังนี้เป็นต้น.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร