วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อุพพรีวรรคที่ ๒
อรรถกถาสังสารโมจกเปติวัตถุที่ ๑
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภ
นางเปรตตนหนึ่ง ในบ้านชื่อว่า อิฏฐกวดี แคว้นมคธ จึงตรัสคำ
เริ่มต้นว่า นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสิ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในแคว้นมคธ ได้มีหมู่บ้าน ๒ หมู่ คือ หมู่บ้าน
อิฏฐกวดี และหมู่บ้านทีฆราชิ. ใน ๒ หมู่บ้านนั้น มีพวกคนมิจฉา-
ทิฏฐิ พวกสังสารโมจกะเป็นอันมากอยู่ประจำ. ก็ในอดีตกาล
ในที่สุด ๕๐๐ ปี มีหญิงคนหนึ่ง บังเกิดในตระกูลสังสารโมจกะ
ตระกูลหนึ่ง ในบ้านอิฏฐกวดีนั้นแหละ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
ฆ่าแมลงชนิดตั๊กแตนเป็นจำนวนมาก แล้วบังเกิดเป็นเปรต.

นางเสวยทุกข์มีความหิวกระหายเป็นต้น ถึง ๕๐๐ ปี เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรง
ประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จเข้าไปอาศัยเมืองราชคฤห์
ประทับอยู่ในพระเวฬุวันโดยลำดับ นางกลับมาเกิดในตระกูล
สังสารโมจกะนั้นแล ตระกูลหนึ่ง ในหมู่บ้านอิฏฐกวดี ในเวลา

ที่นางมีอายุ ๗-๘ ขวบ ได้สามารถเล่นรถกับพวกเด็กหญิงอื่น ๆ
ได้ ท่านพระสารีบุตรเถระ อาศัยบ้านนั้นนั่นแหละ อยู่ในอรุณวดี-
วิหาร วันหนึ่ง พร้อมด้วยภิกษุ ๑๒ รูป เดินเลยไปตามนางใกล้
ประตูบ้านนั้น. ในขณะนั้น เด็กหญิงชาวบ้านเป็นจำนวนมาก
ออกจากบ้านไปเล่นอยู่ใกล้ประตู มีใจเลื่อมใส จึงรีบมาไหว้

พระเถระและภิกษุเหล่านั้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตามที่เห็น
มารดาบิดาปฏิบัติ. ส่วนหญิงคนนี้นั้น เป็นธิดาแห่งตระกูลที่ไม่มี
ศรัทธา ขาดความประพฤติของคนดี เพราะไม่ได้สั่งสมกุศลไว้
เสียนาน จึงไม่เอื้อเฟื้อ ยืนอยู่เหมือนคนไม่มีโชค. พระเถระเห็น
ความประพฤติในกาลก่อนของนาง การที่นางมาเกิดในตระกูล

สังสารโมจกะในบัดนี้ และการที่นางสมควรแก่การเกิดในนรก
ต่อไป ทราบว่า ถ้าหญิงคนนี้ จักไหว้เราไซร้ จักไม่บังเกิดในนรก
แม้เมื่อเกิดเป็นเปรต จักได้สมบัติเพราะอาศัยเราเหมือนกัน ดังนี้
เป็นผู้มีใจถูกกรุณาตักเตือน จึงกล่าวกะเด็กหญิงเหล่านั้นว่า
พวกเจ้าไหว้ภิกษุทั้งหลาย แต่เด็กหญิงคนนี้ ยืนอยู่เหมือนคนไม่มี
โชค. ลำดับนั้น เด็กหญิงเหล่านั้น จึงพากันจับมือนางฉุดคร่ามา
ให้ไหว้เท้าพระเถระโดยพลการ.

สมัยต่อมา นางเจริญวัย บิดามารดายกให้แก่กุมารคนหนึ่ง
ในตระกูลสังสารโมจกะ ในบ้านทีฆราชิ พอครรภ์แก่เต็มที่ก็ตายไป
บังเกิดเป็นเปรต เปลือยกายรูปร่างน่าเกลียด ถูกความหิวกระหาย
ครอบงำ พบเห็นเข้า ดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง เที่ยวไปในตอน
กลางคืน แสดงตนแก่ท่านพระสารีบุตรเถระแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วน
ข้างหนึ่ง.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระเถระเห็นนางนั้น จึงถามด้วยคาถาว่า :-
ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบ
ผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูก่อนนางผู้ซูบผอม
มีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่า มายืนอยู่ในที่นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมนิสนฺถตา ได้แก่ มีตัวสะพรั่ง
ไปด้วยหมู่แห่งเส้นเอ็น เพราะไม่มีเนื้อและเลือด. บทว่า อุปฺผาสุลิเก
ได้แก่ มีซี่โครงโผล่ขึ้นมา. บทว่า กิสิเก ผู้มีร่างกายผ่ายผอม.
เมื่อตอนแรกพระเถระกล่าวว่า กิสา แล้วกล่าวซ้ำว่า กิสิเก อีก
เพื่อจะแสดงว่า นางเป็นผู้ผอมอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้มีร่างกาย
เหลือเพียงกระดูกหนังและเส้นเอ็น. นางเปรตได้ฟังดังนั้นแล้ว
เมื่อจะประกาศตน จึงกล่าวคาถาว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตเข้าถึง
ทุคคติ เกิดในยมโลก เพราะทำบาปกรรมไว้ จึง
จากมนุสสโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
ถูกพระเถระถามถึงกรรมที่ทำไว้อีกว่า :-

ท่านทำกรรมชั่วอะไร ด้วยกาย วาจา และ
ใจ ไว้เล่า เพราะวิบากของกรรมอะไร ท่านจึง
จากมนุสสโลกนี้ ไปสู่เปตโลกดังนี้.
เมื่อนางจะแสดงว่า ดิฉันไม่เคยให้ทานเลย เป็นคนตระหนี่
จึงเกิดในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์มหันต์ถึงอย่างนี้ จึงได้กล่าว
๓ คาถาว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าใดเป็นบิดา
ก็ดี มารดาก็ดี หรือว่าเป็นญาติก็ดี มีจิตเลื่อมใส
จึงชักชวนดิฉันว่า จงให้ทานแก่สมณพราหมณ์
คนผู้อนุเคราะห์แก่ดิฉันเช่นนั้น มิได้มี. ตั้งแต่
นี้ไป ดิฉันจึงเป็นเปรตเปลือยกาย มีความหิว
และความกระหายเบียดเบียน เที่ยวไปเช่นนี้ ถึง

๕๐๐ ปี นี้ เป็นผลแห่งบาปกรรมของดิฉัน. ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันมีจิตเลื่อมใสจะขอไหว้ท่าน
ข้าแต่ท่านผู้แกล้วกล้า มีอานุภาพมาก ขอท่านจง
อนุเคราะห์แก่ดิฉันเถิด ขอท่านจงให้ทานอย่างใด
อย่างหนึ่ง แล้วอุทิศกุศลมาให้ดิฉัน ขอท่านจง
เปลื้องดิฉันจากทุคคติด้วยเถิด.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปกา ได้แก่ ผู้อนุเคราะห์
ด้วยประโยชน์อันจะเป็นไปในภพหน้า. นางเรียกพระเถระว่า
ท่านผู้เจริญ. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า เย มํ นิโยเชยฺยุํ
ความว่า ชนเหล่าใด จะเป็นมารดาบิดา หรือญาติก็ตาม เป็นผู้
มีจิตเลื่อมใสเช่นนี้ จะพึงชักจูงเราว่า จงให้ทานแก่สมณพราหมณ์
เถิด, ชนผู้อนุเคราะห์เช่นนั้นไม่ได้มีแก่ดิฉันเลย.

บทว่า อิโต อหํ วสฺสสตานิ ปญฺจ ยํ เอวรูปา วิจรามิ นคฺคา
นี้ นางเปรตนั้น หวนระลึกถึงอัตตภาพเปรตของตน โดยชาติที่ ๓
แต่ชาตินี้ จึงกล่าวโดยความประสงค์ว่า แม้ขณะนี้ดิฉัน ก็เที่ยวไป
ถึง ๕๐๐ ปี อย่างนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ แปลว่า เพราะ
เหตุใด. มีวาจาประกอบความว่า ดิฉันเป็นเปรตเปลือยกาย เห็น
ปานนี้ เพราะไม่ได้ทำบุญมีทานเป็นต้นไว้ตั้งแต่นี้ไป ก็จะเที่ยวไป
ถึง ๕๐๐ ปี. บทว่า ตณฺหาย แปลว่า กัดกิน, อธิบายว่า เบียดเบียน.

บทว่า วนฺทามิ ตํ อยฺย ปสนฺนจิตฺตา ความว่า ข้าแต่พระผู้
เป็นเจ้า ดิฉันเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ขอไหว้ท่าน. นางเปรตแสดงว่า
บัดนี้ ดิฉันอาจจะทำบุญได้ ประมาณเท่านี้แหละ. บทว่า อนุกมฺป มํ
ความว่า ขอท่านจงอนุเคราะห์ คือ จงทำความเอ็นดู เฉพาะดิฉัน.
บทว่า ทตฺวา จ เม อาทิส ยํ หิ กิญฺจิ ความว่า ขอท่านจงให้ไทยธรรม

อะไร ๆ ก็ได้ แก่สมณพราหมณ์ แล้วจงอุทิศทักษิณานั้น แก่ดิฉัน
เถิด. นางเปรตกล่าวด้วยประสงค์ว่า เราจักพ้นจากกำเนิดเปรตนี้
ด้วยการให้ทักษิณานั้น. เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ นางเปรตจึงกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงปลดเปลื้องดิฉันจากทุคคติเถิด.

เมื่อนางเปรตกล่าวอ้อนวอนอย่างนั้น เพื่อจะแสดงประการที่
พระเถระปฏิบัติ พระสังคีติกาจารย์ จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-
พระสารีบุตรผู้มีใจอนุเคราะห์ จึงรับคำ
ของนางแล้ว ถวายคำข้าว ๑ คำ และผ้าประมาณ
เท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง และน้ำดื่ม ๑ ขัน แก่ภิกษุรูป
หนึ่ง แล้วอุทิศทักษิณาไปให้นางเปรตนั้น. พอ
ท่านพระสารีบุตรอุทิศส่วนบุญให้ วิบากคือข้าว

น้ำและเครื่องนุ่งห่ม ก็เกิดทันที นี้เป็นผลแห่ง
ทักษิณา. ภายหลังนางเปรตนั้น มีร่างกายบริสุทธิ์
นุ่งห่มผ้าอันสะอาด มีค่ามากยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี
มีวัตถาภรณ์วิจิตรงดงาม เข้าไปหาท่านพระ-
สารีบุตรเถระ.

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:

อ่าน ช้าๆ ชัดๆ ที ละ คำ ทำ ไม่ได้ ต้องฟัง เพื่อ ให้รู้ เพิ่มขึ้น ตาม ลำดับ
เข้าใจความหมายของตามไหม ตามฟังทีละคำ เข้าใจตรงความหมาย
ตามลำดับ ทำตรงขณะคือจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยยุ่แล้ว
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่ม...ที่มีอยู่ตอนนี้คือกำลังมีกิเลสเพราะไม่ฟังยุ่
ประมาทการฟังย่อมไม่ได้ทำตามปัญญาตรงตามที่ตถาคตตรัส
ว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระธรรม
พระธรรมแทนศาสดาจะทำปัญญาต้องถูกทางตามลำดับ
ทำฟังตอนลืมตาตื่นรู้คือตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
คนละทางกับทำฌานค่ะคือฌานนั้นเริ่มหลับตาทำนะคะ
ตัวเองเป็นคนตรงไหม...รู้...ตาม...คำสอน...ของ...ตถาคต...ทุกคำ...ตรง1คำวาจาสัจจะตรงจริงที่กายกำลังมี
เริ่มทำปัญญาจากการฟังตรงตามคำสอนตรงปัจจุบันขณะฟังตรงทีละ1ทางจนกว่าจะเป็นผู้รู้ตรงทางเข้าใจบ่
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/yV1PnZYR7lw
สัญญาณเตือนให้ฟังดังตลอดเลยนะรู้ยังคะ
:b32: :b32:

ฟังคลิปเสียงจากบ้านธรรมะแล้วจะมี กริยามารยาทอย่างนี้ ทิฏฐิวาทะอย่างนี้ มั้ยครับ
ถ้าฟังแล้วกลายเป็นแบบนี้ผมจะได้ไม่ฟัง

:b32:
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งประเคนเงินให้อลัชชี
นั่นไม่ใช่ภิกษุตามพระธรรมและพระวินัย
คุณตรงต่อการปฏิบัติของตัวเองไหมคะที่
เอาเงินไปประเคนให้คนที่แค่คนที่นุ่งจีวรนั้น
ไม่ใช่บรรพชิตที่บวชเพราะสละอาชีพการงาน
ไม่ประกอบอาชีพสละสมบัติญาติพี่น้องคริคริคริ
แค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้ยังละเมิดไม่เชื่อไม่ทำตามคำสอน
แล้วจะมีปัญญาไว้ทำอะไรคะคุณเชื่อคำสอนของตถาคต
หรือเชื่อความคิดตัวเองและทำตามๆกันด้วยการประเคนเงิน555
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งใจดีเอาเงินให้เขาใช้ใจเขาสูงกว่าคำสอนไหมที่รับเงินนั้นน่ะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:

อ่าน ช้าๆ ชัดๆ ที ละ คำ ทำ ไม่ได้ ต้องฟัง เพื่อ ให้รู้ เพิ่มขึ้น ตาม ลำดับ
เข้าใจความหมายของตามไหม ตามฟังทีละคำ เข้าใจตรงความหมาย
ตามลำดับ ทำตรงขณะคือจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยยุ่แล้ว
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่ม...ที่มีอยู่ตอนนี้คือกำลังมีกิเลสเพราะไม่ฟังยุ่
ประมาทการฟังย่อมไม่ได้ทำตามปัญญาตรงตามที่ตถาคตตรัส
ว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระธรรม
พระธรรมแทนศาสดาจะทำปัญญาต้องถูกทางตามลำดับ
ทำฟังตอนลืมตาตื่นรู้คือตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
คนละทางกับทำฌานค่ะคือฌานนั้นเริ่มหลับตาทำนะคะ
ตัวเองเป็นคนตรงไหม...รู้...ตาม...คำสอน...ของ...ตถาคต...ทุกคำ...ตรง1คำวาจาสัจจะตรงจริงที่กายกำลังมี
เริ่มทำปัญญาจากการฟังตรงตามคำสอนตรงปัจจุบันขณะฟังตรงทีละ1ทางจนกว่าจะเป็นผู้รู้ตรงทางเข้าใจบ่
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/yV1PnZYR7lw
สัญญาณเตือนให้ฟังดังตลอดเลยนะรู้ยังคะ
:b32: :b32:

ฟังคลิปเสียงจากบ้านธรรมะแล้วจะมี กริยามารยาทอย่างนี้ ทิฏฐิวาทะอย่างนี้ มั้ยครับ
ถ้าฟังแล้วกลายเป็นแบบนี้ผมจะได้ไม่ฟัง

:b32:
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งประเคนเงินให้อลัชชี
นั่นไม่ใช่ภิกษุตามพระธรรมและพระวินัย
คุณตรงต่อการปฏิบัติของตัวเองไหมคะที่
เอาเงินไปประเคนให้คนที่แค่คนที่นุ่งจีวรนั้น
ไม่ใช่บรรพชิตที่บวชเพราะสละอาชีพการงาน
ไม่ประกอบอาชีพสละสมบัติญาติพี่น้องคริคริคริ
แค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้ยังละเมิดไม่เชื่อไม่ทำตามคำสอน
แล้วจะมีปัญญาไว้ทำอะไรคะคุณเชื่อคำสอนของตถาคต
หรือเชื่อความคิดตัวเองและทำตามๆกันด้วยการประเคนเงิน555
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งใจดีเอาเงินให้เขาใช้ใจเขาสูงกว่าคำสอนไหมที่รับเงินนั้นน่ะ
:b32: :b32:

รู้สึกตัวรึยังคะไปอ่านสิคะปัญญามีแค่ไหนเข้าใจอะไรบ้างล่ะเนี่ยถ้าฟังจากพระโอษฐ์นั้น
ตอนที่อลัชชีฟังว่ารับเงินไม่ได้ถึงกระอักเลือดน่ะลาสิกขาเป็นแถวนั่นน่ะอะไรคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 14:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
บอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์จนกว่าจะละคลายความติดใจจะไปทำและละไม่รู้ตามคำสอนได้นะคะ
:b12:
:b16: :b16:


แค่ฟังยังไม่พอครับ ต้อง

+ อ่าน ฟัง พูด เขียน เรียนรู้พิจารณา
น้อมมาปฏิบัติขัดเกาจิตใจให้ใสสะอาด
ให้ปราศจากกิเลสไร้มลทิน ถึงจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขาดสูญ สู่แดนพระนิพพาน

+ ความเพียรยังมีน้อย เพราะคอยฟังจากคนอื่น
สู้ฝืนอดทน ตนอ่านเองยังจะดีกว่า
พัฒนาตนจากเป็นผู้ฟัง ตั้งใจหันไปสู่การอ่าน
ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เขียน เรียนรู้น้อมนำมาปฏิบัติ
ขจัดขัดเกากาย วาจา ใจ เป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขเอ๋ย

:b12:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน
คิดไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจสิคะ
ถ้าไม่ฟังจะรู้จักไหมว่าคนไหนคือพระพุทธเจ้าค๊ะ
คำสอนคือความจริงทุกคำมีไว้ให้ศึกษาโดยการฟังไม่ใช่อ่านตามความคิดเห็นผิดๆของตนเองค่ะ
https://youtu.be/hXww3--VQrQ
:b12:
:b32: :b32:



ประเด็นนี้ คุณโรสพูดถูก

อ้างคำพูด:
เวลาที่เกิดพบพระพุทธเจ้า
มีตำราให้อ่านอย่างนั้นหรือ
พระพุทธเจ้าเทศนาให้ฟังค่ะ
มีตำราก่อนหรือฟังเสียงก่อน


ตอนนั้น ตำรายังไม่มี พูดให้ฟัง จบไปตอนหนึ่งนะ

แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันกาลนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหน ไหน คุณโรสช่วยพากันไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมหน่อยสิ เพื่อจะไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม่สุจินยังงั้นหรอ ไม่น่าใช่ ไม่น่าหรอก ไม่ใช่ๆเลยแหละ :b32:

Kiss
สาวก แปลว่า ผู้ฟังคำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและทรงแสดงคำวาจาสัจจะตรงจริง
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงตามที่ตรัสแล้วทุกคำไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
และผู้ที่สะสมปัญญามาแล้วจนถึงระดับที่จะบรรลุพอได้ฟังรู้ตรงคำจริงนั้นทันทีค่ะไม่ได้ทำ
เพราะทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนทำได้แต่เป็นกิจของปัญญามีกำลังถึงแล้วค่ะไม่ได้ทำ
เข้าใจไหมว่าสภาพธัมมะตามปกติตามเป็นจริงไม่มีตัวตนแต่ตัวเองไม่รู้และยึดติดตัวตนยึดติดตำราคิดเอาว่า
ปัญญาเป็นไปตามที่ตัวเองอ่านแล้วแยกตัวตนออกไปทำแปลกแยกออกไปอีกต่างหากผิดปกติไหมคะไม่ฟัง
พระพุทธเจ้าแสดงความจริงให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆเดี๋ยวนี้ไม่มีคนสัตว์วัตถุแต่ประการใดเข้าใจไหมคะ
มีแต่อุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์แต่ละ1ที่กำลังเกิดดับพร้อมจิตทีละ1ขณะว่ามีตัวตนของตนจริงๆไม่รู้จึงไปทำ
ไม่ฟังให้เข้าใจเพื่อให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งความจริงตรงตามเสียงความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามคำตถาคต
แล้วเข้าใจถูกตรงตามความจริงที่กายใจตัวเองกำลังเป็นไปแล้วรู้สึกตัวว่าไม่รู้อะไรบ้างไม่ใช่ไปอ่านคำไหน
ก็รู้ไปหมด555เข้าใจไหมว่าอดีตสัญญาจากการจำคำต่างๆที่ตถาคตบัญญัติได้ไม่ใช่ปัญญาเป็นสัญญาขันธ์
ปรุงกิเลสตนเองตามปกติที่ไม่สะสมปัญญาที่เกิดจากการปรุงแต่งจิตตามคำสอนให้ตรงทางตามปกติตามจริง
แปลว่ากิเลสใหม่สะสมแล้วทุกแสนโกฏิขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังขาดสุตมยปัญญาไม่ฟังและไม่พึ่งคำสอนยุ่
:b12:
:b32: :b32:

ชาตินี้รู้ตัวแล้วว่าได้เป็นคนรู้จักไหมคะ
คำว่าฟังให้เข้าใจถูกก่อนจิตออกจากร่างกายนี้
อริยสัจจะกำลังเป็นไปตรงทุกคำในพระไตรปิฎก
ตัวเองรู้สึกตัวตามความจริงตามคำสอนตรงกับคำไหนอยู่ล่ะคะ
https://youtu.be/8Tn97IZJLx8



อ้างคำพูด:
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คำสอนเข้าใจถูกตามเป็นจริง

ใครไม่ได้ฟังก็ไม่ได้สะสมปัญญารู้ความจริงตามปกติ

เพราะทุกอย่างเกิดและดับแล้วตามเหตุตามปัจจัยตามลำดับ


นั่นไง ผลไม้พันธ์ผสม

สาวก แปลว่า ผู้ฟัง แค่นี้นะ

แล้วก็นำความคิดความเห็นความเข้าใจของตนเสริมเติมต่อไปอีก อะไรนักก็ไม่รู้เสริมเข้าไป มันจึงกลายเป็นไม้พันธ์ผสม จะว่ามะม่วงก็ไม่ใช่ จะว่าต้นตาลก็ไม่ใช่ คิกๆๆ


ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีก 555 เดี๋ยวนี้คือทุกขะอริยสัจ จะกำลังมีอยู่ และกำลังมีไม่รู้=มีกิเลสเป็นของตัวตนรู้ตอนฟัง
คือทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกสิ่งกำลังเกิดดับ แปลว่า ไม่มี ไงคะ มีตัวอยู่ไม่ใช่เหรอคะ 555 เนี่ยแหละไม่รู้ว่าไม่มีตัวค่ะ
https://youtu.be/qotFK_pUak4
:b32: :b32: :b32:

เอาอีกแหละ เกิดดับ แปลว่า ไม่มี คิกๆๆๆ

Kiss
จิตไม่อยู่นอกรูปที่กายเลยแม้แต่นิดนึงดับตรงจุด
เอาน่าคิดใหม่ให้ตรงทีละ1ทางถึงจะเข้าใจตามได้นะ
จิตเกิดดับทีละ1ขณะมีภวังคจิตคั่นก่อนจึงส่งไปที่คิดดับในมโนทวารวิถีเกลี้ยงเลยมีภวังคจิตคั่นครั้งที่2
จากนั้นจึงมีจิตทางอื่นเกิดต่อได้จะทางไหนอย่ารู้เลยเพราะมันเลือกรู้ไม่ได้นอกจากคิดตรงทางที่กำลังปรากฏ
ทางไหนที่ตนเองคิดไม่ได้แสดงว่าขาดสติแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังคิดตามคำสอนตรงสัจจะที่กายใจมียุ่
เพราะจิตไม่เกิดนอกกายของคุณดังนั้นที่ส่งออกไปตามเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ก็คิดตามอวิชชาของตัวเองไง
ลองฟังคลิปนี้คลิปเดียวสัก5รอบดูจิตตัวเองว่าตามฟังรู้เรื่องไหมเพราะถ้าไม่มีสมาธิจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ
https://youtu.be/G10eOHxVY_s
:b12:
:b32: :b32:

อ่าน ช้าๆ ชัดๆ ที ละ คำ ทำ ไม่ได้ ต้องฟัง เพื่อ ให้รู้ เพิ่มขึ้น ตาม ลำดับ
เข้าใจความหมายของตามไหม ตามฟังทีละคำ เข้าใจตรงความหมาย
ตามลำดับ ทำตรงขณะคือจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยยุ่แล้ว
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่ม...ที่มีอยู่ตอนนี้คือกำลังมีกิเลสเพราะไม่ฟังยุ่
ประมาทการฟังย่อมไม่ได้ทำตามปัญญาตรงตามที่ตถาคตตรัส
ว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังพระธรรม
พระธรรมแทนศาสดาจะทำปัญญาต้องถูกทางตามลำดับ
ทำฟังตอนลืมตาตื่นรู้คือตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
คนละทางกับทำฌานค่ะคือฌานนั้นเริ่มหลับตาทำนะคะ
ตัวเองเป็นคนตรงไหม...รู้...ตาม...คำสอน...ของ...ตถาคต...ทุกคำ...ตรง1คำวาจาสัจจะตรงจริงที่กายกำลังมี
เริ่มทำปัญญาจากการฟังตรงตามคำสอนตรงปัจจุบันขณะฟังตรงทีละ1ทางจนกว่าจะเป็นผู้รู้ตรงทางเข้าใจบ่
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/yV1PnZYR7lw
สัญญาณเตือนให้ฟังดังตลอดเลยนะรู้ยังคะ
:b32: :b32:

ฟังคลิปเสียงจากบ้านธรรมะแล้วจะมี กริยามารยาทอย่างนี้ ทิฏฐิวาทะอย่างนี้ มั้ยครับ
ถ้าฟังแล้วกลายเป็นแบบนี้ผมจะได้ไม่ฟัง

:b32:
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งประเคนเงินให้อลัชชี
นั่นไม่ใช่ภิกษุตามพระธรรมและพระวินัย
คุณตรงต่อการปฏิบัติของตัวเองไหมคะที่
เอาเงินไปประเคนให้คนที่แค่คนที่นุ่งจีวรนั้น
ไม่ใช่บรรพชิตที่บวชเพราะสละอาชีพการงาน
ไม่ประกอบอาชีพสละสมบัติญาติพี่น้องคริคริคริ
แค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้ยังละเมิดไม่เชื่อไม่ทำตามคำสอน
แล้วจะมีปัญญาไว้ทำอะไรคะคุณเชื่อคำสอนของตถาคต
หรือเชื่อความคิดตัวเองและทำตามๆกันด้วยการประเคนเงิน555
ทั้งกราบทั้งไหว้ทั้งใจดีเอาเงินให้เขาใช้ใจเขาสูงกว่าคำสอนไหมที่รับเงินนั้นน่ะ
:b32: :b32:

รู้สึกตัวรึยังคะไปอ่านสิคะปัญญามีแค่ไหนเข้าใจอะไรบ้างล่ะเนี่ยถ้าฟังจากพระโอษฐ์นั้น
ตอนที่อลัชชีฟังว่ารับเงินไม่ได้ถึงกระอักเลือดน่ะลาสิกขาเป็นแถวนั่นน่ะอะไรคะ
:b32: :b32:


เดือนหน้านี้ผมจะบวช จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ขอเชิญร่วมอนุโมทนาบุญครับคุณรส
พระดียังมีอยู่อีกมาก ผมคนนึงหล่ะจะเป็นพระดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 15:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:

เดือนหน้านี้ผมจะบวช จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ขอเชิญร่วมอนุโมทนาบุญครับคุณรส
พระดียังมีอยู่อีกมาก ผมคนนึงหล่ะจะเป็นพระดี


:b8: :b8: :b8:

:b27: :b27: :b27:

:b16: :b16: :b16:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:

เดือนหน้านี้ผมจะบวช จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ขอเชิญร่วมอนุโมทนาบุญครับคุณรส
พระดียังมีอยู่อีกมาก ผมคนนึงหล่ะจะเป็นพระดี


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนา สาธุ หากผมอยู่ใกล้และมีโอกาส ก็จะขอกราบ
เท้า คุณ Love J. ตอนบวชแล้ว เพื่อลดมานะตัวเองและเป็น
สิริมงคลแก่ตัวเอง

+ ผู้ยินดีย่อมได้รับสุข ผู้อิจฉาย่อมได้ทุกข์

+ อิจฉาพาให้จิตตก งกมากก็เช่นกัน

+ เรียนรู้พระธรรมนำมาปฏิบัติก็ย่อมจะได้รับความสุข
ที่ยังทุกข์เพราะไม่ลงมือทำนั้นเอง

+ เค้าจะดีหรือชั่วนั้นไม่สำคัญ อยู่ที่ตัวเรารู้จักมองและเลือกเอาแต่สิ่งที่ดี

+ ความจริงตนปฏิบัติได้มากแค่ไหน ตนเท่านั้นแหละรู้จักดี

+ ผู้ปฏิบัติธรรมถูก ย่อมมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
หิริโอตตัปปะ และความอ่อนน้อมถ่อมตน


จะเลือกแบบไหนก็แล้วแต่ใจของทุกท่านครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขูนํ ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง.
จริงอยู่ คำว่า ภิกฺขูนํ นี้ ท่านกล่าวโดยวจนวิปลาส. อาจารย์บาง
พวกกล่าวว่า อาโลปํ ภิกฺขุโน ทตฺวา ถวายข้าว ๑ คำ แก่ภิกษุ
รูปหนึ่ง. บทว่า อาโลปํ ได้แก่คำข้าว, อธิบายว่า โภชนะประมาณ
๑ คำ. บทว่า ปาณิมตฺตญฺจ โจลกํ ความว่า ท่อนผ้าประมาณ
ฝ่ามือ ๑. บทว่า ถาลกสฺส จ ปานียํ ความว่า น้ำประมาณเต็มขัน
ใบ ๑. คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าว ในขัลลาฏิยเปติวัตถุแล.

ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตร เห็นนางเปรตนั้น มีอินทรีย์
ผ่องใส มีผิวพรรณผุดผ่อง มีผ้าและอาภรณ์เครื่องประดับอันเป็น
ทิพย์ ส่องสว่างไปรอบด้าน ด้วยรัศมีของตน ผู้เข้าไปหาแล้ว
ยืนอยู่ ประสงค์จะให้นางเปรตนั้น ประกาศผลกรรม โดยประจักษ์
จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-

ดูก่อน นางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม
ยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจ
ดาวประกายพรึก ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะ
กรรมอะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมาน
นี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่าง
อันเป็นที่น่ารัก เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะกรรม

อะไร? ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีอานุภาพมาก เราขอ
ถามท่าน ท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้
อนึ่ง ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีอัน
สว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกนฺเตน แปลว่า มีใจเอิบอาบ
ยิ่ง อธิบายว่า มีรูปงาม. บทว่า วณฺเณน ได้แก่ มีผิวพรรณ. บทว่า
โอภาเสนฺตี ทิสา สพฺพา ได้แก่ โชติช่วงทั่วทั้ง ๑๐ ทิศ คือ ทำให้
มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน. เมื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า เปรียบ
เหมือนอะไร ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า เหมือนดาวประกายพรึก
อธิบายว่า ท่านส่องทิศทั้งปวงให้สว่างไสวอยู่ เหมือนดาวอันได้
นามว่า โอสธี เพราะเป็นเครื่องทรงรัศมีอันหนาแน่นไว้ หรือ
เพราะเพิ่มให้กำลังแก่โอสถทั้งหลาย ทำให้มีแสงสว่างรอบด้าน
ตั้งอยู่ฉะนั้น.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็ กึ ศัพท์ ในบทว่า เกน นี้ ใช้ในคำถาม. ก็บทว่า เกน นี้
เป็นตติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งเหตุ อธิบายว่า เพราะเหตุไร.
บทว่า เต แปลว่า ของท่าน. บทว่า เอตาทิโส แปลว่า เช่นนี้,
ท่านกล่าวอธิบายว่า ตามที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้. บทว่า เกน เต
อิธมิชฺฌติ ความว่า ผลแห่งสุจริตที่ท่านได้ในบัดนี้ ย่อมสำเร็จคือ
เผล็ดผล ในที่นี้เพราะบุญพิเศษอะไร. บทว่า อุปฺปชฺชนฺติ แปลว่า

บังเกิด. บทว่า โภคา ความว่า อุปกรณ์พิเศษแห่งทรัพย์ เครื่อง
ปลื้มใจมีผ้าและอาภรณ์เป็นต้น อันได้นามว่าโภคะ เพราะอรรถว่า
จะต้องใช้สอย. ด้วยบทว่า เย เกจิ นี้ ท่านพระสารีบุตรสงเคราะห์
เอาโภคะทุกอย่างโดยไม่เหลือ. เหมือนนิเทศที่รวบรวมเอาทั้งหมด
นี้ว่า สังขารทุกอย่าง ดังนี้เป็นต้น. บทว่า มนโส ปิยา ความที่ใจ
พึงรัก อธิบาย เป็นที่ชอบใจ.

บทว่า ปุจฺฉามิ แปลว่า เราขอถาม อธิบายว่า อยากจะรู้.
บทว่า ตํ ได้แก่ ตฺวํ แปลว่า ซึ่งท่าน. บทว่า เทวิ ความว่า ชื่อว่า
เทพธิดา เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์.
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ผู้มีอานุภาพมาก. บทว่า
มนุสฺสภูตา ได้แก่ เกิดในหมู่มนุษย์ คือ ได้ความเป็นมนุษย์.

คำว่า มนุสฺสภูตา นี้ ท่านกล่าวเพราะประสงค์ว่า โดยมากสัตว์
ผู้ดำรงอยู่ในอัตภาพมนุษย์จึงทำบุญได้. คาถาเหล่านี้ มีความ
สังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้ใน
อรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี.

นางเปรตถูกพระเถระถามซ้ำอย่างนี้ เมื่อจะประกาศเหตุที่
ตนได้สมบัตินั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า :-
เมื่อก่อนดิฉันเป็นเปรต พระคุณเจ้าเป็น
มุนีผู้มีความกรุณาในโลก ได้เห็นดิฉันซูบผอม
เหลือง ถูกความหิวแผดเผา เปลือยกาย มีหนัง
แตก เป็นริ้วรอย เสวยทุกขเวทนา จึงได้ถวาย
ข้าวคำหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือ ๑ ผืน น้ำดื่ม

๑ ขัน แด่ภิกษุ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ดิฉัน ขอ
ท่านจงดูผลแห่งข้าวคำหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าถวาย
แล้ว ดิฉันเป็นผู้ที่ได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา บริโภค
อาหารมีกับข้าวมีรสหลายอย่าง ตั้งพัน ๆ ปี ขอ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระคุณเจ้า จงดูผลแห่งการถวายผ้าประมาณเท่า
ฝ่ามือ ที่ดิฉันได้รับนี้เถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ผ้าในแว่นแคว้นของพระเจ้านันทราช มีประมาณ
เท่าใด ผ้านุ่งผ้าห่มของดิฉันมีมากกว่านั้นอีก คือ
ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้าแม้เหล่านั้น
ทั้งกว้าง ทั้งยาว ทั้งมีค่ามาก ห้อยอยู่ในอากาศ
ดิฉันเลือกเอาแต่ผืนที่พอใจมานุ่งห่ม ขอพระคุณ

เจ้าจงดูผลแห่งการถวายน้ำดื่ม ๑ ขัน ซึ่งดิฉันได้
รับอยู่นี้ สระโบกขรณี ๔ เหลี่ยมลึก อันบุญกรรม
สร้างให้ดีแล้ว มีน้ำใส มีท่าราบเรียบ น้ำเย็น มี
กลิ่นหอมหาสิ่งเปรียบมิได้ ดาระดาษไปด้วยดอก
ปทุมและดอกอุบล เต็มไปด้วยน้ำอันดาระดาษไป
ด้วยเกสรดอกบัว ดิฉันปราศจากภัย รื่นรมย์
ชื่นชม บันเทิงใจอยู่ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ดิฉันมาเพื่อจะไหว้พระคุณเจ้า ผู้เป็นมุนี มีความ
กรุณาในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปณฺฑุกึ แปลว่า มีตัวเหลือง.
บทว่า ฉาตํ ได้แก่ ผู้หิวกระหาย คือถูกความหิวครอบงำ. บทว่า
สมฺปติตจฺฉวึ ได้แก่ ผู้มีผิวแห่งร่างกายแตกออกเป็นริ้ว. บทว่า
โลเก นี้ เป็นบทแสดงอารมณ์ของกรุณาที่กล่าวไว้ในบทว่า
การุณิโก นี้. บทว่า ตํ มํ ได้แก่ ซึ่งดิฉันผู้เป็นเช่นนั้น คือ ดิฉัน
ผู้ตั้งอยู่ในฐานะควรกรุณา โดยส่วนเดียว ตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า ทุคฺคตํ แปลว่าถึงทุคคติ.

บทว่า ภิกฺขูนํ อาโลปํ ทตฺวา ดังนี้เป็นต้น เป็นเครื่องแสดง
อาการที่พระเถระทำความกรุณาแก่ตน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ภตฺตํ ได้แก่ ข้าวสุก, อธิบายว่า โภชนะอันเป็นทิพย์. บทว่า
วสฺสสตํ ทส ได้แก่ ร้อยปี ๑๐ ครั้ง อธิบายว่า ๑,๐๐๐ ปี. ก็คำนี้

เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ แปลว่า ตลอด.
มีวาจาประกอบความว่า บทว่า ภุญฺชามิ กามกามินี อเนกรสพฺยญฺชนํ
ความว่า ดิฉันประกอบด้วยสิ่งที่น่าต้องการ แม้อื่น ๆ จึงบริโภค
อาหารมีกับข้าวมีรสต่าง ๆ.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ด้วยคำว่า โจฬสฺส นี้ นางเปรตแสดงเฉพาะบุญอันสำเร็จ
ด้วยทาน ซึ่งมีผ้านั้นเป็นอารมณ์ โดยมุ่งเอาไทยธรรมเป็นหลัก.
บทว่า วิปากํ ปสฺส ยาทิสํ ได้แก่ ขอท่านจงดูผลกล่าวคือวิบาก
ของการถวายผ้าเป็นทานนั้นเถิด. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็
ผลนั้นเป็นเช่นไร นางเปรตจึงกล่าวคำว่า ยาวตา นนฺทราชสฺส
ดังนี้เป็นต้น.

ในคำนั้น ใคร ชื่อว่า นันทราชาองค์นี้ ได้ยินว่า ในอดีตกาล
ในหมู่มนุษย์ผู้มีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี มีกฎุมพีชาวเมืองพาราณสี
คนหนึ่ง เที่ยวเดินเล่นในป่า ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง
ที่ในป่า. พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น กำลังทำจีวรอยู่ในป่านั้น
เมื่อผ้าอนุวาตไม่พอ. ก็เริ่มจะพับเก็บ. กฎุมพีนั้นเห็นดังนั้นจึง
กล่าวว่า ท่านทำอะไรขอรับ แม้ท่านจะไม่พูดอะไร ๆ เพราะท่าน

เป็นผู้มักน้อย ก็รู้ว่าทำผ้าจีวรไม่พอ จึงวางผ้าห่มของตน ที่ใกล้
เท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็ไป. พระปัจเจกพุทธเจ้า ถือเอา
ผ้าอุตราสงค์นั้นมาใช้เป็นผ้าอนุวาตทำจีวรห่ม. ในเวลาสิ้นชีวิต
กฎุมพีนั้น ตายไปเกิดในภพดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอยู่ในภพ
ดาวดึงส์นั้นตลอดชั่วอายุ จุติจากภพดาวดึงส์นั้นไปบังเกิดในตระกูล
อำมาตย์ บ้านหนึ่ง ในที่ประมาณ ๑ โยชน์ จากเมืองพาราณสี.

ในเวลาเขาเจริญวัย ได้มีการป่าวร้องงานนักขัตตฤกษ์
ในบ้านนั้น เขาพูดกะมารดาว่า คุณแม่ จงให้ผ้าสาฎกแก่ฉันบ้าง
ฉันจักเล่นงานนักขัตฤกษ์. มารดาได้นำเอาผ้าที่ซักไว้สะอาด
ดีออกมาให้. เขาพูดว่า ผ้าผืนนี้ เนื้อหยาบจ๊ะแม่. มารดาจึงได้
นำผ้าอื่นมาให้. แม้ผ้าผืนนั้น เขาก็ปฏิเสธเสียอีก. ลำดับนั้น

มารดาจึงกล่าวกะเขาว่า พ่อเอ๋ย พวกเราเกิดในเรือนที่ไม่มีบุญ
จะได้ผ้าที่เนื้อละเอียดกว่านี้. เขากล่าวว่า ฉันจะไปยังที่ที่จะได้
นะแม่. มารดากล่าวว่า ไปเถอะลูก แม่ปรารถนาจะให้เจ้าได้
ราชสมบัติ ในเมืองพาราณสีในวันนี้แหละ. เขารับพรแล้ว ไหว้
มารดา ทำปทักษิณแล้วกล่าวว่า ฉันไปละแม่. แม่ก็พูดว่า ไปเถอะ

ลูก. ได้ยินว่า มารดานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เขาจักไปไหน
เขาก็จักนั่งอยู่ในเรือนนี้ หรือ เรือนนั้น. ส่วนเขาถูกนิยามแห่งบุญ
ตักเตือนอยู่ จึงออกจากบ้านไปเมืองพาราณสีแล้ว นอนคลุ่มศีรษะ
บนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล. ก็วันนั้นเป็นวันที่พระเจ้าพาราณสี
สวรรคตได้ ๗ วัน.

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พวกอำมาตย์และปุโรหิต พากันถวายพระเพลิงพระบรมศพ
แล้ว นั่งปรึกษากันที่พระลานหลวงว่า พระราชา มีพระราชธิดา
๑ พระองค์, แต่พระราชโอรสไม่มี, ราชสมบัติที่ไม่มีพระราชา
ครอบครอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้, พวกเราจักปล่อยบุษยรถ (รถสีขาว)
ไป. มีสีเหมือนดอกโกมุทเทียมรถแล้ว วางเครื่องราชกกุธภัณฑ์
๕ อย่าง มีเศวตฉัตรเป็นประธาน วางไว้ในรถนั่นแหละ แล้วปล่อย

รถไป ให้ประโคมดนตรีตามมาข้างหลัง. รถออกจากประตูด้าน
ทิศตะวันออก ได้มุ่งตรงไปยังพระราชอุทยาน. อำมาตย์บางพวก
กล่าวว่า รถมุ่งหน้าไปทางอุทยาน เพราะความเคยชิน, พวกเรา
จะให้กลับ. ปุโรหิตกล่าวค้านว่า อย่าให้กลับเลย. รถทำปทักษิณ
กุมารแล้ว ทำท่าจะขึ้นก็ได้หยุดเสีย. ปุโรหิต ดึงชายผ้าห่มออก

ตรวจดูฝ่าเท้าทั้ง ๒ ข้าง กล่าวว่า ทวีปนี้ จงยกไว้ กุมารนี้สมควร
เพื่อจะครอบครองเอกราช ในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐
เป็นบริวาร ดังนี้แล้ว จึงให้ประโคมดนตรีขึ้น ๓ ครั้งว่า จงประโคม
ดนตรี จงประโคมอีก.

ลำดับนั้น กุมารเปิดหน้าแลดูแล้วกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย
พวกท่านพากันมา ด้วยการงานอะไร. พวกอำมาตย์กล่าวว่า
ข้าแต่สมมุติเทพ ราชสมบัติถึงแก่ท่าน. กุมารถามว่า พระราชา
ของพวกท่านไปไหนเสียเล่า? พวกอำมาตย์กล่าวว่า ทิวงคต
เสียแล้วนาย. กุมารถามว่า ล่วงไปกี่วันแล้ว? พวกอำมาตย์

กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ ๗. กุมารถามว่า พระราชโอรส พระ-
ราชธิดาไม่มีดอกหรือ? พวกอำมาตย์กล่าวว่า มีแต่พระราชธิดา
พระราชโอรสไม่มี. กุมารกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เราจักครอบครอง
ราชสมบัติ. พวกอำมาตย์เหล่านั้น พากันทำมณฑปสำหรับอภิเษก
ในทันทีทันใด แล้วประดับพระราชธิดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง
แล้ว นำมายังพระราชอุทยาน ทำการอภิเษกกุมาร.

ลำดับนั้น พวกอำมาตย์ น้อมนำผ้ามีค่าแสนหนึ่ง เข้าไป
ถวายพระราชกุมารผู้อภิเษกแล้วนั้น. พระราชาพระองค์ใหม่นั้น
ตรัสถามว่า นี่อะไรกันพ่อ? พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ผ้าสำหรับ
นุ่งพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ผ้าเนื้อหยาบมิใช่หรือ พ่อ.
พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ในบรรดากระบวนผ้าที่พวก

มนุษย์ใช้สอยกัน ผ้าที่ละเอียดกว่านี้ไม่มี พระเจ้าข้า. พระราชา
ตรัสถามว่า พระราชาพระองค์เก่าของพวกท่าน ทรงนุ่งผ้าเห็น
ปานนี้หรือ? พวกอำมาตย์ทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมุติเทพ.
พระราชาตรัสว่า พระราชาของพวกท่านเห็นจะไม่มีบุญ พวก

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท่านจงนำเอาพระเต้าทองมา เราจักได้ผ้า. พวกอำมาตย์ จึงนำ
เอาพระเต้าทองมา. พระราชาเสด็จลุกขึ้นล้างพระหัตถ์ ด้วย
พระองค์ บ้วนพระโอษฐ์ แล้วเอาพระหัตถ์กอบน้ำ สาดไปทาง
ทิศตะวันออก. ในคราวนั้น ต้นกัลปพฤกษ์ ๘ ต้น ทำลาย
แผ่นดินหนาผุดขึ้น. ทรงกอบน้ำอีกแล้วสาดไปในทิศใต้ ทิศตะวันตก
ทิศเหนือ ทรงสาดไปทั้ง ๔ ทิศ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ต้น

กัลปพฤกษ์ทิศละ ๘ ต้น ๘ ต้น รวมเป็น ๓๒ ต้น ผุดขึ้น
ทั่วทุกทิศ. บางอาจารย์กล่าวว่า ต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้น ๖๔ ต้น
โดยแบ่งเป็นทิศละ ๑๖ ต้น. พระราชาทรงนุ่งผ้าทิพย์ผืนหนึ่ง
ห่มผืนหนึ่งแล้วตรัสว่า พวกท่านจงเที่ยวตีกลองป่าวประกาศว่า
ในแว้นแคว้นของพระเจ้านันทราช พวกผู้หญิงที่กรอด้าย ไม่ต้อง
กรอด้าย ดังนี้แล้ว จึงให้ยกเศวตฉัตรขึ้น ทรงตกแต่งประดับ
ประดา เสด็จขึ้นคอช้างตัวประเสริฐ เข้าพระนคร ขึ้นสู่ปราสาท
แล้ว เสวยมหาสมบัติ.

เมื่อเวลาล่วงไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระเทวีเห็นสมบัติของ
พระราชาแล้ว ทรงแสดงอาการแห่งความกรุณาว่า พุทโธ่
ท่านผู้มีตปะ และถูกย้อนถามว่า นี่อะไรกัน พระเทวี จึงทูลว่า
ข้าแต่สมมุติเทพ สมบัติของพระองค์ใหญ่ยิ่ง พระองค์ได้กระทำ
กรรมอันงามไว้ในอดีตกาล, บัดนี้ ไม่ทรงทำกุศลไว้เพื่อประโยชน์

แก่อนาคตกาล. พระราชาตรัสว่า เราจะให้แก่ใคร ไม่มีท่านผู้มีศีล.
พระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ชมพูทวีป ไม่ว่างเปล่า
จากพระอรหันต์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงจัดเตรียมทานไว้เท่านั้น
หม่อมฉันจักได้พระอรหันต์. ในวันรุ่งขึ้น พระราชาสั่งให้ตระเตรียม
ทานอันควรแก่ค่ามากไว้. พระเทวีทรงอธิษฐานว่า ถ้าในทิศนี้
มีพระอรหันต์ไซร้ ขอนิมนต์มารับภิกษาหารของดิฉันทั้งหลาย

ในที่นี้เถิด แล้วทรงนอนราบผินหน้าไปทางทิศเหนือ. เมื่อพระเทวี
นอนลงเท่านั้น บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นพระ-
ราชโอรสของนางปทุมวดี ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ พระมหาปทุม-
ปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพี่ชาย เรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้น้องชาย
มาว่า ท่านผู้นิรทุกข์ พระเจ้านันทราชนิมนต์พวกท่าน ขอพวกท่าน

จงรับนิมนต์ของพระองค์เถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น รับ
นิมนต์แล้ว เหาะไปทันที แล้วลงที่ประตูด้านทิศเหนือ. พวกมนุษย์
กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมุติเทพ พระปัจเจกพุทธเจ้า
๕๐๐ องค์มาแล้ว. พระราชาพร้อมกับพระเทวีเสด็จมาไหว้ รับ
บาตรแล้วนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ขึ้นยังปราสาท
ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น บนปราสาท ในเวลาเสร็จ
ภัตตกิจ พระราชาทรงหมอบที่ใกล้เท้าของพระสังฆเถระ พระเทวี
ทรงหมอบที่ใกล้เท้าของพระสังฆนวกะ ให้ทรงกระทำปฏิญญาว่า
พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จักไม่ลำบากด้วยปัจจัย ข้าพเจ้าทั้งหลาย

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2019, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดและความปราถนาดีของคุณ โรส นั้นถูกต้อง
ชอบแล้วครับที่ว่า พระสงฆ์มิควรรับเงินตามพระไตรปิฏก
ที่กล่าวไว้ แต่ผมขอถามหน่อยเถอะครับว่า คุณ โรสปฏิบัติ
เองด้วยการไม่ถวายเงินทองและชักชวนคนอื่นยังไง และได้
กี่คนแล้วครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร