วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ครั้นต่อมา นางทำกาละแล้วบังเกิดในกำเนินเปรต ด้วยวิบาก
ของการทำครรภ์ให้ตกไป และพูดมุสานั้นนั่นแล จึงเคี้ยวกินเนื้อบุตร
โดยนัยดังกล่าวแล้ว เที่ยวไปในที่ไม่ไกลบ้านนั้นนั่นเอง. ก็สมัยนั้น
พระเถระหลายรูปออกพรรษาในหมู่บ้าน มายังกรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า พักแรมในส่วนหนึ่งไม่ไกลบ้านนั้น. ลำดับนั้น
นางเปรตนั้นแสดงตนแก่พระเถระเหล่านั้น. พระมหาเถระถามเธอ
ด้วยคาถาว่า :-

เธอเปลือยกายมีผิวพรรณขี้เหร่ มีตัวเน่า
ส่งกลิ่นฟุ้ง ถูกแมลงวันจับกลุ่ม เธอเป็นใครหนอ
มายืนอยู่ในที่นี้.
หญิงเปรตถูกพระเถระถามจึงได้ให้คำตอบด้วย ๓ คาถาว่า
ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตถึงทุคติเกิดใน
ยมโลก เพราะทำกรรมชั่ว จึงต้องจากโลกนี้ไป
ยังเปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร ๗ คน เวลาเย็น
อีก ๗ คน แล้วเคี้ยวกินบุตรเหล่านั้นหมด

ทั้ง ๑๔ คนนั้นก็ยังไม่อาจบันเทาความหิว
ของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนหม่นไหม้
อยู่เป็นนิตย์ เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกไฟ
เผาอยู่กลางแดด ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพุตึ ได้แก่ ระงับทุกข์ อัน
เกิดแต่ความหิวกระหาย. บทว่า นาชิคจฺฉามิ แปลว่า ไม่ได้รับ.
ด้วยบทว่า อคฺคิทฑฺฒาว อาตเป นี้ มีวาจาประกอบความว่า เรา
เป็นเสมือนถูกไฟไหม้กลางแดดที่ร้อนจัด ย่อมไม่ได้รับความเย็น.

พระมหาเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามถึงกรรมที่นางเปรต
นั้นกระทำ จึงกล่าวคาถาว่า :-

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เธอทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วย กาย วาจา
ใจ หรือ เธอกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร?
ลำดับนั้น นางเปรตเมื่อจะบอกถึงการที่ตนเกิดในเปตโลก
และเหตุที่เคี้ยวกินเนื้อบุตร จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-

เมื่อก่อนดิฉัน มีบุตร ๒ คน บุตร ๒ คน
นั้น กำลังหนุ่มแน่น ดิฉันอาศัยกำลังคือบุตร จึง
ได้ดูหมิ่นสามีของตน ภายหลังสามีของดิฉันโกรธ
จึงได้หาภริยามาใหม่ และภริยาใหม่นั้นมีครรภ์
ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ทำให้
ครรภ์ตกไป ภริยาคนใหม่มีครรภ์ ๓ เดือนเท่านั้น
ตกเป็นโลหิตเน่า มารดาของเขาโกรธแล้ว เชิญ

พวกญาติของดิฉันมาประชุมกัน ซักถามให้ดิฉัน
ทำการสบถ และขู่เข็ญดิฉันให้กลัว ดิฉันได้กล่าว
คำสบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำความ
ชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันมีกาย
เปื้อนหนองและเลือด กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะ
วิบากแห่งกรรม คือการทำครรภ์ให้ตกไป และ
มุสาวาททั้ง ๒ นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตพลูเปตา ได้แก่ อาศัยกำลัง
คือบุตร คือ ได้กำลังด้วยอำนาจบุตร. บทว่า อติมฺิสํ แปลว่า
ดูหมิ่นเกินไป. บทว่า ปูติโลหิตโก ปติ ได้แก่ ครรภ์ไหลออกเป็น
โลหิตเน่า. คำที่เหลือทั้งหมด เป็นเสมือนคำที่เป็นลำดับมานั่นเอง.
ในเรื่องนั้น มีพระเถระ ๘ รูป. แต่ในเรื่องนี้ มีพระเถระเป็นจำนวน

มาก. ในเรื่องนั้น มีบุตร ๕ คน แต่ในเรื่องนี้มีบุตร ๗ คน นี้แล
เป็นความแปลกกัน.
จบ อรรถกถาสัตตปุตตขาทกเปติวัตถุที่ ๗

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อรรถกถาโคณเปตวัตถุที่ ๘
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพี
คนหนึ่ง ผู้ที่บิดาตายไป จึงตรัสคำเริ่มต้นนี้ว่า กึ นุ อุมฺมตฺตรูโปว
ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บิดาของกฎุมพีคนหนึ่งได้ตายไป.
เพราะบิดาตายไป เขาจึงเศร้าโศกร้อนรุ่มกลุ้มใจ เที่ยวร้องไห้
เหมือนคนบ้า ถามผู้ที่ตนพบเห็นว่า ท่านเห็นบิดาของฉันบ้างไหม?
ใคร ๆ ไม่อาจจะบรรเทาความเศร้าโศกของเขาได้. แต่อุปนิสัย
แห่งโสดาปัตติผล ยังโพลงอยู่ในหทัยของเขา เหมือนประทีปที่
โพลงอยู่ในหม้อ.

ในเวลาเช้ามืด พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็น
อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเธอ ทรงพระดำริว่า เราควรจะ
นำเหตุที่เป็นอดีตของกุฏุมพีนี้มาแล้ว ระงับความเศร้าโศก ให้
โสดาปัตติผลแก่เธอ ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น จึงกลับจากบิณฑบาต
ภายหลังภัตร ไม่ได้พาใครเป็นปัจฉาสมณะไป ไปยังประตูเรือน
ของกฎุมพีนั้น. เขาได้ทราบว่า พระศาสดา เสด็จมา จึงต้อนรับ

นิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังเรือน เมื่อพระศาสดา ประทับ
นั่งบนอาสนะที่เขาบรรจงจัดไว้ ตนเองก็ถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระองค์ทรงทราบสถานที่ที่บิดาของข้าพระองค์ไปแล้ว

หรือ? ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ดูก่อนอุบาสก เธอ
ถามถึงบิดาในอัตตภาพนี้หรือ หรือว่า ในอัตตภาพที่ล่วงไปแล้ว.
เขาได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า ได้ยินว่า เรามีบิดามาก ดังนี้ จึงมีความ
เศร้าโศกเบาบาง ได้รับความเศร้าโศกเพียงปานกลาง. ลำดับนั้น
พระศาสดา ตรัสธรรมกถา อันเป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าโศก
แก่เขา ทรงทราบเขาว่าปราศจากความเศร้าโศก มีจิตสมควร
จึงให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยสามุกังสิกธรรมเทศนาแล้ว ได้
เสด็จไปยังพระวิหาร.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลาย สั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า
อาวุโส ท่านทั้งหลาย จงดูพุทธานุภาพเถิด อุบาสก ผู้เพียบพร้อม
ด้วยความเศร้าโศก และร่ำไรเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยัง
ทรงแนะนำในโสดาปัตติผล โดยขณะนั้นนั่นเองได้. พระศาสดา
เสด็จไปในที่นั้น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาบรรจงจัดไว้

แล้ว จึงตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลความนั้น แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ที่เรากำจัดความเศร้าโศกของ
กฎุมพีนี้ออกไป แม้ถึงในกาลก่อน ก็ได้กำจัดออกไปเหมือนกัน
ดังนี้แล้ว อันภิกษุเหล่านั้น ทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า :-

ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี บิดาของคฤหบดีคนหนึ่ง ได้
ตายไป. เพราะบิดาตายไป เขาจึงเพียบพร้อมไปด้วยความเศร้าโศก
มีหน้านองไปด้วยน้ำตา นัยน์ตาแดง คร่ำครวญอยู่ เดินเวียนขวา
เชิงตะกอน. บุตรของเขาชื่อว่า สุชาตะ ยังเป็นเด็ก แต่เป็นคน
ฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์ด้วยปัญญา จึงคิดหาอุบายเครื่องกำจัด

ความเศร้าโศกของบิดา วันหนึ่ง เห็นโคตัวหนึ่ง ตายภายนอกเมือง
แล้ว นำเอาหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้าของโคที่ตายแล้วนั้น
พลางยืนกล่าวว่า เอาจงกิน จงกินเสีย จงดื่ม จงดื่มเถิด. คนผ่านไป
ผ่านมาเห็นเข้าจึงกล่าวว่า สหายสุชาตะ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ
ที่ท่านน้อมนำหญ้าและน้ำไปให้โคที่ตายแล้ว เขาไม่ได้โต้ตอบ

อะไร ๆ พวกมนุษย์ จึงพากันไปหาบิดาของเขาแล้ว กล่าวว่า
บุตรของท่านเป็นบ้าไปเสียแล้ว เอาหญ้าและน้ำให้โคที่ตายกิน.
ก็เพราะได้ฟังดังนั้น กฎุมพีก็คลายความเศร้าโศก ที่เกิดขึ้นเพราะ
ปรารภถึงบิดา. เขาถึงความสลดใจว่า ได้ยินว่า บุตรของเรากลาย
เป็นคนบ้าไป จึงรีบไป พลางท้วงว่า นี่แน่ พ่อสุชาตะ เจ้าเป็น
ผู้ฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์ด้วยปัญญามิใช่หรือ แต่เหตุไฉนเจ้าจึง

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เอาหญ้าและน้ำ ให้โคที่ตายกิน จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงเกี่ยวหญ้าที่
เขียวสดแล้ว บังคับโคแก่ที่เป็นสัตว์ตายแล้วว่า
จงกิน จงกิน อันโคตายแล้ว ย่อมไม่ลุกขึ้นกิน
หญ้าและน้ำมิใช่หรือ เจ้าเป็นทั้งคนพาล ทั้งเป็น
คนทรามปัญญา เหมือนคนอื่นที่มีปัญญาทราม
ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ นุ เป็นคำถาม. บทว่า
อุมฺมตฺตรูโปว ได้แก่ เจ้าเป็นเหมือนสภาพคนบ้า คือ ถึงความ
ฟุ้งซ่านแห่งจิต. บทว่า ลายิตฺวา แปลว่า เกี่ยว. บทว่า หริตํ ติณํ
แปลว่า หญ้าสด. บทว่า ลปสิ แปลว่า บังคับ. บทว่า คตสตฺตํ
ได้แก่ ปราศจากชีวิต. บทว่า ชรคฺควํ แปลว่า โคแก่ที่หมดกำลัง.

บทว่า อนฺเนน ปาเนน ได้แก่ หญ้าที่เขียวสด และน้ำดื่มที่ท่านให้.
บทว่า มโต โคโณ สมุฏฺ€เห ได้แก่ โคที่ตายแล้ว หามีชีวิตลุกขึ้น
ได้ไม่. บทว่า ตฺวํสิ พาโล จ ทุมฺเมโธ ความว่า เจ้าชื่อว่าเป็นคนพาล
เพราะประกอบด้วยความเป็นคนพาล และชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาทราม
เพราะปัญญากล่าวคือ เมธาไม่มี. บทว่า ยถา ตฺโว ทุมฺมติ
ความว่า แม้คนอื่นที่ไร้ปัญญา ก็พึงบ่นเพ้อไปฉันใด ตัวเจ้าก็บ่นเพ้อ

ถึงสิ่งไร้ประโยชน์ ฉันนั้น. บทว่า ยถา ตํ เป็นเพียงนิบาต. อีก
อย่างหนึ่ง บทว่า ทุมฺมติ ความว่า เจ้าแม้เป็นผู้มีปัญญา ก็เงยหน้า
บ่นเพ้อ เหมือนคนบ้าอื่น ๆ.
สุชาตกุมารได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศความประสงค์
ของตนเพื่อให้บิดายินยอม จึงได้กล่าว ๒ คาถาว่า :-

โคตัวนี้ ยังมีเท้าทั้ง ๔ ข้าง มีศีรษะ มีตัว
พร้อมทั้งหาง นัยน์ตา ก็มีอยู่ตามเดิม ข้าพเจ้าคิด
ว่า โคตัวนี้ จะพึงลุกขึ้นกินหญ้าสักวันหนึ่ง ส่วน
มือ เท้า กาย และศีรษะ ของคุณปู่ ไม่ปรากฏ แต่
คุณพ่อมาร้องไห้ถึงกระดูกของปู่ที่บรรจุไว้ใน
สถูปดิน จะไม่เป็นคนโง่ไปดอกหรือ.
ความแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ :-

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวกแปลว่าผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง
ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ
เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวกแปลว่าผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง
ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ
เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้ ต่อนั้น

คุณโรสก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก555เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจจะกำลังมีอยู่และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับแปลว่าไม่มีไงคะมีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ555เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
พิจาณาสิคะจิตเห็นสีไม่ใช่เห็นตัวอักษร
น้อมมาที่ตาตัวเองที่กำลังดูเนี่ยๆๆๆเห็นผิดยุ่
จิตเห็นสีดับมืดทันทีจึงส่งต่ออารมณ์รู้สีในมืดคือ
คิดถึงสีที่ดับตะกี้นี้ส่งไปดับทางมโนทวารมืดสนิทเลย...ละไม่รู้ที่ยังมีตัวตนเต็มๆไม่ได้ไงคะ/ดับ=ไม่มี
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
โคตัวนี้มีเท้า ๔ ข้างนี้ มีศีรษะ มีกายพร้อมด้วยหาง เพราะ
เป็นไปกับด้วยหางและมีเนตรคือนัยน์ตา มีทรวดทรงไม่แตกสลาย
ยังทรงอยู่เหมือนก่อนแต่ตาย. บทว่า อยํ โคโณ สมุฏฺ€เห ความว่า
เพราะเหตุนี้ ผมจึงคิดว่า โคตัวนี้ จะพึงลุกขึ้น คือจะพึงยืนขึ้นได้เอง.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โคเห็นจะลุกขึ้นได้. เพราะเหตุนั้นเรา
จึงเข้าใจว่า โคตัวนี้พึงพยุงกายให้ลุกขึ้นได้โดยพลัน อธิบายว่า

ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างนี้. สุชาตกุมาร กล่าวธรรมแก่บิดาว่า
ก็ มือ เท้า กาย ศีรษะ ของคุณปู่ของผมย่อมไม่ปรากฏ แต่คุณพ่อ
ร้องไห้ที่สถูปดิน ที่สร้างไว้บรรจุกระดูกของคุณปู่อย่างเดียว
เป็นผู้ทรามปัญญา คือไม่มีปัญญา ตั้งร้อยเท่า พันเท่า สังขาร
ทั้งหลายมีความแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป ผู้รู้แจ้งในข้อนั้น
จะมีความร่ำไรไปทำไม.

บิดาของพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงคิดว่า บุตรของเรา
เป็นบัณฑิต ได้ทำกรรมนี้เพื่อให้เราเข้าใจ เมื่อจะสรรเสริญบุตรว่า
พ่อสุชาต เอ๋ย เราได้รู้แล้วว่า สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นธรรมดา
ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่เศร้าโศก คนผู้มีปัญญาอันชื่อว่าสามารถขจัด
ความเศร้าโศกเสียได้ พึงเป็นเช่นกับเจ้านี่แหละจึงได้กล่าว ๔ คาถา
ว่า :-

เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา
ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟ ที่
ราดด้วยน้ำมัน ได้ถอนขึ้นแล้วหนอ ซึ่งลูกศรคือ
ความเศร้าโศก อันเสียบหทัยของบิดา บิดาผู้มี
ลูกศรอันถอนได้แล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว ดูก่อน
มาณพ ต่อไปนี้ บิดาจะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้
เพราะฟังคำของเจ้า ชนเหล่าใดที่มีปัญญา มีความ
อนุเคราะห์ต่อมารดาบิดา ชนเหล่านั้น ย่อมทำ

อย่างนี้ ย่อมยังมารดาบิดาให้หายจากความเศร้า-
โศก เหมือนพ่อสุชาตะทำให้บิดาหายเศร้าโศก
ฉะนั้น.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตํ ได้แก่ อันไฟคือความ
เศร้าโศกติดทั่วแล้ว คือลุกโพลงแล้ว. บทว่า สนฺตํ แปลว่า มีอยู่.
บทว่า ปาวกํ แปลว่า ไฟ. บทว่า วารินา วิย โอสิญฺจํ แปลว่า เหมือน
เอาน้ำราด. บทว่า สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํ ความว่า ให้ความกระวน
กระวายแห่งจิตของเราทั้งหมดดับ. บทว่า อพฺพหี วต แปลว่า
ถอนขึ้นแล้ว. บทว่า สลฺลํ ได้แก่ ลูกศรคือความโศก. บทว่า
หทยนิสฺสิตํ ได้แก่ เป็นดังลูกศรอันแทงหัวใจ. บทว่า โสกปเรตสฺส

ได้แก่ ถูกความโศกครอบงำ. บทว่า ปิตุโสกํ ได้แก่ ซึ่งความ
เศร้าโศกอันเกิดขึ้นปรารภบิดา. บทว่า อปานุทิ แปลว่า ได้ขจัดแล้ว.
บทว่า ตว สุตฺวาน มาณว ความว่า พ่อกุมาร เพราะได้ฟังคำของเจ้า
แล้ว แต่บัดนี้ พ่อจึงไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้. บทว่า สุชาโต ปิตรํ
ยถา ความว่า สุชาตกุมารนี้ให้บิดาของตนพ้นจากความโศก ฉันใด
แม้ชนเหล่าอื่นก็ฉันนั้น ผู้อนุเคราะห์มีความอนุเคราะห์เป็นปกติ
มีปัญญากระทำอย่างนั้น คือกระทำอุปการะแก่บิดาและชนเหล่าอื่น.

บิดาฟังคำของมาณพแล้ว เป็นผู้ปราศจากความโศก จึง
สนานศีรษะ บริโภคอาหาร ประกอบการงาน ทำกาละแล้วได้เป็น
ผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรม-
เทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแก่ภิกษุเหล่านั้น. เมื่อจบสัจจะ
ชนเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น. ในกาลนั้น สุชาตกุมาร
ได้เป็นพระโลกนาถในบัดนี้แล.
จบ อรรถกถาโคณเปตวัตถุที่ ๘

อรรถกถามหาเปสการเปติวัตถุที่ ๙
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ
นางเปรตผู้เป็นช่างหูกคนหนึ่ง จึงตรัสคำนี้มีคำเริ่มต้นว่า คูถญฺจ
มุตฺตํ รุธิรญฺจ ปุพฺพํ ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุประมาณ ๑๒ รูป เรียนพระกรรมฐานใน
สำนักพระศาสดา พิจารณาถึงสถานที่อันเหมาะสมแก่การอยู่ เมื่อ
จวนจะเข้าพรรษา เห็นราวป่าอันน่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยร่มเงา
และน้ำแห่งหนึ่ง และโคจรคามไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักแต่ราวป่า
นั้น จึงอยู่ในที่นั้นราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้าน.

ช่างหูก ๑๑ คน อาศัยอยู่ในบ้านนั้น เห็นเหล่าภิกษุนั้น ๆ เกิดความ
โสมนัส จึงนำมายังเรือนของตน ๆ เลี้ยงดูด้วยอาหารอันประณีต
แล้วเรียนว่า ไปไหนกันขอรับ. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า เราจักไป
ในที่ที่เรามีความสบาย. พวกช่างหูกพากันกล่าวว่า ท่านขอรับ

ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้าจงอยู่ที่นี้แหละ ดังนี้แล้ว จึง
ขอร้องให้อยู่จำพรรษา. ภิกษุทั้งหลายก็รับคำ. อุบาสกอุบาสิกา
ทั้งหลายได้พากันสร้างกระท่อมในป่าในที่นั้นแล้วมอบถวายแก่
ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในที่นั้นแล้ว.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาช่างหูกเหล่านั้น ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า อุปัฏฐากภิกษุ
๒ รูป ด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ นอกนั้นได้อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป.
ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส
เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความตระหนี่ ไม่อุปัฏฐากภิกษุทั้งหลายโดย
เคารพ. ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าเห็นดังนั้น จึงนำน้องสาวของภรรยา
นั้นนั่นแลมาแล้วมอบความเป็นใหญ่ในเรือนของตน. น้องสาวนั้น

เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ
ช่างหูกทั้งหมดนั้นได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน.
ในบรรดาภรรยานั้น ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ผู้มีความ
ตระหนี่ มีจิตคิดประทุษร้าย ด่าบริภาษสามีของตนว่า ทานคือ
ข้าวและน้ำที่ท่านให้แก่สมณะศากยบุตรนั้น จงบังเกิดเป็นคูถ มูตร
เป็นหนอง และโลหิต แก่ท่านในปรโลก และผ้าสาฎกจงเป็น
แผ่นเหล็กลุกโพลง

สมัยต่อมา บรรดาคนเหล่านั้น ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าทำกาละ
แล้วบังเกิดเป็นรุกขเทวดาถึงพร้อมด้วยอานุภาพ ในดงไฟไหม้
แต่ภรรยาผู้ตระหนี่ของเขา ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นนางเปรตในที่
ไม่ไกลแต่ที่อยู่ของรุกขเทวดานั้นนั่นเอง นางเป็นคนเปลือยรูปร่าง
ขี้เหร่ ถูกความหิวกระหายครอบงำ ไปยังสำนักของภุมมเทพนั้นแล้ว

กล่าวว่า นาย ฉันไม่มีผ้า ถูกความหิวและความกระหายครอบงำ
อย่างเหลือเกินเที่ยวไป ท่านจงให้ผ้า ข้าว และน้ำ แก่ฉันเถิด.
ภุมมเทพจึงน้อมข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์อย่างยิ่งเข้าไปให้นางเปรตนั้น
กลายเป็นคูถและมูตร หนอง และโลหิต ผ้าสาฎกที่ให้ไป พอนางนุ่งห่ม
ก็กลายเป็นแผ่นเหล็กลุกโชน นางเสวยทุกข์อย่างมหันต์ ทิ้งผ้านั้น
คร่ำครวญเที่ยวไป.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกพรรษาแล้ว เดินไปเพื่อจะเฝ้า
พระศาสดา ดำเนินไปถึงดงไฟไหม้ พร้อมกับหมู่เกวียนหมู่ใหญ่.
ในราตรี พวกหมู่เกวียนเดินทางไป เวลากลางวันเห็นประเทศ
แห่งหนึ่งสมบูรณ์ด้วยร่มเงาอันสนิทและน้ำในป่า จึงปลดเกวียน
แล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง. ฝ่ายภิกษุหลีกไปหน่อยหนึ่ง เพราะใคร่ต่อ
ความวิเวก ปูสังฆาฏิลงที่โคนไม้อันปิดบังด้วยพงป่า มีร่มเงาสนิท

ต้นหนึ่งแล้วนอน มีร่างกายอ่อนเพลียเพราะเหน็จเหนื่อยในการ
เดินทางตอนกลางคืน จึงหลับไป. หมู่เกวียนครั้นพักแล้วก็เดินทาง
ต่อไป ภิกษุนั้นยังไม่ตื่น ครั้นเวลาเย็น เธอลุกขึ้นไม่เห็นพวกเกวียน
เหล่านั้น จึงเดินผิดทางไปสายหนึ่ง ถึงที่อยู่ของเทวดานั้นโดยลำดับ.
ลำดับนั้น เทพบุตรนั้นเห็นภิกษุนั้นแล้ว แปลงเป็นรูปคนเข้าไปหา

กระทำปฏิสันถาร นิมนต์ให้เข้าไปยังวิมานของตน ถวายเภสัช
มียาทาเท้าเป็นต้น แล้วเข้าไปนั่งใกล้. ก็สมัยนั้น นางเปรตมา
กล่าวว่า นาย ท่านจงให้ข้าว น้ำ และผ้าสาฎกแก่ฉันเถิด. เทพบุตร
นั้นได้ให้ของเหล่านั้นแก่นางเปรตนั้น ก็ของเหล่านั้น พอนางเปรต
รับ ก็กลายเป็นคูถ มูตร หนอง เลือด และแผ่นเหล็ก อันลุกโชน
ทีเดียว. ภิกษุนั้นเห็นดังนั้น เกิดความสลดใจ จึงสอบถามเทพบุตร
นั้นด้วย ๒ คาถาว่า

หญิงเปรตนี้กินคูถ มูตร เลือด และหนอง
นี้เป็นวิบากของกรรมอะไร หญิงเปรตนี้ เมื่อ
ก่อนได้กระทำกรรมอะไรไว้ จึงมีเลือดและ
หนองเป็นภักษาเป็นนิตย์. ผ้าใหม่สวยงามอ่อน
นุ่ม บริสุทธิ์ มีขนอ่อนอันท่านให้แก่หญิงเปรตนี้
ย่อมกลายเป็นเหล็กไป เมื่อก่อน หญิงเปรตนี้ได้
กระทำกรรมอะไรไว้หนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺส อยํ วิปาโก ความว่า นี้เป็น
วิบากแห่งกรรมอะไร ที่หญิงเปรตเสวยอยู่ในบัดนี้. บทว่า อยํ นุ กึ
กมฺมมกาสิ นารี ความว่า เมื่อก่อนหญิงนี้ได้กระทำกรรมอะไร
ไว้หนอ. บทว่า ยา สพฺพทา โลหิตปุพฺพภกฺขา ความว่า หญิงนี้
ย่อมกินคือบริโภคเลือดและหนองเท่านั้น ตลอดกาลทีเดียว. บทว่า

นวานิ แปลว่า ใหม่ คือ ปรากฏในขณะนั้นเอง. บทว่า สุภานิ
แปลว่า งาม คือ น่าดู. บทว่า มุทูนิ แปลว่า มีสัมผัสสบาย. บทว่า
สุทฺธานิ. แปลว่า มีวรรณะบริสุทธิ์. บทว่า โลมสานิ แปลว่า
มีขนอ่อน คือมีสัมผัสสบาย, อธิบายว่า ดี. บทว่า ทินฺนานิ มิสฺสา
กิตกา ภวนฺติ ความว่า เป็นเช่นกับหนามที่เรียงราย คือ เป็นเช่น
กับแผ่นโลหะ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า กีฏกา ภวนฺติ ดังนี้ก็มี
อธิบายว่า มีสีเหมือนตัวสัตว์กัดกิน.

เทพบุตรนั้นถูกภิกษุนั้นถามอย่างนี้ เมื่อจะประกาศกรรม
ที่นางเปรตทำในชาติก่อน จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2019, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:


เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร