วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 289 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 12:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาจาใจที่ฝึกดีแล้ว
ย่อมมองเห็นและพ้นห้วงความคิดการยึดติดในกุศลอกุศล
ฝึกฝนพัฒนาตนให้แจ้งในกายวาจาใจหยาบและละเอียด
มิติทุกภพจบที่ใจ.


แก้ไขล่าสุดโดย luna เมื่อ 27 มี.ค. 2019, 12:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 12:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
[url]Y7414436-2/url]


คุณ luna จะหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 14436.html

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
[url]Y7414436-2/url]


คุณ luna จะหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 14436.html

:b1:

ใช่แล้วท่านเอกอน

แต่ผมต้องการ
แค่รูปแผนที่ทางธรรม ยอมรับครับว่า
ลืมไปเยอะ ต้องมา
หัดเอาใหม่ครับ
การโฟสภาพ เคยทำได้ ลืมขั้นตอน
มันมีเว็ปฝากรูป
แล้วเอาลิ๊งมาฝากในระบบ แต่ก็ลองผิดลองถูกอยู่ครับท่านเอกอน ขอบใจมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 12:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
[url]Y7414436-2/url]


คุณ luna จะหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 14436.html

:b1:

ใช่แล้วท่านเอกอน

แต่ผมต้องการ
แค่รูปแผนที่ทางธรรม ยอมรับครับว่า
ลืมไปเยอะ ต้องมา
หัดเอาใหม่ครับ
การโฟสภาพ เคยทำได้ ลืมขั้นตอน
มันมีเว็ปฝากรูป
แล้วเอาลิ๊งมาฝากในระบบ แต่ก็ลองผิดลองถูกอยู่ครับท่านเอกอน ขอบใจมาก


:b27: ... พยายามทำให้สำเร็จนะคะ ...

หวังว่าจะมีผู้ดูแลระบบที่มีความชำนาญมาช่วยให้คำแนะนำนะคะ
เพราะเรื่องพวกนี้ เอกอน ก็ไม่ค่อยถนัด :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 13:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
[url]Y7414436-2/url]


คุณ luna จะหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 14436.html

:b1:

ใช่แล้วท่านเอกอน

แต่ผมต้องการ
แค่รูปแผนที่ทางธรรม ยอมรับครับว่า
ลืมไปเยอะ ต้องมา
หัดเอาใหม่ครับ
การโฟสภาพ เคยทำได้ ลืมขั้นตอน
มันมีเว็ปฝากรูป
แล้วเอาลิ๊งมาฝากในระบบ แต่ก็ลองผิดลองถูกอยู่ครับท่านเอกอน ขอบใจมาก


:b27: ... พยายามทำให้สำเร็จนะคะ ...

หวังว่าจะมีผู้ดูแลระบบที่มีความชำนาญมาช่วยให้คำแนะนำนะคะ
เพราะเรื่องพวกนี้ เอกอน ก็ไม่ค่อยถนัด :b1:



:b35: :b35: :b35: นี่ถึงเรียกการสนทนาธรรม

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 14:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ก็จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 16:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
[url]Y7414436-2/url]


คุณ luna จะหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 14436.html

:b1:

ใช่แล้วท่านเอกอน

แต่ผมต้องการ
แค่รูปแผนที่ทางธรรม ยอมรับครับว่า
ลืมไปเยอะ ต้องมา
หัดเอาใหม่ครับ
การโฟสภาพ เคยทำได้ ลืมขั้นตอน
มันมีเว็ปฝากรูป
แล้วเอาลิ๊งมาฝากในระบบ แต่ก็ลองผิดลองถูกอยู่ครับท่านเอกอน ขอบใจมาก


:b27: ... พยายามทำให้สำเร็จนะคะ ...

หวังว่าจะมีผู้ดูแลระบบที่มีความชำนาญมาช่วยให้คำแนะนำนะคะ
เพราะเรื่องพวกนี้ เอกอน ก็ไม่ค่อยถนัด :b1:



:b35: :b35: :b35: นี่ถึงเรียกการสนทนาธรรม


:b1: :b32: :b9:

ไม่ใช่หรอก ...
เอกอนไม่ใช่นักสนทนาธรรมที่มีภูมิธรรมที่แข็งแรง
ดังนั้น การอ่อนน้อมถ่อมตนโดยมาก จึงเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะถ้าเอกอนจะไปแสดงกิริยาก้าวร้าว เอกอนก็ไปต่อกรกับใครลำบาก เพราะภูมิไม่แข็ง :b1:

การติดตามดูตามฟังอย่างสงบปากสงบคำ สงบอารมณ์จึงเป็นโซนปลอดภัย
คือ เอกอนมัวแต่อยู่ในโซนที่ปลอดภัยน่ะ :b32: :b32:
ปลอดภัย ปอดแหก คือนั่นล่ะ :b32: :b32:

การสนทนาธรรม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องครองมารยาทกันอย่างเดียว
มันก็มีการออก step กันได้บ้าง อยู่ที่ไหวพริบของแต่ละท่าน

คือ ตามความเข้าใจของเอกอน การสนทนาธรรมมันก็อาจจะมีการออก step ได้หลายรูปแบบน่ะ
ซึ่งในมุมมองของเอกอน คนที่เล่นไปกับ Step แสดงธรรม
สนทนาธรรมในทุกรูปแบบได้โดยจิตทรงตัว
ไม่แสดงอาการกระเพื่มหวั่นไหวต่อการปะทะคารม
เอกอนชื่นชมนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่เอกอนทำไม่ได้

ส่วนเรื่องนัยยะแห่งธรรมที่แสดง นั้นก็ต้องพิจารณาไปตามเนื้อความ

บางครั้งสายตาเอกอนก็มีไม่ตรงกับท่านอื่น ๆ บ้าง
อย่างเช่น น้องเม วาทะของน้องเมมักจะผันผวน ลวงตา
แต่ก็จะซ่อนอารมณ์ธรรมบางอย่างเอาไว้ตลอด
คือ...เมื่อจิตว่าง ๆ สบาย ๆ เอกอนมักจะเห็นความงามจากมุมที่น้องเมมอบให้เสมอ

:b32: อันนี้ค้านกับสายตาทุกคนใช่มั๊ย ...

คือไม่รู้สิ เหมือนกับว่า น้องเมพร้อมที่จะโยนทุกอย่างพุ่งมาหาเอกอน
แต่เวลาอ่าน เอกอนกลับได้รับความรู้สึกเป็นกระแสลึก ๆ
เหมือนกับเห็นน้องเมที่แววตาอ่อนหวาน ฉ่ำเย็น ยิ้มละไม
กระซิบอยู่ข้างหูตลอด "พี่เอกอน อ่านดี ๆ น๊ะจ๊ะ พิจารณาตามดี ๆ น๊ะจ๊ะ"
คือ เอกอนเห็น 2 อย่างในเวลาเดียวกัน
เห็นวาทะอันยั่วยวน
และเห็น ความรัก ความเมตตา ความสงบเย็น

อย่างสนทนากับท่านอื่น เอกอน ก็พอจะรับรู้ได้

ซึ่ง ทุกคนล้วนมีธรรมที่งดงามพอที่จะนำมาโชว์ได้ทั้งหมดนั่นล่ะ

ก็เมื่อลงมาลานเพื่อสนทนาธรรมแล้ว
ก็เปิดใจสนทนาไปตามกลไก ใช้ความสามารถที่ฝึกปฏิบัติมาอย่างเต็มที่

ที่ลานแห่งนี้ ก็มีทั้งผู้ให้ และผู้รับ
ผู้สนทนาก็เป็นทั้งผู้ให้ และ ผู้รับ
เป็นผู้ให้หนทางแห่งการขัดเกลา และเป็นผู้ได้รับการขัดเกลา
การขัดเกลาทำให้ธรรมที่มีอยู่ยิ่งงดงามขึ้น ... มันเป็นกลไกเช่นนั้น

เอกอนสนทนากับน้องเมมาพอสมควร เอกอนโดยมากจะเป็นผู้ที่ได้รับจากน้องเม นะคะ
แปลกมั๊ย ซึ่งในความรู้สึกของเอกอนเป็นอย่างนั้นนะ

ใครพอจะบอก(เดา)ได้บ้างมั๊ยคะ ว่าทำไมเอกอนจึงรู้สึกอย่างนั้น

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 มี.ค. 2019, 22:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2019, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เดาได้..แต่ไม่บอก.. :b32: :b32: :b32:

ก็บอกไปแล้วนี้..ว่าเดา.. :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 02:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ก็จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

ผมขอแสดงขั้นตอนการละอาสวะแทนคำถามของท่านอากาศเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่ผมพอจะระลึกได้นิดหน่อย
ผมยินดีเป็นมิตรกับทุกท่าน

ชื่อเรื่องธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

เจ็ดวันบรรลุธรรม
บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จท่านใดเป็นพระอรหันต์ ได้เลย
บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตลอดคืนพระได้นอนจงกลมรอบอุโบสถกับเพื่อนพระจน รุ่งขึ้นของวันใหม่วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2537 ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมลงปาฏิโมกข์สังฆกรรม พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์เกิดแรงบันดานใจจากพระอริยครูสายในดง เล่าลือกันว่าบรมครูเทพโลกอุดร หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์ท่านชอบฟังบทสวดพระปาฏิโมกข์มาก
อาศัยกำลังใจจากตรงนี้ เกิดสนใจขึ้นมาในเวลานั้นต้องมีอะไรสินะหลวงปู่ใหญ่ท่านถึงชอบฟังจึงกำหนดจิตพิจารณาตามเสียงสวดของพระปาฎิโมกข์ ขณะเดียวกันนั้นภายในจิตใจก็เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ไม่อยากจะนั่งต่อแล้ว
จิตที่คิดไม่ดีเอาแต่จะเลิกล้มการนั่งในอริยบทเดียว เพื่อหาทางออก
ที่จะพยายามขยับขยายสภาวะทุกขเวทนาในการปรับเปลี่ยนอริยบท ให้ได้รับความสบายขึ้น
์ชั่วขณะพระสวดพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลงพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรไม่ลดละแบบสู้ตายยอมตาย หากแม้นว่าเสียงพระสวดพระปาฏิโมกข์ยังจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย มีจิตจดจ่อ
จับกับความรู้สึกในเวทนาเหล่านั้น พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎาเกิดความสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลตรงที่พระนั่งพับเพียบอยู่นั้นมีละอองธรรมะที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกของสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของจักรวาลโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ที่สุดถึงพรหม ตลอดถึงพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมบรมครูผู้ที่เสด็จไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย ์1000 กลีบ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมะกับจิตที่บริสุทธิ์ของพระกฤษฏาว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเราคือพระพุทธะ เมื่อธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบดีแล้วมีพระพุทธคุณอันแผ่ซ่านออกจากร่างกาย พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ๆ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ สมบัติออกบวชหวังสำเร็จพระโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของ ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาจะตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้นจิตหนึ่งคือพุทธะ ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นั้นเท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเอาเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตายทิ้งไปเปล่า ตนจึงควรเป็นที่พึ่งของตน จะให้พระศาสดาทำแทนตรัสรู้แทนกันไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องทำเอาเองพรากเพียรพยายามด้วยตัวของท่านเอง เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูกด้วยความติดยึดยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หัวสมองของพระก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญาที่คลาดเคลื่อน ตัณหาความทะยานอยากอุปปทานตัวคิด
จิตที่อยู่เหนือโลกหนือธรรมะ ก็เท่ากับได้ลาขาดจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาพระองค์นั้นในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนมรรคผลพระนิพพานเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


มีหลักฐานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในคำสอนของพระเยซูไหมครับ ถ้ามีนำมาโชว์ ถ้าไม่มีเท่ากับว่าคุณกำลังให้ร้ายพระศาสนจักรอยู่ครับ
เรียนคุณ MichaeLPauL ผมสารภาพตามตรงว่าวันอาทิตย์ที่ 22 -6-51 ที่ผ่านมา ผมไปค้นหาหนังสือเล่นนั้นแต่ไม่พบแล้ว
แต่ถ้าคุณ MichaeLPauL จะใช้พลังจิตตรวจสอบความรู้นอกตำราผมก็ยินดี
เรื่องนี้เกิดที่วัดหลวงปู่ชอบสร้างเอาไว้ วัดป่าบ้านบง ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร
เพื่อน ๆผมได้เลือกกุฏิ ที่พักก่อนหน้าผม ส่วนตัวผมเองมีสิ่งศักสิทธิ์ดนใจให้ไปได้กุฏิไม้ไผ่มุงแฝก
มารู้เอาที่หลังว่าเป็นกุฎิที่หลวงปู่ชอบท่านมาภาวนา พระในวันว่าเป็นกุฏิหลวงปู่ชอบ
คุณ MichaeLPauL ก่อนขึ้นกุฏิผมแสดงอาการกราบคารวะที่บันไดทางขึ้นกุฏิหลวงปู่ชอบ
ผมมาอาศัยฝึกภาวนาไม่ได้คิดมาจับจองเป็นของตน การภาวนาของผมก็เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
จนมีอยู่คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วก็ขึ้นกุฏิเข้าที่ภาวนา
ปรากฏว่าเห็นร่างตนเองนอนตายและจิตกำลังจะออกไปเที่ยวแต่บังคับไม่ให้จิตออกนอกกาย จึงกำหนดดู หนังเลือดเนื้อ ข้างในเป็นอะไร ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูก ตั้งคำถามเข้าไปอีกว่า ในโครงกระดูกมีอะไรอยู่ข้างในอีก
ก็กลับคืนเป็นฝุ่นผงขี้เถ้า จึงเพ่งลงไปอีกที่ฝุ่นผงขี้เถ้าก็พบความจริง เป็นความว่างเปล่า ก็ ภาวนาตามปกติปรากฏภาพนิมิต พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านไม่ได้บอกชื่อหรือนามท่านแต่ท่านก็ให้เรานั่งนิพพานให้ดู และท่านยังแสดงอาการนิพพานในท่านั่งให้ดู ท่านนั่งไปสักพักก็ล้มพับไป แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปเดิน เดินไปสุดทางจงกลม
แล้วก็เดินมาถึงกลางทางจงกลมก็ล้มลงนิพพาน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรูปยืนท่านยืนได้สักพักหนึ่งก็ล้มลงกับพื้นกองกับพื้นดิน รูปนอนก็นอนตะแคงและก็หลับตานิพพานไปเลย เกิดธรรมะสังเวชบงตกกับชีวิต
ถ้าเวลาตายของเรามาถึงจะหลบไปตายในถ้ำด้วยรูปนั่งไม่ต้องการให้ใครมาพบมาเห็น

ก่อนหน้านั้นที่จะถึงกิเลสนิพพาน
ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็จะมีฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษสีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกแต่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นเย็นของสายฝนที่ผัสผัสผิวกาย
เป็นอยู่อย่างนี้นานทีเดียวนอนหลับเป็นเห็นเทพเทวาพากันมารดน้ำสังข์ ประกอบกับเห็นนิมิตรูปเจดีย์สีขาวล้อมรอบไปด้วยไม้กางเขน มีอักษรจารึกเป็นคำว่า เจดีย์พระคุณแม่
จนวันที่ผมทิ้งสำนักเดินทางไปหาวิเวกที่วัดป่าเขาเจริญธรรม ผมก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาตั้งสัจจะไม่ทานข้าวทานแต่น้ำ เร่งความเพียนเพื่อเผากิเลสให้หมดในชาตินี้ แต่ก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ผมลงมาปักกลดข้างล้างกุฏิ
ผมก็นอนภาวนาจนหลับดิ่งลึก มาตื่นเอาตอนหูได้ยินเสียงปีกนกตีกับอะไรก็ไม่ทราบ เสียงปีกของนกตีถี่มาก
จนผมต้องถอนจิตออกจากฌาน ลืมตาขึ้นดูก็เห็นนกกางเขน คู่หนึ่งบินลงมาจิกตีงูสิงที่เลื่อยมาทางกลดที่ผมปักอยู่
พอนกกางเขนเห็นว่าผมตื่นแล้ว ผมก็เข้าใจทันที่ว่านกกางเขนเค้ามาให้ความคุ้มครองเราในขณะที่นอนภาวนา คุณ MichaeLPauL ผมได้บอกขอบใจนกกางเขนที่เขามาปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากงูสิงตัวใหญ่ และผมก็ใช้ไม้กลดเขี่ยงูให้ออกพ้นทางจนมันเลื่อนเข้าไปในป่า
ผมมารู้ทีหลังคุณ MichaeLPauL ว่าผมไปปักกลดปิดทางเข้ารูของงูสิงตัวใหญ่
พ้นเรื่องงูไปผมก็มาพบเห็นวิญญาณจากนักซิ่งมอเตอร์ไซด์ตายคารถ ญาติก็เอามาฝากไว้ที่วัดผมก็ลงไปชักอนิจจา
เวลา 2 ทุ่มก่อนเดินจากซากมอเตอร์ไซด์ก็เกิดวิตกว่า ไม่มีชิ้นดีอย่างนี้ใครจะขับไปได้
กลางดึกสะงัดในฝันได้ยินเสียงวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้ากุฏิ หลวงพี่ ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นกัน
ผมก็ออกมาจากกุฏิอ้าวมอเตอร์ไซด์มันพังไปแล้ว ทำไมมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ละ
วิญญาณก็บอกว่าคนที่ตายแล้วสามารถรวบรวมสสานและพลังงานที่อยู่รอบ ๆตัวเป็นวัตถุต่างๆได้อย่างสบาย แล้วผมกับวิญญาณก็นั่งรถไปเที่ยวพอมีบ้านขวางอยู่ข้างหน้าผีก็ไม่หลบพระก็ซ้อนท้ายไปพอสมควร ชนจะๆ กันเห็นๆ
ก็กลายเป็นความว่างเปล่าขับไปแหวไปไม่มีสิ่งกรีดขวางหวาดเสียวไปหมด
จนขับมาส่งที่หน้ากุฏิแล้วหมุ่นนักบิดเมืองผีก็กล่าวอำลาจากไป




หลังจากที่ผีนักซิ่งหายลับตาไปแล้ว ก็สะดุ้งตื่นลุกออกมาเข้าทางจงกลมต่อ

เดินไปก็พิจารณาธรรมะ ไปจนเป็นเช้าวันใหม่ ก็ไปวางดอกไม้จันทน์ให้ผีนักซิ่ง
และก็ร่วมเผาจนเก็บกระดูก และก็ขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรมต่อแต่คืนนี้ว่าจะไม่เดิน เอาแค่นั่งสมาธิกับนอนภาวนาเท่านั้น คืนนี้ได้รับคำตักเตือนจากจ้าวป่าเจ้าเขา มาให้ปัญญา ท่าน ๆ การอดนอนผ่อนอาหารเอาแค่พอดี
อย่าทำให้มันเกินเลย พุทธเจ้าในอดีตก็ไม่กิเลสนิพพานด้วยการอดอาหาร สังขารต้องการอาหาร
แม้แต่ผมก็ยังมีอาหารทิพย์ทาน ส่วนท่านนั้นไม่พักผ่อนก็ไม่เป็นไรแต่ร่างกายต้องการอาหาร
การภวนามันจึงจะเป็นไปในมรรคผล เสียงเจ้าป่าท่านนี้ดังมาจากแท่นศิลาอาสน์ นั่งคู่กับมเหสีแต่งองค์ด้วยชุดกษัตริย์โบราณกำลังเสวยอาหารทิพย์อยู่บนฟ้าสวรรค์ที่แหวกเป็นชั้น ๆ ฟ้ามองมาที่โลกมนุษย์ บอกให้สติพระอยู่
เมื่อตนพิจารณาตามก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในความประมาทตามคำบอกของบัณฑิตทางธรรม
ก็ละความเพียรอันทำให้ตนลำบากเปล่า
ลงจากเขาไปหามะกูดเชื่อมทานเพื่อให้ร่างกายได้มีกำลังกลับคืนมา
และก็ลงจงกลมต่อในขณะที่เดินไปก็คิดไปว่า อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา
คุณ MichaeLPauL ผมก็ได้เอามาย่นย่อลงเหลือแค่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสัจจะปรมัตถ์แล้วไม่มี

เหตุเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนเป็นสัตว์มันจึงผิดจากบัญญัติ

เมื่อปัญญาญาณสามารถแยกสมมุติบัญญัติจริงตามสมมุติ วิมุติตามจริงออกจากกัน
เป็นเอกเทศก็ลงจากทางจงกลมเดินขึ้นกุฏินั่งภาวนาจนได้นิมิตในระนาบเดียวกันกับผู้มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้วก่อนหน้าพระ เสียงหัวเราะกับคำแสดงความชื่นชม
ดังเข้ามาในกุฏิ หุหุหุ พระอมิตาภะรูปนี้นั่งตรัสรู้ไม่เหมือนใคร และมีเสียงกำชับว่ารู้รึยังว่าท่านเป็นใคร
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ตั้งคำถามเสียงที่ทรงอำนาจนั้น ผมตอบว่าไม่รู้ครับ เสียงนั้นก็นำทางกระแสจิตอีกว่า ระลึกดี ๆ ว่าท่านเป็นใคร
คุณ MichaeLPauL ผมพยายามระลึกชาติจนทำใจให้นิ่งได้แล้ว ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นพระเยซูคริสต์
แขวนบนไม้กางเขน การเห็นเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีรูปที่ตรึงกับไม้กางเขน กับภาพนั่งคุกเข่าลงบนก้อนหินสวดภาวนาและภาพยืนภาวนา ส่วนภายไต้ไม้กางเขนลงมา มีลูกแกะแยกออกจากความมืด และก็มีเสียงกำกับว่า
รู้ภพชาติของตนแล้วซินะผมตอบว่าทราบแล้วครับว่าผมเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาเกิด
และพร้อมกับคำเชิญชวนให้ออกมาข้างนอกจะพาไปดูของดีและผมก็เดินลงมาหาเจ้าของเสียงที่ทรงพลังทันใดนั้นผ้าม่านที่มีคนหามเกี้ยว ก็เปิดออกให้เห็นใบหน้า ที่แท้เกี้ยวหามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเรียกให้เข้าไปนั่งกับท่านพอท่านพูดจบ ตัวผมก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวหามพร้อมท่านพระอาจารย์มั่น คนหามเกี้ยวก็ทะยานออกจากป่าเดินเหินอากาศจนมาลงที่อำเภอหนองไผ่และท่านอาจารย์มั่นกับผมก็ลงจากเกี้ยวและท่านก็ชี้ให้พระดู
ขุมทองคำอยู่ไต้พสุธาเป็นทองคำทั้งสิ้นดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความโลภขึ้นมาเลย และท่านก็พาเดินดูทรัพย์ไต้ดินจนได้เวลากลับท่านก็บอกให้คนหามเกี้ยวพระไปส่งพระที่กุฎิและท่านก็ลาจากไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวพระ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นจากไปไม่นานก็มองเห็นพระเดินออกมาจากทะเลทราย แล้วท่านก็บอกว่า
ผมพระพระมหากัสสปะ ทราบว่าท่านพ้นทุกข์เข้าถึงแดนอำมตะแล้วก็เลยนำเอาพระอบทองคำที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้ท่านเก็บรักษา ก่อนผมจะกลับไบในทีที่ผมมาผมก็จะมอบหนังเท้าของผมให้ท่านไป
ผมมาพบความหมายของหนังไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์
แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์
อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ
นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จริง
คุณ MichaeLPauL และพระพระมหากัสสปะก็เดินทางข้ามทะเลทรายห่างออกไป ๆจนลับตาผมไป


ท่านอากาศ
ก่อนเกิดมาเป็นเรา
การระลึกชาติแต่หนหลัง
ในอดีตชาติเรามีชื่อ
พระอาจารย์ดนัย
กัลยาณธัมโม


https://youtu.be/gGgiHJb3q_E


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 04:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ก็จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

ผมขอแสดงขั้นตอนการละอาสวะแทนคำถามของท่านอากาศเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่ผมพอจะระลึกได้นิดหน่อย
ผมยินดีเป็นมิตรกับทุกท่าน

ชื่อเรื่องธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

เจ็ดวันบรรลุธรรม
บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จท่านใดเป็นพระอรหันต์ ได้เลย
บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตลอดคืนพระได้นอนจงกลมรอบอุโบสถกับเพื่อนพระจน รุ่งขึ้นของวันใหม่วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2537 ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมลงปาฏิโมกข์สังฆกรรม พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์เกิดแรงบันดานใจจากพระอริยครูสายในดง เล่าลือกันว่าบรมครูเทพโลกอุดร หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์ท่านชอบฟังบทสวดพระปาฏิโมกข์มาก
อาศัยกำลังใจจากตรงนี้ เกิดสนใจขึ้นมาในเวลานั้นต้องมีอะไรสินะหลวงปู่ใหญ่ท่านถึงชอบฟังจึงกำหนดจิตพิจารณาตามเสียงสวดของพระปาฎิโมกข์ ขณะเดียวกันนั้นภายในจิตใจก็เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ไม่อยากจะนั่งต่อแล้ว
จิตที่คิดไม่ดีเอาแต่จะเลิกล้มการนั่งในอริยบทเดียว เพื่อหาทางออก
ที่จะพยายามขยับขยายสภาวะทุกขเวทนาในการปรับเปลี่ยนอริยบท ให้ได้รับความสบายขึ้น
์ชั่วขณะพระสวดพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลงพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรไม่ลดละแบบสู้ตายยอมตาย หากแม้นว่าเสียงพระสวดพระปาฏิโมกข์ยังจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย มีจิตจดจ่อ
จับกับความรู้สึกในเวทนาเหล่านั้น พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎาเกิดความสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลตรงที่พระนั่งพับเพียบอยู่นั้นมีละอองธรรมะที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกของสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของจักรวาลโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ที่สุดถึงพรหม ตลอดถึงพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมบรมครูผู้ที่เสด็จไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย ์1000 กลีบ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมะกับจิตที่บริสุทธิ์ของพระกฤษฏาว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเราคือพระพุทธะ เมื่อธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบดีแล้วมีพระพุทธคุณอันแผ่ซ่านออกจากร่างกาย พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ๆ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ สมบัติออกบวชหวังสำเร็จพระโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของ ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาจะตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้นจิตหนึ่งคือพุทธะ ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นั้นเท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเอาเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตายทิ้งไปเปล่า ตนจึงควรเป็นที่พึ่งของตน จะให้พระศาสดาทำแทนตรัสรู้แทนกันไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องทำเอาเองพรากเพียรพยายามด้วยตัวของท่านเอง เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูกด้วยความติดยึดยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หัวสมองของพระก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญาที่คลาดเคลื่อน ตัณหาความทะยานอยากอุปปทานตัวคิด
จิตที่อยู่เหนือโลกหนือธรรมะ ก็เท่ากับได้ลาขาดจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาพระองค์นั้นในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนมรรคผลพระนิพพานเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


มีหลักฐานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในคำสอนของพระเยซูไหมครับ ถ้ามีนำมาโชว์ ถ้าไม่มีเท่ากับว่าคุณกำลังให้ร้ายพระศาสนจักรอยู่ครับ
เรียนคุณ MichaeLPauL ผมสารภาพตามตรงว่าวันอาทิตย์ที่ 22 -6-51 ที่ผ่านมา ผมไปค้นหาหนังสือเล่นนั้นแต่ไม่พบแล้ว
แต่ถ้าคุณ MichaeLPauL จะใช้พลังจิตตรวจสอบความรู้นอกตำราผมก็ยินดี
เรื่องนี้เกิดที่วัดหลวงปู่ชอบสร้างเอาไว้ วัดป่าบ้านบง ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร
เพื่อน ๆผมได้เลือกกุฏิ ที่พักก่อนหน้าผม ส่วนตัวผมเองมีสิ่งศักสิทธิ์ดนใจให้ไปได้กุฏิไม้ไผ่มุงแฝก
มารู้เอาที่หลังว่าเป็นกุฎิที่หลวงปู่ชอบท่านมาภาวนา พระในวันว่าเป็นกุฏิหลวงปู่ชอบ
คุณ MichaeLPauL ก่อนขึ้นกุฏิผมแสดงอาการกราบคารวะที่บันไดทางขึ้นกุฏิหลวงปู่ชอบ
ผมมาอาศัยฝึกภาวนาไม่ได้คิดมาจับจองเป็นของตน การภาวนาของผมก็เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
จนมีอยู่คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วก็ขึ้นกุฏิเข้าที่ภาวนา
ปรากฏว่าเห็นร่างตนเองนอนตายและจิตกำลังจะออกไปเที่ยวแต่บังคับไม่ให้จิตออกนอกกาย จึงกำหนดดู หนังเลือดเนื้อ ข้างในเป็นอะไร ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูก ตั้งคำถามเข้าไปอีกว่า ในโครงกระดูกมีอะไรอยู่ข้างในอีก
ก็กลับคืนเป็นฝุ่นผงขี้เถ้า จึงเพ่งลงไปอีกที่ฝุ่นผงขี้เถ้าก็พบความจริง เป็นความว่างเปล่า ก็ ภาวนาตามปกติปรากฏภาพนิมิต พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านไม่ได้บอกชื่อหรือนามท่านแต่ท่านก็ให้เรานั่งนิพพานให้ดู และท่านยังแสดงอาการนิพพานในท่านั่งให้ดู ท่านนั่งไปสักพักก็ล้มพับไป แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปเดิน เดินไปสุดทางจงกลม
แล้วก็เดินมาถึงกลางทางจงกลมก็ล้มลงนิพพาน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรูปยืนท่านยืนได้สักพักหนึ่งก็ล้มลงกับพื้นกองกับพื้นดิน รูปนอนก็นอนตะแคงและก็หลับตานิพพานไปเลย เกิดธรรมะสังเวชบงตกกับชีวิต
ถ้าเวลาตายของเรามาถึงจะหลบไปตายในถ้ำด้วยรูปนั่งไม่ต้องการให้ใครมาพบมาเห็น

ก่อนหน้านั้นที่จะถึงกิเลสนิพพาน
ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็จะมีฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษสีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกแต่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นเย็นของสายฝนที่ผัสผัสผิวกาย
เป็นอยู่อย่างนี้นานทีเดียวนอนหลับเป็นเห็นเทพเทวาพากันมารดน้ำสังข์ ประกอบกับเห็นนิมิตรูปเจดีย์สีขาวล้อมรอบไปด้วยไม้กางเขน มีอักษรจารึกเป็นคำว่า เจดีย์พระคุณแม่
จนวันที่ผมทิ้งสำนักเดินทางไปหาวิเวกที่วัดป่าเขาเจริญธรรม ผมก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาตั้งสัจจะไม่ทานข้าวทานแต่น้ำ เร่งความเพียนเพื่อเผากิเลสให้หมดในชาตินี้ แต่ก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ผมลงมาปักกลดข้างล้างกุฏิ
ผมก็นอนภาวนาจนหลับดิ่งลึก มาตื่นเอาตอนหูได้ยินเสียงปีกนกตีกับอะไรก็ไม่ทราบ เสียงปีกของนกตีถี่มาก
จนผมต้องถอนจิตออกจากฌาน ลืมตาขึ้นดูก็เห็นนกกางเขน คู่หนึ่งบินลงมาจิกตีงูสิงที่เลื่อยมาทางกลดที่ผมปักอยู่
พอนกกางเขนเห็นว่าผมตื่นแล้ว ผมก็เข้าใจทันที่ว่านกกางเขนเค้ามาให้ความคุ้มครองเราในขณะที่นอนภาวนา คุณ MichaeLPauL ผมได้บอกขอบใจนกกางเขนที่เขามาปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากงูสิงตัวใหญ่ และผมก็ใช้ไม้กลดเขี่ยงูให้ออกพ้นทางจนมันเลื่อนเข้าไปในป่า
ผมมารู้ทีหลังคุณ MichaeLPauL ว่าผมไปปักกลดปิดทางเข้ารูของงูสิงตัวใหญ่
พ้นเรื่องงูไปผมก็มาพบเห็นวิญญาณจากนักซิ่งมอเตอร์ไซด์ตายคารถ ญาติก็เอามาฝากไว้ที่วัดผมก็ลงไปชักอนิจจา
เวลา 2 ทุ่มก่อนเดินจากซากมอเตอร์ไซด์ก็เกิดวิตกว่า ไม่มีชิ้นดีอย่างนี้ใครจะขับไปได้
กลางดึกสะงัดในฝันได้ยินเสียงวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้ากุฏิ หลวงพี่ ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นกัน
ผมก็ออกมาจากกุฏิอ้าวมอเตอร์ไซด์มันพังไปแล้ว ทำไมมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ละ
วิญญาณก็บอกว่าคนที่ตายแล้วสามารถรวบรวมสสานและพลังงานที่อยู่รอบ ๆตัวเป็นวัตถุต่างๆได้อย่างสบาย แล้วผมกับวิญญาณก็นั่งรถไปเที่ยวพอมีบ้านขวางอยู่ข้างหน้าผีก็ไม่หลบพระก็ซ้อนท้ายไปพอสมควร ชนจะๆ กันเห็นๆ
ก็กลายเป็นความว่างเปล่าขับไปแหวไปไม่มีสิ่งกรีดขวางหวาดเสียวไปหมด
จนขับมาส่งที่หน้ากุฏิแล้วหมุ่นนักบิดเมืองผีก็กล่าวอำลาจากไป




หลังจากที่ผีนักซิ่งหายลับตาไปแล้ว ก็สะดุ้งตื่นลุกออกมาเข้าทางจงกลมต่อ

เดินไปก็พิจารณาธรรมะ ไปจนเป็นเช้าวันใหม่ ก็ไปวางดอกไม้จันทน์ให้ผีนักซิ่ง
และก็ร่วมเผาจนเก็บกระดูก และก็ขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรมต่อแต่คืนนี้ว่าจะไม่เดิน เอาแค่นั่งสมาธิกับนอนภาวนาเท่านั้น คืนนี้ได้รับคำตักเตือนจากจ้าวป่าเจ้าเขา มาให้ปัญญา ท่าน ๆ การอดนอนผ่อนอาหารเอาแค่พอดี
อย่าทำให้มันเกินเลย พุทธเจ้าในอดีตก็ไม่กิเลสนิพพานด้วยการอดอาหาร สังขารต้องการอาหาร
แม้แต่ผมก็ยังมีอาหารทิพย์ทาน ส่วนท่านนั้นไม่พักผ่อนก็ไม่เป็นไรแต่ร่างกายต้องการอาหาร
การภวนามันจึงจะเป็นไปในมรรคผล เสียงเจ้าป่าท่านนี้ดังมาจากแท่นศิลาอาสน์ นั่งคู่กับมเหสีแต่งองค์ด้วยชุดกษัตริย์โบราณกำลังเสวยอาหารทิพย์อยู่บนฟ้าสวรรค์ที่แหวกเป็นชั้น ๆ ฟ้ามองมาที่โลกมนุษย์ บอกให้สติพระอยู่
เมื่อตนพิจารณาตามก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในความประมาทตามคำบอกของบัณฑิตทางธรรม
ก็ละความเพียรอันทำให้ตนลำบากเปล่า
ลงจากเขาไปหามะกูดเชื่อมทานเพื่อให้ร่างกายได้มีกำลังกลับคืนมา
และก็ลงจงกลมต่อในขณะที่เดินไปก็คิดไปว่า อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา
คุณ MichaeLPauL ผมก็ได้เอามาย่นย่อลงเหลือแค่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสัจจะปรมัตถ์แล้วไม่มี

เหตุเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนเป็นสัตว์มันจึงผิดจากบัญญัติ

เมื่อปัญญาญาณสามารถแยกสมมุติบัญญัติจริงตามสมมุติ วิมุติตามจริงออกจากกัน
เป็นเอกเทศก็ลงจากทางจงกลมเดินขึ้นกุฏินั่งภาวนาจนได้นิมิตในระนาบเดียวกันกับผู้มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้วก่อนหน้าพระ เสียงหัวเราะกับคำแสดงความชื่นชม
ดังเข้ามาในกุฏิ หุหุหุ พระอมิตาภะรูปนี้นั่งตรัสรู้ไม่เหมือนใคร และมีเสียงกำชับว่ารู้รึยังว่าท่านเป็นใคร
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ตั้งคำถามเสียงที่ทรงอำนาจนั้น ผมตอบว่าไม่รู้ครับ เสียงนั้นก็นำทางกระแสจิตอีกว่า ระลึกดี ๆ ว่าท่านเป็นใคร
คุณ MichaeLPauL ผมพยายามระลึกชาติจนทำใจให้นิ่งได้แล้ว ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นพระเยซูคริสต์
แขวนบนไม้กางเขน การเห็นเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีรูปที่ตรึงกับไม้กางเขน กับภาพนั่งคุกเข่าลงบนก้อนหินสวดภาวนาและภาพยืนภาวนา ส่วนภายไต้ไม้กางเขนลงมา มีลูกแกะแยกออกจากความมืด และก็มีเสียงกำกับว่า
รู้ภพชาติของตนแล้วซินะผมตอบว่าทราบแล้วครับว่าผมเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาเกิด
และพร้อมกับคำเชิญชวนให้ออกมาข้างนอกจะพาไปดูของดีและผมก็เดินลงมาหาเจ้าของเสียงที่ทรงพลังทันใดนั้นผ้าม่านที่มีคนหามเกี้ยว ก็เปิดออกให้เห็นใบหน้า ที่แท้เกี้ยวหามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเรียกให้เข้าไปนั่งกับท่านพอท่านพูดจบ ตัวผมก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวหามพร้อมท่านพระอาจารย์มั่น คนหามเกี้ยวก็ทะยานออกจากป่าเดินเหินอากาศจนมาลงที่อำเภอหนองไผ่และท่านอาจารย์มั่นกับผมก็ลงจากเกี้ยวและท่านก็ชี้ให้พระดู
ขุมทองคำอยู่ไต้พสุธาเป็นทองคำทั้งสิ้นดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความโลภขึ้นมาเลย และท่านก็พาเดินดูทรัพย์ไต้ดินจนได้เวลากลับท่านก็บอกให้คนหามเกี้ยวพระไปส่งพระที่กุฎิและท่านก็ลาจากไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวพระ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นจากไปไม่นานก็มองเห็นพระเดินออกมาจากทะเลทราย แล้วท่านก็บอกว่า
ผมพระพระมหากัสสปะ ทราบว่าท่านพ้นทุกข์เข้าถึงแดนอำมตะแล้วก็เลยนำเอาพระอบทองคำที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้ท่านเก็บรักษา ก่อนผมจะกลับไบในทีที่ผมมาผมก็จะมอบหนังเท้าของผมให้ท่านไป
ผมมาพบความหมายของหนังไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์
แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์
อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ
นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จริง
คุณ MichaeLPauL และพระพระมหากัสสปะก็เดินทางข้ามทะเลทรายห่างออกไป ๆจนลับตาผมไป


ท่านอากาศ
ก่อนเกิดมาเป็นเรา
การระลึกชาติแต่หนหลัง
ในอดีตชาติเรามีชื่อ
พระอาจารย์ดนัย
กัลยาณธัมโม


https://youtu.be/gGgiHJb3q_E


เป็นเรื่องของคุณLuna เอง..ใช่มั้ยเนี้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 06:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
luna เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ก็จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

ผมขอแสดงขั้นตอนการละอาสวะแทนคำถามของท่านอากาศเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่ผมพอจะระลึกได้นิดหน่อย
ผมยินดีเป็นมิตรกับทุกท่าน

ชื่อเรื่องธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

เจ็ดวันบรรลุธรรม
บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จท่านใดเป็นพระอรหันต์ ได้เลย
บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตลอดคืนพระได้นอนจงกลมรอบอุโบสถกับเพื่อนพระจน รุ่งขึ้นของวันใหม่วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2537 ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมลงปาฏิโมกข์สังฆกรรม พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์เกิดแรงบันดานใจจากพระอริยครูสายในดง เล่าลือกันว่าบรมครูเทพโลกอุดร หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์ท่านชอบฟังบทสวดพระปาฏิโมกข์มาก
อาศัยกำลังใจจากตรงนี้ เกิดสนใจขึ้นมาในเวลานั้นต้องมีอะไรสินะหลวงปู่ใหญ่ท่านถึงชอบฟังจึงกำหนดจิตพิจารณาตามเสียงสวดของพระปาฎิโมกข์ ขณะเดียวกันนั้นภายในจิตใจก็เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ไม่อยากจะนั่งต่อแล้ว
จิตที่คิดไม่ดีเอาแต่จะเลิกล้มการนั่งในอริยบทเดียว เพื่อหาทางออก
ที่จะพยายามขยับขยายสภาวะทุกขเวทนาในการปรับเปลี่ยนอริยบท ให้ได้รับความสบายขึ้น
์ชั่วขณะพระสวดพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลงพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรไม่ลดละแบบสู้ตายยอมตาย หากแม้นว่าเสียงพระสวดพระปาฏิโมกข์ยังจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย มีจิตจดจ่อ
จับกับความรู้สึกในเวทนาเหล่านั้น พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎาเกิดความสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลตรงที่พระนั่งพับเพียบอยู่นั้นมีละอองธรรมะที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกของสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของจักรวาลโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ที่สุดถึงพรหม ตลอดถึงพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมบรมครูผู้ที่เสด็จไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย ์1000 กลีบ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมะกับจิตที่บริสุทธิ์ของพระกฤษฏาว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเราคือพระพุทธะ เมื่อธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบดีแล้วมีพระพุทธคุณอันแผ่ซ่านออกจากร่างกาย พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ๆ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ สมบัติออกบวชหวังสำเร็จพระโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของ ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาจะตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้นจิตหนึ่งคือพุทธะ ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นั้นเท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเอาเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตายทิ้งไปเปล่า ตนจึงควรเป็นที่พึ่งของตน จะให้พระศาสดาทำแทนตรัสรู้แทนกันไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องทำเอาเองพรากเพียรพยายามด้วยตัวของท่านเอง เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูกด้วยความติดยึดยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หัวสมองของพระก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญาที่คลาดเคลื่อน ตัณหาความทะยานอยากอุปปทานตัวคิด
จิตที่อยู่เหนือโลกหนือธรรมะ ก็เท่ากับได้ลาขาดจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาพระองค์นั้นในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนมรรคผลพระนิพพานเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


มีหลักฐานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในคำสอนของพระเยซูไหมครับ ถ้ามีนำมาโชว์ ถ้าไม่มีเท่ากับว่าคุณกำลังให้ร้ายพระศาสนจักรอยู่ครับ
เรียนคุณ MichaeLPauL ผมสารภาพตามตรงว่าวันอาทิตย์ที่ 22 -6-51 ที่ผ่านมา ผมไปค้นหาหนังสือเล่นนั้นแต่ไม่พบแล้ว
แต่ถ้าคุณ MichaeLPauL จะใช้พลังจิตตรวจสอบความรู้นอกตำราผมก็ยินดี
เรื่องนี้เกิดที่วัดหลวงปู่ชอบสร้างเอาไว้ วัดป่าบ้านบง ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร
เพื่อน ๆผมได้เลือกกุฏิ ที่พักก่อนหน้าผม ส่วนตัวผมเองมีสิ่งศักสิทธิ์ดนใจให้ไปได้กุฏิไม้ไผ่มุงแฝก
มารู้เอาที่หลังว่าเป็นกุฎิที่หลวงปู่ชอบท่านมาภาวนา พระในวันว่าเป็นกุฏิหลวงปู่ชอบ
คุณ MichaeLPauL ก่อนขึ้นกุฏิผมแสดงอาการกราบคารวะที่บันไดทางขึ้นกุฏิหลวงปู่ชอบ
ผมมาอาศัยฝึกภาวนาไม่ได้คิดมาจับจองเป็นของตน การภาวนาของผมก็เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
จนมีอยู่คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วก็ขึ้นกุฏิเข้าที่ภาวนา
ปรากฏว่าเห็นร่างตนเองนอนตายและจิตกำลังจะออกไปเที่ยวแต่บังคับไม่ให้จิตออกนอกกาย จึงกำหนดดู หนังเลือดเนื้อ ข้างในเป็นอะไร ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูก ตั้งคำถามเข้าไปอีกว่า ในโครงกระดูกมีอะไรอยู่ข้างในอีก
ก็กลับคืนเป็นฝุ่นผงขี้เถ้า จึงเพ่งลงไปอีกที่ฝุ่นผงขี้เถ้าก็พบความจริง เป็นความว่างเปล่า ก็ ภาวนาตามปกติปรากฏภาพนิมิต พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านไม่ได้บอกชื่อหรือนามท่านแต่ท่านก็ให้เรานั่งนิพพานให้ดู และท่านยังแสดงอาการนิพพานในท่านั่งให้ดู ท่านนั่งไปสักพักก็ล้มพับไป แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปเดิน เดินไปสุดทางจงกลม
แล้วก็เดินมาถึงกลางทางจงกลมก็ล้มลงนิพพาน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรูปยืนท่านยืนได้สักพักหนึ่งก็ล้มลงกับพื้นกองกับพื้นดิน รูปนอนก็นอนตะแคงและก็หลับตานิพพานไปเลย เกิดธรรมะสังเวชบงตกกับชีวิต
ถ้าเวลาตายของเรามาถึงจะหลบไปตายในถ้ำด้วยรูปนั่งไม่ต้องการให้ใครมาพบมาเห็น

ก่อนหน้านั้นที่จะถึงกิเลสนิพพาน
ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็จะมีฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษสีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกแต่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นเย็นของสายฝนที่ผัสผัสผิวกาย
เป็นอยู่อย่างนี้นานทีเดียวนอนหลับเป็นเห็นเทพเทวาพากันมารดน้ำสังข์ ประกอบกับเห็นนิมิตรูปเจดีย์สีขาวล้อมรอบไปด้วยไม้กางเขน มีอักษรจารึกเป็นคำว่า เจดีย์พระคุณแม่
จนวันที่ผมทิ้งสำนักเดินทางไปหาวิเวกที่วัดป่าเขาเจริญธรรม ผมก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาตั้งสัจจะไม่ทานข้าวทานแต่น้ำ เร่งความเพียนเพื่อเผากิเลสให้หมดในชาตินี้ แต่ก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ผมลงมาปักกลดข้างล้างกุฏิ
ผมก็นอนภาวนาจนหลับดิ่งลึก มาตื่นเอาตอนหูได้ยินเสียงปีกนกตีกับอะไรก็ไม่ทราบ เสียงปีกของนกตีถี่มาก
จนผมต้องถอนจิตออกจากฌาน ลืมตาขึ้นดูก็เห็นนกกางเขน คู่หนึ่งบินลงมาจิกตีงูสิงที่เลื่อยมาทางกลดที่ผมปักอยู่
พอนกกางเขนเห็นว่าผมตื่นแล้ว ผมก็เข้าใจทันที่ว่านกกางเขนเค้ามาให้ความคุ้มครองเราในขณะที่นอนภาวนา คุณ MichaeLPauL ผมได้บอกขอบใจนกกางเขนที่เขามาปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากงูสิงตัวใหญ่ และผมก็ใช้ไม้กลดเขี่ยงูให้ออกพ้นทางจนมันเลื่อนเข้าไปในป่า
ผมมารู้ทีหลังคุณ MichaeLPauL ว่าผมไปปักกลดปิดทางเข้ารูของงูสิงตัวใหญ่
พ้นเรื่องงูไปผมก็มาพบเห็นวิญญาณจากนักซิ่งมอเตอร์ไซด์ตายคารถ ญาติก็เอามาฝากไว้ที่วัดผมก็ลงไปชักอนิจจา
เวลา 2 ทุ่มก่อนเดินจากซากมอเตอร์ไซด์ก็เกิดวิตกว่า ไม่มีชิ้นดีอย่างนี้ใครจะขับไปได้
กลางดึกสะงัดในฝันได้ยินเสียงวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้ากุฏิ หลวงพี่ ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นกัน
ผมก็ออกมาจากกุฏิอ้าวมอเตอร์ไซด์มันพังไปแล้ว ทำไมมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ละ
วิญญาณก็บอกว่าคนที่ตายแล้วสามารถรวบรวมสสานและพลังงานที่อยู่รอบ ๆตัวเป็นวัตถุต่างๆได้อย่างสบาย แล้วผมกับวิญญาณก็นั่งรถไปเที่ยวพอมีบ้านขวางอยู่ข้างหน้าผีก็ไม่หลบพระก็ซ้อนท้ายไปพอสมควร ชนจะๆ กันเห็นๆ
ก็กลายเป็นความว่างเปล่าขับไปแหวไปไม่มีสิ่งกรีดขวางหวาดเสียวไปหมด
จนขับมาส่งที่หน้ากุฏิแล้วหมุ่นนักบิดเมืองผีก็กล่าวอำลาจากไป




หลังจากที่ผีนักซิ่งหายลับตาไปแล้ว ก็สะดุ้งตื่นลุกออกมาเข้าทางจงกลมต่อ

เดินไปก็พิจารณาธรรมะ ไปจนเป็นเช้าวันใหม่ ก็ไปวางดอกไม้จันทน์ให้ผีนักซิ่ง
และก็ร่วมเผาจนเก็บกระดูก และก็ขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรมต่อแต่คืนนี้ว่าจะไม่เดิน เอาแค่นั่งสมาธิกับนอนภาวนาเท่านั้น คืนนี้ได้รับคำตักเตือนจากจ้าวป่าเจ้าเขา มาให้ปัญญา ท่าน ๆ การอดนอนผ่อนอาหารเอาแค่พอดี
อย่าทำให้มันเกินเลย พุทธเจ้าในอดีตก็ไม่กิเลสนิพพานด้วยการอดอาหาร สังขารต้องการอาหาร
แม้แต่ผมก็ยังมีอาหารทิพย์ทาน ส่วนท่านนั้นไม่พักผ่อนก็ไม่เป็นไรแต่ร่างกายต้องการอาหาร
การภวนามันจึงจะเป็นไปในมรรคผล เสียงเจ้าป่าท่านนี้ดังมาจากแท่นศิลาอาสน์ นั่งคู่กับมเหสีแต่งองค์ด้วยชุดกษัตริย์โบราณกำลังเสวยอาหารทิพย์อยู่บนฟ้าสวรรค์ที่แหวกเป็นชั้น ๆ ฟ้ามองมาที่โลกมนุษย์ บอกให้สติพระอยู่
เมื่อตนพิจารณาตามก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในความประมาทตามคำบอกของบัณฑิตทางธรรม
ก็ละความเพียรอันทำให้ตนลำบากเปล่า
ลงจากเขาไปหามะกูดเชื่อมทานเพื่อให้ร่างกายได้มีกำลังกลับคืนมา
และก็ลงจงกลมต่อในขณะที่เดินไปก็คิดไปว่า อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา
คุณ MichaeLPauL ผมก็ได้เอามาย่นย่อลงเหลือแค่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสัจจะปรมัตถ์แล้วไม่มี

เหตุเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนเป็นสัตว์มันจึงผิดจากบัญญัติ

เมื่อปัญญาญาณสามารถแยกสมมุติบัญญัติจริงตามสมมุติ วิมุติตามจริงออกจากกัน
เป็นเอกเทศก็ลงจากทางจงกลมเดินขึ้นกุฏินั่งภาวนาจนได้นิมิตในระนาบเดียวกันกับผู้มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้วก่อนหน้าพระ เสียงหัวเราะกับคำแสดงความชื่นชม
ดังเข้ามาในกุฏิ หุหุหุ พระอมิตาภะรูปนี้นั่งตรัสรู้ไม่เหมือนใคร และมีเสียงกำชับว่ารู้รึยังว่าท่านเป็นใคร
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ตั้งคำถามเสียงที่ทรงอำนาจนั้น ผมตอบว่าไม่รู้ครับ เสียงนั้นก็นำทางกระแสจิตอีกว่า ระลึกดี ๆ ว่าท่านเป็นใคร
คุณ MichaeLPauL ผมพยายามระลึกชาติจนทำใจให้นิ่งได้แล้ว ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นพระเยซูคริสต์
แขวนบนไม้กางเขน การเห็นเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีรูปที่ตรึงกับไม้กางเขน กับภาพนั่งคุกเข่าลงบนก้อนหินสวดภาวนาและภาพยืนภาวนา ส่วนภายไต้ไม้กางเขนลงมา มีลูกแกะแยกออกจากความมืด และก็มีเสียงกำกับว่า
รู้ภพชาติของตนแล้วซินะผมตอบว่าทราบแล้วครับว่าผมเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาเกิด
และพร้อมกับคำเชิญชวนให้ออกมาข้างนอกจะพาไปดูของดีและผมก็เดินลงมาหาเจ้าของเสียงที่ทรงพลังทันใดนั้นผ้าม่านที่มีคนหามเกี้ยว ก็เปิดออกให้เห็นใบหน้า ที่แท้เกี้ยวหามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเรียกให้เข้าไปนั่งกับท่านพอท่านพูดจบ ตัวผมก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวหามพร้อมท่านพระอาจารย์มั่น คนหามเกี้ยวก็ทะยานออกจากป่าเดินเหินอากาศจนมาลงที่อำเภอหนองไผ่และท่านอาจารย์มั่นกับผมก็ลงจากเกี้ยวและท่านก็ชี้ให้พระดู
ขุมทองคำอยู่ไต้พสุธาเป็นทองคำทั้งสิ้นดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความโลภขึ้นมาเลย และท่านก็พาเดินดูทรัพย์ไต้ดินจนได้เวลากลับท่านก็บอกให้คนหามเกี้ยวพระไปส่งพระที่กุฎิและท่านก็ลาจากไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวพระ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นจากไปไม่นานก็มองเห็นพระเดินออกมาจากทะเลทราย แล้วท่านก็บอกว่า
ผมพระพระมหากัสสปะ ทราบว่าท่านพ้นทุกข์เข้าถึงแดนอำมตะแล้วก็เลยนำเอาพระอบทองคำที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้ท่านเก็บรักษา ก่อนผมจะกลับไบในทีที่ผมมาผมก็จะมอบหนังเท้าของผมให้ท่านไป
ผมมาพบความหมายของหนังไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์
แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์
อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ
นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จริง
คุณ MichaeLPauL และพระพระมหากัสสปะก็เดินทางข้ามทะเลทรายห่างออกไป ๆจนลับตาผมไป


ท่านอากาศ
ก่อนเกิดมาเป็นเรา
การระลึกชาติแต่หนหลัง
ในอดีตชาติเรามีชื่อ
พระอาจารย์ดนัย
กัลยาณธัมโม


https://youtu.be/gGgiHJb3q_E


เป็นเรื่องของคุณLuna เอง..ใช่มั้ยเนี้ย?


ใช่ครับ

https://youtu.be/kVgKOKXIlhM


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
luna เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ก็จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

ผมขอแสดงขั้นตอนการละอาสวะแทนคำถามของท่านอากาศเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่ผมพอจะระลึกได้นิดหน่อย
ผมยินดีเป็นมิตรกับทุกท่าน

ชื่อเรื่องธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

เจ็ดวันบรรลุธรรม
บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จท่านใดเป็นพระอรหันต์ ได้เลย
บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตลอดคืนพระได้นอนจงกลมรอบอุโบสถกับเพื่อนพระจน รุ่งขึ้นของวันใหม่วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2537 ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมลงปาฏิโมกข์สังฆกรรม พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์เกิดแรงบันดานใจจากพระอริยครูสายในดง เล่าลือกันว่าบรมครูเทพโลกอุดร หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์ท่านชอบฟังบทสวดพระปาฏิโมกข์มาก
อาศัยกำลังใจจากตรงนี้ เกิดสนใจขึ้นมาในเวลานั้นต้องมีอะไรสินะหลวงปู่ใหญ่ท่านถึงชอบฟังจึงกำหนดจิตพิจารณาตามเสียงสวดของพระปาฎิโมกข์ ขณะเดียวกันนั้นภายในจิตใจก็เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ไม่อยากจะนั่งต่อแล้ว
จิตที่คิดไม่ดีเอาแต่จะเลิกล้มการนั่งในอริยบทเดียว เพื่อหาทางออก
ที่จะพยายามขยับขยายสภาวะทุกขเวทนาในการปรับเปลี่ยนอริยบท ให้ได้รับความสบายขึ้น
์ชั่วขณะพระสวดพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลงพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรไม่ลดละแบบสู้ตายยอมตาย หากแม้นว่าเสียงพระสวดพระปาฏิโมกข์ยังจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย มีจิตจดจ่อ
จับกับความรู้สึกในเวทนาเหล่านั้น พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎาเกิดความสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลตรงที่พระนั่งพับเพียบอยู่นั้นมีละอองธรรมะที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกของสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของจักรวาลโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ที่สุดถึงพรหม ตลอดถึงพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมบรมครูผู้ที่เสด็จไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย ์1000 กลีบ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมะกับจิตที่บริสุทธิ์ของพระกฤษฏาว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเราคือพระพุทธะ เมื่อธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบดีแล้วมีพระพุทธคุณอันแผ่ซ่านออกจากร่างกาย พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ๆ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ สมบัติออกบวชหวังสำเร็จพระโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของ ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาจะตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้นจิตหนึ่งคือพุทธะ ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นั้นเท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเอาเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตายทิ้งไปเปล่า ตนจึงควรเป็นที่พึ่งของตน จะให้พระศาสดาทำแทนตรัสรู้แทนกันไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องทำเอาเองพรากเพียรพยายามด้วยตัวของท่านเอง เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูกด้วยความติดยึดยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หัวสมองของพระก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญาที่คลาดเคลื่อน ตัณหาความทะยานอยากอุปปทานตัวคิด
จิตที่อยู่เหนือโลกหนือธรรมะ ก็เท่ากับได้ลาขาดจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาพระองค์นั้นในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนมรรคผลพระนิพพานเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


มีหลักฐานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในคำสอนของพระเยซูไหมครับ ถ้ามีนำมาโชว์ ถ้าไม่มีเท่ากับว่าคุณกำลังให้ร้ายพระศาสนจักรอยู่ครับ
เรียนคุณ MichaeLPauL ผมสารภาพตามตรงว่าวันอาทิตย์ที่ 22 -6-51 ที่ผ่านมา ผมไปค้นหาหนังสือเล่นนั้นแต่ไม่พบแล้ว
แต่ถ้าคุณ MichaeLPauL จะใช้พลังจิตตรวจสอบความรู้นอกตำราผมก็ยินดี
เรื่องนี้เกิดที่วัดหลวงปู่ชอบสร้างเอาไว้ วัดป่าบ้านบง ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร
เพื่อน ๆผมได้เลือกกุฏิ ที่พักก่อนหน้าผม ส่วนตัวผมเองมีสิ่งศักสิทธิ์ดนใจให้ไปได้กุฏิไม้ไผ่มุงแฝก
มารู้เอาที่หลังว่าเป็นกุฎิที่หลวงปู่ชอบท่านมาภาวนา พระในวันว่าเป็นกุฏิหลวงปู่ชอบ
คุณ MichaeLPauL ก่อนขึ้นกุฏิผมแสดงอาการกราบคารวะที่บันไดทางขึ้นกุฏิหลวงปู่ชอบ
ผมมาอาศัยฝึกภาวนาไม่ได้คิดมาจับจองเป็นของตน การภาวนาของผมก็เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
จนมีอยู่คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วก็ขึ้นกุฏิเข้าที่ภาวนา
ปรากฏว่าเห็นร่างตนเองนอนตายและจิตกำลังจะออกไปเที่ยวแต่บังคับไม่ให้จิตออกนอกกาย จึงกำหนดดู หนังเลือดเนื้อ ข้างในเป็นอะไร ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูก ตั้งคำถามเข้าไปอีกว่า ในโครงกระดูกมีอะไรอยู่ข้างในอีก
ก็กลับคืนเป็นฝุ่นผงขี้เถ้า จึงเพ่งลงไปอีกที่ฝุ่นผงขี้เถ้าก็พบความจริง เป็นความว่างเปล่า ก็ ภาวนาตามปกติปรากฏภาพนิมิต พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านไม่ได้บอกชื่อหรือนามท่านแต่ท่านก็ให้เรานั่งนิพพานให้ดู และท่านยังแสดงอาการนิพพานในท่านั่งให้ดู ท่านนั่งไปสักพักก็ล้มพับไป แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปเดิน เดินไปสุดทางจงกลม
แล้วก็เดินมาถึงกลางทางจงกลมก็ล้มลงนิพพาน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรูปยืนท่านยืนได้สักพักหนึ่งก็ล้มลงกับพื้นกองกับพื้นดิน รูปนอนก็นอนตะแคงและก็หลับตานิพพานไปเลย เกิดธรรมะสังเวชบงตกกับชีวิต
ถ้าเวลาตายของเรามาถึงจะหลบไปตายในถ้ำด้วยรูปนั่งไม่ต้องการให้ใครมาพบมาเห็น

ก่อนหน้านั้นที่จะถึงกิเลสนิพพาน
ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็จะมีฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษสีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกแต่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นเย็นของสายฝนที่ผัสผัสผิวกาย
เป็นอยู่อย่างนี้นานทีเดียวนอนหลับเป็นเห็นเทพเทวาพากันมารดน้ำสังข์ ประกอบกับเห็นนิมิตรูปเจดีย์สีขาวล้อมรอบไปด้วยไม้กางเขน มีอักษรจารึกเป็นคำว่า เจดีย์พระคุณแม่
จนวันที่ผมทิ้งสำนักเดินทางไปหาวิเวกที่วัดป่าเขาเจริญธรรม ผมก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาตั้งสัจจะไม่ทานข้าวทานแต่น้ำ เร่งความเพียนเพื่อเผากิเลสให้หมดในชาตินี้ แต่ก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ผมลงมาปักกลดข้างล้างกุฏิ
ผมก็นอนภาวนาจนหลับดิ่งลึก มาตื่นเอาตอนหูได้ยินเสียงปีกนกตีกับอะไรก็ไม่ทราบ เสียงปีกของนกตีถี่มาก
จนผมต้องถอนจิตออกจากฌาน ลืมตาขึ้นดูก็เห็นนกกางเขน คู่หนึ่งบินลงมาจิกตีงูสิงที่เลื่อยมาทางกลดที่ผมปักอยู่
พอนกกางเขนเห็นว่าผมตื่นแล้ว ผมก็เข้าใจทันที่ว่านกกางเขนเค้ามาให้ความคุ้มครองเราในขณะที่นอนภาวนา คุณ MichaeLPauL ผมได้บอกขอบใจนกกางเขนที่เขามาปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากงูสิงตัวใหญ่ และผมก็ใช้ไม้กลดเขี่ยงูให้ออกพ้นทางจนมันเลื่อนเข้าไปในป่า
ผมมารู้ทีหลังคุณ MichaeLPauL ว่าผมไปปักกลดปิดทางเข้ารูของงูสิงตัวใหญ่
พ้นเรื่องงูไปผมก็มาพบเห็นวิญญาณจากนักซิ่งมอเตอร์ไซด์ตายคารถ ญาติก็เอามาฝากไว้ที่วัดผมก็ลงไปชักอนิจจา
เวลา 2 ทุ่มก่อนเดินจากซากมอเตอร์ไซด์ก็เกิดวิตกว่า ไม่มีชิ้นดีอย่างนี้ใครจะขับไปได้
กลางดึกสะงัดในฝันได้ยินเสียงวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้ากุฏิ หลวงพี่ ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นกัน
ผมก็ออกมาจากกุฏิอ้าวมอเตอร์ไซด์มันพังไปแล้ว ทำไมมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ละ
วิญญาณก็บอกว่าคนที่ตายแล้วสามารถรวบรวมสสานและพลังงานที่อยู่รอบ ๆตัวเป็นวัตถุต่างๆได้อย่างสบาย แล้วผมกับวิญญาณก็นั่งรถไปเที่ยวพอมีบ้านขวางอยู่ข้างหน้าผีก็ไม่หลบพระก็ซ้อนท้ายไปพอสมควร ชนจะๆ กันเห็นๆ
ก็กลายเป็นความว่างเปล่าขับไปแหวไปไม่มีสิ่งกรีดขวางหวาดเสียวไปหมด
จนขับมาส่งที่หน้ากุฏิแล้วหมุ่นนักบิดเมืองผีก็กล่าวอำลาจากไป




หลังจากที่ผีนักซิ่งหายลับตาไปแล้ว ก็สะดุ้งตื่นลุกออกมาเข้าทางจงกลมต่อ

เดินไปก็พิจารณาธรรมะ ไปจนเป็นเช้าวันใหม่ ก็ไปวางดอกไม้จันทน์ให้ผีนักซิ่ง
และก็ร่วมเผาจนเก็บกระดูก และก็ขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรมต่อแต่คืนนี้ว่าจะไม่เดิน เอาแค่นั่งสมาธิกับนอนภาวนาเท่านั้น คืนนี้ได้รับคำตักเตือนจากจ้าวป่าเจ้าเขา มาให้ปัญญา ท่าน ๆ การอดนอนผ่อนอาหารเอาแค่พอดี
อย่าทำให้มันเกินเลย พุทธเจ้าในอดีตก็ไม่กิเลสนิพพานด้วยการอดอาหาร สังขารต้องการอาหาร
แม้แต่ผมก็ยังมีอาหารทิพย์ทาน ส่วนท่านนั้นไม่พักผ่อนก็ไม่เป็นไรแต่ร่างกายต้องการอาหาร
การภวนามันจึงจะเป็นไปในมรรคผล เสียงเจ้าป่าท่านนี้ดังมาจากแท่นศิลาอาสน์ นั่งคู่กับมเหสีแต่งองค์ด้วยชุดกษัตริย์โบราณกำลังเสวยอาหารทิพย์อยู่บนฟ้าสวรรค์ที่แหวกเป็นชั้น ๆ ฟ้ามองมาที่โลกมนุษย์ บอกให้สติพระอยู่
เมื่อตนพิจารณาตามก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในความประมาทตามคำบอกของบัณฑิตทางธรรม
ก็ละความเพียรอันทำให้ตนลำบากเปล่า
ลงจากเขาไปหามะกูดเชื่อมทานเพื่อให้ร่างกายได้มีกำลังกลับคืนมา
และก็ลงจงกลมต่อในขณะที่เดินไปก็คิดไปว่า อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา
คุณ MichaeLPauL ผมก็ได้เอามาย่นย่อลงเหลือแค่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสัจจะปรมัตถ์แล้วไม่มี

เหตุเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนเป็นสัตว์มันจึงผิดจากบัญญัติ

เมื่อปัญญาญาณสามารถแยกสมมุติบัญญัติจริงตามสมมุติ วิมุติตามจริงออกจากกัน
เป็นเอกเทศก็ลงจากทางจงกลมเดินขึ้นกุฏินั่งภาวนาจนได้นิมิตในระนาบเดียวกันกับผู้มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้วก่อนหน้าพระ เสียงหัวเราะกับคำแสดงความชื่นชม
ดังเข้ามาในกุฏิ หุหุหุ พระอมิตาภะรูปนี้นั่งตรัสรู้ไม่เหมือนใคร และมีเสียงกำชับว่ารู้รึยังว่าท่านเป็นใคร
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ตั้งคำถามเสียงที่ทรงอำนาจนั้น ผมตอบว่าไม่รู้ครับ เสียงนั้นก็นำทางกระแสจิตอีกว่า ระลึกดี ๆ ว่าท่านเป็นใคร
คุณ MichaeLPauL ผมพยายามระลึกชาติจนทำใจให้นิ่งได้แล้ว ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นพระเยซูคริสต์
แขวนบนไม้กางเขน การเห็นเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีรูปที่ตรึงกับไม้กางเขน กับภาพนั่งคุกเข่าลงบนก้อนหินสวดภาวนาและภาพยืนภาวนา ส่วนภายไต้ไม้กางเขนลงมา มีลูกแกะแยกออกจากความมืด และก็มีเสียงกำกับว่า
รู้ภพชาติของตนแล้วซินะผมตอบว่าทราบแล้วครับว่าผมเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาเกิด
และพร้อมกับคำเชิญชวนให้ออกมาข้างนอกจะพาไปดูของดีและผมก็เดินลงมาหาเจ้าของเสียงที่ทรงพลังทันใดนั้นผ้าม่านที่มีคนหามเกี้ยว ก็เปิดออกให้เห็นใบหน้า ที่แท้เกี้ยวหามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเรียกให้เข้าไปนั่งกับท่านพอท่านพูดจบ ตัวผมก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวหามพร้อมท่านพระอาจารย์มั่น คนหามเกี้ยวก็ทะยานออกจากป่าเดินเหินอากาศจนมาลงที่อำเภอหนองไผ่และท่านอาจารย์มั่นกับผมก็ลงจากเกี้ยวและท่านก็ชี้ให้พระดู
ขุมทองคำอยู่ไต้พสุธาเป็นทองคำทั้งสิ้นดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความโลภขึ้นมาเลย และท่านก็พาเดินดูทรัพย์ไต้ดินจนได้เวลากลับท่านก็บอกให้คนหามเกี้ยวพระไปส่งพระที่กุฎิและท่านก็ลาจากไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวพระ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นจากไปไม่นานก็มองเห็นพระเดินออกมาจากทะเลทราย แล้วท่านก็บอกว่า
ผมพระพระมหากัสสปะ ทราบว่าท่านพ้นทุกข์เข้าถึงแดนอำมตะแล้วก็เลยนำเอาพระอบทองคำที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้ท่านเก็บรักษา ก่อนผมจะกลับไบในทีที่ผมมาผมก็จะมอบหนังเท้าของผมให้ท่านไป
ผมมาพบความหมายของหนังไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์
แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์
อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ
นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จริง
คุณ MichaeLPauL และพระพระมหากัสสปะก็เดินทางข้ามทะเลทรายห่างออกไป ๆจนลับตาผมไป


ท่านอากาศ
ก่อนเกิดมาเป็นเรา
การระลึกชาติแต่หนหลัง
ในอดีตชาติเรามีชื่อ
พระอาจารย์ดนัย
กัลยาณธัมโม


https://youtu.be/gGgiHJb3q_E


เป็นเรื่องของคุณLuna เอง..ใช่มั้ยเนี้ย?


ใช่ครับ

https://youtu.be/kVgKOKXIlhM


2537 ...คุณLuna ว่า..บวชได้ 7 วัน ลงสวดปาติโมกข์ แสดงว่า..เป็นพระไม่ใช่เณรน้อย...แล้วก็อยู่ในพิธีสำคัญ...

ในวันนั้น คุณLuna..เป็นพระหรือเป็นเณร..ละครับ?

พระดนัย..ที่คุณLuna ว่าเป็นชื่อในอดีต..ถูกช้างเหยียบมรณภาพที่เขาใหญ่ ปี 2530...

จาก 2530 ถึง 2537 หากลบช่วงตั้งครรภ์ออกไป..เด็กอายุก็ควรจะ 6 ขวบ

อื่มม.....นะ s004 s004


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 28 มี.ค. 2019, 07:55, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูด..ที่ใช้พูด..คำเดียวกัน..แต่คนละความหมาย..ก็ทำให้การสื่อสาร..ไม่ราบรื่นได้

อย่างเช่น..ผู้รู้

ผู้รู้..ของคุณลูน่า...เป็นเสียงกระซิบ...กระซิบให้เลิกนั่ง..กระซิบให้เปลี่ยนท่านั่ง....เป็นต้น..เจ้าเสียงประเภทชักนำให้จิตใจห่างจากกุศลพวกนี้...ผมเรียกมันว่า..ไอ้ชั่ว.หรือ..ความชั่ว...แล้วแต่อารมณ์..

การทิ้งผู้รู้..ประเภทนี้..ก็ควรอยู่..

ส่วน..ผู้รู้..ของผม..คือ..รู้อย่างเดียว...ไม่มีตัวไหนต้องมากระซิบ..

นี้แหละ..อันตรายของคำพูด...หากไม่อยู่บนฐานเดียวกัน..ก็อาจทะเลาะกันไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
luna เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
luna เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ชอบๆๆๆแบบทา่น LUNA งั้นมาคุยกันพอให้เจริญใจครับ

1. รูปธรรม นามธรรม หมายเอาที่ใด การแยกรูปแยกนามแยกยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

2. ความเสมิอด้วยกันเป็นแบบไหน สำหรับท่าน ความเสมอกันท่านเห็นยังไง ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

3. ความไม่มีตัวตน คือ อะไร ท่านเห็นจริง หรือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นลงธรรม หากเห็นจริงแล้วที่เห็นนั้นเป็นไฉน การเข้าไปรู้เห็นจริงท่านรู้เห็นอย่างไร :b1: :b1:

:b12: :b12: :b12:


ความว่าธาตุ ๔ อันกอปรกันเกิดขึ้นแต่กายนี้

ท่านเห็นเป็นธาตุจริง คือคิดอนุมานตามเอาจากสิ่งที่เห็นรับรู้ลงในธรรม

ก็เมื่อเห็นเป็นธาตุแล้ว ยังจะมีธาตุที่ทำท่านั่งสมาธิอยู่อีกหรือไม่ หรือที่เห็นนั้นคือความคิด ไม่ได้เห็นเป็นธาตุจริง

อรูปที่เข้าได้ก็ดี จิตที่จรออกจากร่างได้ก็ดี เมื่อมองดูกายเห็นเป็นแค่ธาตุจริง หรือยังเห็นเป็นตัวตนบุคคลอันนั่งหรือนอนอยู่ท่านั้นๆนี้ๆ

ที่ถามไม่ใช่ลองภูมิ หรือท้าทายนะครับ การถามดังนี้หากเมือ่ท่านเข้าถึงจริงแล้วมีคำตอบ ความสืบต่อแนะนำให้เข้าถึงได้ย่อมมีมาก เกื้อกูลได้แก่ผู้อื่น หากท่านยังไม่ถึง เราก็สามารถแลก้เปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อประโยชน์ยิ่งๆขึ้นได้ ย่อมไม่หมิ่นธรรมกัน บางอย่างเราอาจจะเห็นแบบสายปริยัติ ท่านรู้หมดจริงนะ แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นเลย เหมือนรู้จัก KFC เห็นคนกิน KFC แต่ตนไม่อาจจะได้กินเลยตลอดทั้งชาติ ได้แค่จินตนาการ ผมเองก็ไม่ถภึงธรรม ไม่รู้ธรรม แค่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่อาจจะคุยธรรมสูงได้ ่จึงได้แต่เรียนรู้จากพวกท่านๆนี่แหละครับ อย่างไรก็แวะมาตอบผมด้วยนะครับ

:b12: :b12: :b12:

มาคุยกันสนุกๆครับ นานๆจะมีคนคุยธรรม ส่วนมากเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้คุยกัน :b32: :b32: :b32:

ถ้าท่านเป็น ลูนาซี (LUNA SEA) ผมจะเป็น Hyde L'Arc~en~Ciel เรามาเป็น J-Rock ด้วยกัน :b32: :b32: :b32:

รูปภาพ

ผมขอแสดงขั้นตอนการละอาสวะแทนคำถามของท่านอากาศเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่ผมพอจะระลึกได้นิดหน่อย
ผมยินดีเป็นมิตรกับทุกท่าน

ชื่อเรื่องธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

เจ็ดวันบรรลุธรรม
บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระปริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จท่านใดเป็นพระอรหันต์ ได้เลย
บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตลอดคืนพระได้นอนจงกลมรอบอุโบสถกับเพื่อนพระจน รุ่งขึ้นของวันใหม่วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2537 ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมลงปาฏิโมกข์สังฆกรรม พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์เกิดแรงบันดานใจจากพระอริยครูสายในดง เล่าลือกันว่าบรมครูเทพโลกอุดร หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า
หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์ท่านชอบฟังบทสวดพระปาฏิโมกข์มาก
อาศัยกำลังใจจากตรงนี้ เกิดสนใจขึ้นมาในเวลานั้นต้องมีอะไรสินะหลวงปู่ใหญ่ท่านถึงชอบฟังจึงกำหนดจิตพิจารณาตามเสียงสวดของพระปาฎิโมกข์ ขณะเดียวกันนั้นภายในจิตใจก็เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรง ไม่อยากจะนั่งต่อแล้ว
จิตที่คิดไม่ดีเอาแต่จะเลิกล้มการนั่งในอริยบทเดียว เพื่อหาทางออก
ที่จะพยายามขยับขยายสภาวะทุกขเวทนาในการปรับเปลี่ยนอริยบท ให้ได้รับความสบายขึ้น
์ชั่วขณะพระสวดพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลงพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรไม่ลดละแบบสู้ตายยอมตาย หากแม้นว่าเสียงพระสวดพระปาฏิโมกข์ยังจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย มีจิตจดจ่อ
จับกับความรู้สึกในเวทนาเหล่านั้น พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎาเกิดความสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลตรงที่พระนั่งพับเพียบอยู่นั้นมีละอองธรรมะที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกของสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของจักรวาลโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุก 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ที่สุดถึงพรหม ตลอดถึงพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมบรมครูผู้ที่เสด็จไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย ์1000 กลีบ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมะกับจิตที่บริสุทธิ์ของพระกฤษฏาว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเราคือพระพุทธะ เมื่อธรรมะได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบดีแล้วมีพระพุทธคุณอันแผ่ซ่านออกจากร่างกาย พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ๆ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ สมบัติออกบวชหวังสำเร็จพระโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรมของ ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาจะตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้นจิตหนึ่งคือพุทธะ ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นั้นเท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเอาเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตายทิ้งไปเปล่า ตนจึงควรเป็นที่พึ่งของตน จะให้พระศาสดาทำแทนตรัสรู้แทนกันไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องทำเอาเองพรากเพียรพยายามด้วยตัวของท่านเอง เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูกด้วยความติดยึดยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป หัวสมองของพระก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญาที่คลาดเคลื่อน ตัณหาความทะยานอยากอุปปทานตัวคิด
จิตที่อยู่เหนือโลกหนือธรรมะ ก็เท่ากับได้ลาขาดจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาพระองค์นั้นในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนมรรคผลพระนิพพานเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


มีหลักฐานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในคำสอนของพระเยซูไหมครับ ถ้ามีนำมาโชว์ ถ้าไม่มีเท่ากับว่าคุณกำลังให้ร้ายพระศาสนจักรอยู่ครับ
เรียนคุณ MichaeLPauL ผมสารภาพตามตรงว่าวันอาทิตย์ที่ 22 -6-51 ที่ผ่านมา ผมไปค้นหาหนังสือเล่นนั้นแต่ไม่พบแล้ว
แต่ถ้าคุณ MichaeLPauL จะใช้พลังจิตตรวจสอบความรู้นอกตำราผมก็ยินดี
เรื่องนี้เกิดที่วัดหลวงปู่ชอบสร้างเอาไว้ วัดป่าบ้านบง ผมได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียร
เพื่อน ๆผมได้เลือกกุฏิ ที่พักก่อนหน้าผม ส่วนตัวผมเองมีสิ่งศักสิทธิ์ดนใจให้ไปได้กุฏิไม้ไผ่มุงแฝก
มารู้เอาที่หลังว่าเป็นกุฎิที่หลวงปู่ชอบท่านมาภาวนา พระในวันว่าเป็นกุฏิหลวงปู่ชอบ
คุณ MichaeLPauL ก่อนขึ้นกุฏิผมแสดงอาการกราบคารวะที่บันไดทางขึ้นกุฏิหลวงปู่ชอบ
ผมมาอาศัยฝึกภาวนาไม่ได้คิดมาจับจองเป็นของตน การภาวนาของผมก็เป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป
จนมีอยู่คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วก็ขึ้นกุฏิเข้าที่ภาวนา
ปรากฏว่าเห็นร่างตนเองนอนตายและจิตกำลังจะออกไปเที่ยวแต่บังคับไม่ให้จิตออกนอกกาย จึงกำหนดดู หนังเลือดเนื้อ ข้างในเป็นอะไร ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูก ตั้งคำถามเข้าไปอีกว่า ในโครงกระดูกมีอะไรอยู่ข้างในอีก
ก็กลับคืนเป็นฝุ่นผงขี้เถ้า จึงเพ่งลงไปอีกที่ฝุ่นผงขี้เถ้าก็พบความจริง เป็นความว่างเปล่า ก็ ภาวนาตามปกติปรากฏภาพนิมิต พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านไม่ได้บอกชื่อหรือนามท่านแต่ท่านก็ให้เรานั่งนิพพานให้ดู และท่านยังแสดงอาการนิพพานในท่านั่งให้ดู ท่านนั่งไปสักพักก็ล้มพับไป แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปเดิน เดินไปสุดทางจงกลม
แล้วก็เดินมาถึงกลางทางจงกลมก็ล้มลงนิพพาน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรูปยืนท่านยืนได้สักพักหนึ่งก็ล้มลงกับพื้นกองกับพื้นดิน รูปนอนก็นอนตะแคงและก็หลับตานิพพานไปเลย เกิดธรรมะสังเวชบงตกกับชีวิต
ถ้าเวลาตายของเรามาถึงจะหลบไปตายในถ้ำด้วยรูปนั่งไม่ต้องการให้ใครมาพบมาเห็น

ก่อนหน้านั้นที่จะถึงกิเลสนิพพาน
ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็จะมีฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษสีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกแต่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นเย็นของสายฝนที่ผัสผัสผิวกาย
เป็นอยู่อย่างนี้นานทีเดียวนอนหลับเป็นเห็นเทพเทวาพากันมารดน้ำสังข์ ประกอบกับเห็นนิมิตรูปเจดีย์สีขาวล้อมรอบไปด้วยไม้กางเขน มีอักษรจารึกเป็นคำว่า เจดีย์พระคุณแม่
จนวันที่ผมทิ้งสำนักเดินทางไปหาวิเวกที่วัดป่าเขาเจริญธรรม ผมก็ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาตั้งสัจจะไม่ทานข้าวทานแต่น้ำ เร่งความเพียนเพื่อเผากิเลสให้หมดในชาตินี้ แต่ก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ผมลงมาปักกลดข้างล้างกุฏิ
ผมก็นอนภาวนาจนหลับดิ่งลึก มาตื่นเอาตอนหูได้ยินเสียงปีกนกตีกับอะไรก็ไม่ทราบ เสียงปีกของนกตีถี่มาก
จนผมต้องถอนจิตออกจากฌาน ลืมตาขึ้นดูก็เห็นนกกางเขน คู่หนึ่งบินลงมาจิกตีงูสิงที่เลื่อยมาทางกลดที่ผมปักอยู่
พอนกกางเขนเห็นว่าผมตื่นแล้ว ผมก็เข้าใจทันที่ว่านกกางเขนเค้ามาให้ความคุ้มครองเราในขณะที่นอนภาวนา คุณ MichaeLPauL ผมได้บอกขอบใจนกกางเขนที่เขามาปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากงูสิงตัวใหญ่ และผมก็ใช้ไม้กลดเขี่ยงูให้ออกพ้นทางจนมันเลื่อนเข้าไปในป่า
ผมมารู้ทีหลังคุณ MichaeLPauL ว่าผมไปปักกลดปิดทางเข้ารูของงูสิงตัวใหญ่
พ้นเรื่องงูไปผมก็มาพบเห็นวิญญาณจากนักซิ่งมอเตอร์ไซด์ตายคารถ ญาติก็เอามาฝากไว้ที่วัดผมก็ลงไปชักอนิจจา
เวลา 2 ทุ่มก่อนเดินจากซากมอเตอร์ไซด์ก็เกิดวิตกว่า ไม่มีชิ้นดีอย่างนี้ใครจะขับไปได้
กลางดึกสะงัดในฝันได้ยินเสียงวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้ากุฏิ หลวงพี่ ๆ ไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นกัน
ผมก็ออกมาจากกุฏิอ้าวมอเตอร์ไซด์มันพังไปแล้ว ทำไมมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ละ
วิญญาณก็บอกว่าคนที่ตายแล้วสามารถรวบรวมสสานและพลังงานที่อยู่รอบ ๆตัวเป็นวัตถุต่างๆได้อย่างสบาย แล้วผมกับวิญญาณก็นั่งรถไปเที่ยวพอมีบ้านขวางอยู่ข้างหน้าผีก็ไม่หลบพระก็ซ้อนท้ายไปพอสมควร ชนจะๆ กันเห็นๆ
ก็กลายเป็นความว่างเปล่าขับไปแหวไปไม่มีสิ่งกรีดขวางหวาดเสียวไปหมด
จนขับมาส่งที่หน้ากุฏิแล้วหมุ่นนักบิดเมืองผีก็กล่าวอำลาจากไป




หลังจากที่ผีนักซิ่งหายลับตาไปแล้ว ก็สะดุ้งตื่นลุกออกมาเข้าทางจงกลมต่อ

เดินไปก็พิจารณาธรรมะ ไปจนเป็นเช้าวันใหม่ ก็ไปวางดอกไม้จันทน์ให้ผีนักซิ่ง
และก็ร่วมเผาจนเก็บกระดูก และก็ขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรมต่อแต่คืนนี้ว่าจะไม่เดิน เอาแค่นั่งสมาธิกับนอนภาวนาเท่านั้น คืนนี้ได้รับคำตักเตือนจากจ้าวป่าเจ้าเขา มาให้ปัญญา ท่าน ๆ การอดนอนผ่อนอาหารเอาแค่พอดี
อย่าทำให้มันเกินเลย พุทธเจ้าในอดีตก็ไม่กิเลสนิพพานด้วยการอดอาหาร สังขารต้องการอาหาร
แม้แต่ผมก็ยังมีอาหารทิพย์ทาน ส่วนท่านนั้นไม่พักผ่อนก็ไม่เป็นไรแต่ร่างกายต้องการอาหาร
การภวนามันจึงจะเป็นไปในมรรคผล เสียงเจ้าป่าท่านนี้ดังมาจากแท่นศิลาอาสน์ นั่งคู่กับมเหสีแต่งองค์ด้วยชุดกษัตริย์โบราณกำลังเสวยอาหารทิพย์อยู่บนฟ้าสวรรค์ที่แหวกเป็นชั้น ๆ ฟ้ามองมาที่โลกมนุษย์ บอกให้สติพระอยู่
เมื่อตนพิจารณาตามก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในความประมาทตามคำบอกของบัณฑิตทางธรรม
ก็ละความเพียรอันทำให้ตนลำบากเปล่า
ลงจากเขาไปหามะกูดเชื่อมทานเพื่อให้ร่างกายได้มีกำลังกลับคืนมา
และก็ลงจงกลมต่อในขณะที่เดินไปก็คิดไปว่า อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ได้ยกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เพื่อตอบแทนพระคุณของมารดา
คุณ MichaeLPauL ผมก็ได้เอามาย่นย่อลงเหลือแค่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสัจจะปรมัตถ์แล้วไม่มี

เหตุเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนเป็นสัตว์มันจึงผิดจากบัญญัติ

เมื่อปัญญาญาณสามารถแยกสมมุติบัญญัติจริงตามสมมุติ วิมุติตามจริงออกจากกัน
เป็นเอกเทศก็ลงจากทางจงกลมเดินขึ้นกุฏินั่งภาวนาจนได้นิมิตในระนาบเดียวกันกับผู้มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้วก่อนหน้าพระ เสียงหัวเราะกับคำแสดงความชื่นชม
ดังเข้ามาในกุฏิ หุหุหุ พระอมิตาภะรูปนี้นั่งตรัสรู้ไม่เหมือนใคร และมีเสียงกำชับว่ารู้รึยังว่าท่านเป็นใคร
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ตั้งคำถามเสียงที่ทรงอำนาจนั้น ผมตอบว่าไม่รู้ครับ เสียงนั้นก็นำทางกระแสจิตอีกว่า ระลึกดี ๆ ว่าท่านเป็นใคร
คุณ MichaeLPauL ผมพยายามระลึกชาติจนทำใจให้นิ่งได้แล้ว ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นพระเยซูคริสต์
แขวนบนไม้กางเขน การเห็นเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีรูปที่ตรึงกับไม้กางเขน กับภาพนั่งคุกเข่าลงบนก้อนหินสวดภาวนาและภาพยืนภาวนา ส่วนภายไต้ไม้กางเขนลงมา มีลูกแกะแยกออกจากความมืด และก็มีเสียงกำกับว่า
รู้ภพชาติของตนแล้วซินะผมตอบว่าทราบแล้วครับว่าผมเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาเกิด
และพร้อมกับคำเชิญชวนให้ออกมาข้างนอกจะพาไปดูของดีและผมก็เดินลงมาหาเจ้าของเสียงที่ทรงพลังทันใดนั้นผ้าม่านที่มีคนหามเกี้ยว ก็เปิดออกให้เห็นใบหน้า ที่แท้เกี้ยวหามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านเรียกให้เข้าไปนั่งกับท่านพอท่านพูดจบ ตัวผมก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวหามพร้อมท่านพระอาจารย์มั่น คนหามเกี้ยวก็ทะยานออกจากป่าเดินเหินอากาศจนมาลงที่อำเภอหนองไผ่และท่านอาจารย์มั่นกับผมก็ลงจากเกี้ยวและท่านก็ชี้ให้พระดู
ขุมทองคำอยู่ไต้พสุธาเป็นทองคำทั้งสิ้นดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความโลภขึ้นมาเลย และท่านก็พาเดินดูทรัพย์ไต้ดินจนได้เวลากลับท่านก็บอกให้คนหามเกี้ยวพระไปส่งพระที่กุฎิและท่านก็ลาจากไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวพระ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นจากไปไม่นานก็มองเห็นพระเดินออกมาจากทะเลทราย แล้วท่านก็บอกว่า
ผมพระพระมหากัสสปะ ทราบว่าท่านพ้นทุกข์เข้าถึงแดนอำมตะแล้วก็เลยนำเอาพระอบทองคำที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้ท่านเก็บรักษา ก่อนผมจะกลับไบในทีที่ผมมาผมก็จะมอบหนังเท้าของผมให้ท่านไป
ผมมาพบความหมายของหนังไม่ยึดติดตัวอักษรคัมภีร์
แต่ก็ไม่ทิ้งตัวอักษรคัมภีร์
อยู่เหนือการยอมรับ และเหนือการปฏิเสธ
นั่นแหละ คือ ธรรมะที่แท้จริง
คุณ MichaeLPauL และพระพระมหากัสสปะก็เดินทางข้ามทะเลทรายห่างออกไป ๆจนลับตาผมไป


ท่านอากาศ
ก่อนเกิดมาเป็นเรา
การระลึกชาติแต่หนหลัง
ในอดีตชาติเรามีชื่อ
พระอาจารย์ดนัย
กัลยาณธัมโม


https://youtu.be/gGgiHJb3q_E


เป็นเรื่องของคุณLuna เอง..ใช่มั้ยเนี้ย?


ใช่ครับ

https://youtu.be/kVgKOKXIlhM


2537 ...คุณLuna ว่า..บวชได้ 7 วัน ลงสวดปาติโมกข์ แสดงว่า..เป็นพระไม่ใช่เณรน้อย...แล้วก็อยู่ในพิธีสำคัญ...

ในวันนั้น คุณLuna..เป็นพระหรือเป็นเณร..ละครับ?

พระดนัย..ที่คุณLuna ว่าเป็นชื่อในอดีต..ถูกช้างเหยียบมรณภาพที่เขาใหญ่ ปี 2530...

จาก 2530 ถึง 2537 หากลบช่วงตั้งครรภ์ออกไป..เด็กอายุก็ควรจะ 6 ขวบ

อื่มม.....นะ s004 s004


ให้ท่านศึกษาจากพระสำเร็จหลายๆ
องค์ที่ท่านสามารถ
ย้ายร่างได้แบบโลกอุดร

อย่างหลวง หลวงพ่อโอภาสีเป็นพระสำเร็จมาสร้างบารมี

หลวงปู่สรวงท่านก็ย้ายร่างแบบโลกอุดรเช่นกันครับ

โลกนี้มีอะไรเป็น อจินไตย อีกเยอะครับตัวตนแรกก็สามารถดงรงอยู่
ในขณะที่ตัวตน
ที่แบ่งไปเกิดใหม่
( อวตาร) มาอยู่ร่วมสมัยกันได้จนกว่า
ตัวตนที่แบ่งออกมาจะหมดบุญ
ก็เป็นการถ่ายโอนข้อมูล ดาวน์โหลดอย่างสมบูรณ์


อีกตัวอย่างที่ยกมา
เป็นนักพรตจีน
"ทิก้วยลี้" เซียนแห่งยาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เดิมแซ่หลี่ ชื่อหนิงเอี๋ยง หรือหงซุ่ย กำเนิดเมื่อวัน 10 ค่ำ เดือน 7 สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด เห็นว่าอำนาจวาสนา ลาภยศสรรเสริญ สมบัติพัสถาน ล้วนเป็นมายาดุจเมฆหมอกลอยกลางอากาศ ไม่นานก็จางหาย เมื่อพิจารณาเห็นสัจธรรมนั้นจึงสละทางโลกไปบำเพ็ญพรตจนสามารถถอดกายทิพย์และวิญญาณออกจากร่าง

วันหนึ่งต้องไปเข้าเฝ้าอาจารย์ที่เขาหัวซาน จึงจะไปแต่กายทิพย์ ส่วนร่างฝากศิษย์ให้ดูแล สั่งว่าถ้าเกิน 7 วันยังไม่กลับให้เผาร่างได้เลย ระหว่างนั้นมารดาศิษย์ป่วยหนัก ทางบ้านมาส่งข่าวให้รีบกลับ ศิษย์ไม่อาจทนอยู่ได้จึงนำร่างไปเผาในวันที่ 6 ท่านกลับมาในวันที่ 7 ไม่พบศิษย์ ไม่เห็นร่างตน ก็เข้าใจ แต่ไม่เคืองกระไร ไปเข้าร่างขอทานขาพิการที่เพิ่งเสียชีวิต ร่างใหม่ของท่านจึงขาพิการข้างหนึ่ง เวลาเดินใช้ไม้เท้าเหล็กค้ำ คนเรียกว่า ทิก้วยลี้

หนึ่งในพระอรหันต์ทั้งแปด ถ้าบ้านใด
มีคนทะเลาะกันไม่เกิดความสงบสุข
ท่านให้เอารูปแปดเซียนแขวนไว้ในบ้านเพื่อความเป็นศิริมงคล.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2019, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เจอมุกย้ายร่าง....เพื่อนๆพากันหายหน้าไปเลยนะ...

:b12: :b12: :b12:

เด้วรอ....ท่านอื่นๆ...ซะก่อนนะ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 289 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร