วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 12:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 289 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
ความจริง พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระนิพพานนั้น มีชื่อ
เรียกแทนพระนิพพานเป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งชื่อที่เป็นปฏิปักษ์แห่งสังขต-
ธรรมทั้งหมด อย่างไร คือ ชื่อมีอาทิว่า
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ)
นิโรโธ (ความดับ)
จาโค (ความสละ)
ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน)
มุตฺติ (ความพ้น)
อนาลโย (ความไม่มีอาลัย)
ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ)
โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ)
โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ)
ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา)
อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น)
อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป)
อนิมิตฺตํ (ความไม่มีเครื่องหมาย)
อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง)
อนายูหนํ (ความไม่พยายาม)
อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ)
อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป)
อคติ (ความไม่มีคติ)
อชาตํ (ความไม่เกิด)
อชรํ (ความไม่แก่)
อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ)
อมตํ (ความไม่ตาย)
อโสกํ (ความไม่มีโศก)
อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ)
อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส)
อสํกิลิฏฺฐํ (ความไม่เศร้าหมอง).
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาอันมรรค
ตัดแล้ว แม้อาศัยพระนิพพานแล้วก็ถึงความไม่เป็นไปในวัตถุเป็นที่ตั้งอันใด
ที่พระองค์ทรงแสดงความเกิดของมันไว้ในที่นั้นนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า สา โข
ปเนสา (ก็ตัณหานี้นั้นแล) เป็นต้น.

:b8: :b8: :b8:


คนพูดไม่เท่าคนทำได้นะท่านโลกสวย



จิตนี้เดิมทีมาจากเบื้องบน(สูง)
จากฟ้ามาถือกำเนิดในโลกใบนี้มีกายสังขารสองขายืนหยัดอยู่แต่หลังจากมาถือกำเนิดเป็นคนแล้ว คนกลับหลงผิด
หลงวกวนอยู่ในสายโลกโลกีย์ ไม่รู้ต้นกำเนิดเดิม ไม่รู้วิถีทางกลับคืนเบื้องบน
จึงเดินเรื่อยไปเวียนว่ายเรื่อยไป ไม่ได้กลับคืนซะที
ลงมาจากฟ้าแท้ๆแต่กลับเลือกไปในวิถี
เดรฉานวิถี เปรตวิถี
อสุรกายวิถี นรกวิถี
จึงเป็นคนสองขาน่าเวทนาที่สุด เพราะหลงลืม ไม่รู้ความเป็นหนึ่ง ของจิตหนึ่งอันเป็นมหาบุรุษผู้หลุดพ้นจากสองขานี้ได้ผู้ที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาจึงหมายถึงผู้รู้ความเป็นหนึ่งของตน(คือพระพุทธะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
"อันที่จริงอยากให้ท่านเข้าใจว่า
เมื่อ อนาคตไม่มีอยู่จริง อดีตไม่มีอยู่จริง ปัจจุบันธรรมไม่มีอยู่จริง
เมื่อนั้นท่านจะหมดความรับผิดชอบในการเฝ้าดูจิตอีกต่อไป หมดงานความเพียรพยายามที่จะละกิเลสอีกต่อไป"

อเหตุกทิฐิ เป็นลัทธิที่มีความเห็นว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยสัตว์ทั้งหลายจะได้ดี ได้ชั่ว ได้สุขหรือทุกข์ก็ได้เอง ไม่ใช่เพราะทำดีหรือทำชั่ว อนึ่งสัตว์ทั้งหลายหลังจากท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏแล้วก็บริสุทธิ์ได้เอง ลัทธินี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังสารสุทธิกวาท เจ้าลัทธินี้ คือ มักขลิโคศาล


เพระคุณ สำคัญผิด คิดว่า กิเลส ไม่มีปัจจัยให้เกิด

12 องค์ธรรม ของปฎิจจสมุปาท แสดง เหตุ และปัจจัย ครบถ้วน
ทั้งในพระสูตร และพระอภิธรรม

และความคิดผิด เช่นนั้น ปฐมเหตุ ก็มาจากอวิชชา ของคุณเองค่ะ



เมื่อพากเพียรเพียรพยายามจนสามารถทำอะไร อวิชชา ให้แปลเปลี่ยน เป็นความว่างสว่างเปล่าได้
อย่างนี้แล้ว ท่านยังเรียกว่าอ่านวิชา ความไม่รู้จริงนั้นหมายความว่าท่านสอบตกยังสอบไม่ผ่าน โลกุตระภูมิ ท่านเองไม่รู้แม้นแต่ ต้นกำเนิดของท่านเป็นใครท่านมาจากไหนแล้วท่านตายแล้วท่านจะไปที่ไหน หากท่านยังตอบคำถามที่ค้างคา ภายในใจ ของท่าน ยังไม่ได้ ก็ควรจะทำการรับแล้ว ศึกษาให้มากๆ คันธสาระ คือภูมิที่ยังต้องศึกษาอีกมากกับภูมิที่ไม่ต้องศึกษาอีก เรียกว่า เรียนจบ โลกุตรธรรม จริง
ไม่ได้ เรียนจบแบบหลอกๆ ตามโลกสมมุติว่าเรียนจบ ถ้าโลกสวยแต่ภายนอก โลกภายใน พุทธเกษตรจะไม่ เกิดความบริสุทธิ์ได้เลย


คริคริ

ก็เป็นการแสดงความเห็นผิดของคุณ ที่ขบคิดไป ว่าพุทธเกษตรแห่งสมเด็จพระบรมศาสดานี้ ไม่บริสุทธิ์

และก็ตามโวหารที่คุณแสดงมา ก็ดันไปตรงกับ ท่านมักขลิโคศาจารย์อีกนันแหละ
เมื่อท่องเที่ยวเล่าประสบการณ์ขี้นเขาลงห้วย หาพญานาค แล้ว ว่า

สัตว์ทั้งหลายหลังจากท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏแล้วก็บริสุทธิ์ได้เอง


คุณคงไม่เข้าใจและสับสน
เมื่อจิตของเราบริสุทธิ์ พุทธเกษตรของเราก็พลอยบริสุทธิ์ตามไปด้วย

ประสบการณ์ที่ผมนำมาเล่า ก็เพื่อให้ขวัญและกำลังใจ กับคนที่ปฏิบัติ ที่ยังต้องเกี่ยวข้อง กับรูป กับนามที่ยังข้ามรูปกับนามไปไม่ได้
นิมิตเป็นเรื่องดีสำหรับผู้มีปัญญาวิมุตหลุดพ้นนิมิตจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหลับในท่านที่ยังไม่ถึงดวงวิมุตหลุดพ้น


สุดท้ายแล้ว ก็ต้องดับ รูป และดับมาก

ส่วนคนที่ยังดับรูปไม่ได้ ดับนามไม่ได้ ก็ยังเป็นปุถุชน
และลังเลสงสัยอยู่ตลอดเวลา จิตแบบนี่จะเห็นอนัตตาธรรมอะไรได้ท่าน


แก้ไขล่าสุดโดย luna เมื่อ 26 มี.ค. 2019, 15:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
sssboun เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
ความจริง พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระนิพพานนั้น มีชื่อ
เรียกแทนพระนิพพานเป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งชื่อที่เป็นปฏิปักษ์แห่งสังขต-
ธรรมทั้งหมด อย่างไร คือ ชื่อมีอาทิว่า
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ)
นิโรโธ (ความดับ)
จาโค (ความสละ)
ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน)
มุตฺติ (ความพ้น)
อนาลโย (ความไม่มีอาลัย)
ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ)
โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ)
โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ)
ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา)
อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น)
อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป)
อนิมิตฺตํ (ความไม่มีเครื่องหมาย)
อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง)
อนายูหนํ (ความไม่พยายาม)
อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ)
อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป)
อคติ (ความไม่มีคติ)
อชาตํ (ความไม่เกิด)
อชรํ (ความไม่แก่)
อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ)
อมตํ (ความไม่ตาย)
อโสกํ (ความไม่มีโศก)
อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ)
อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส)
อสํกิลิฏฺฐํ (ความไม่เศร้าหมอง).
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาอันมรรค
ตัดแล้ว แม้อาศัยพระนิพพานแล้วก็ถึงความไม่เป็นไปในวัตถุเป็นที่ตั้งอันใด
ที่พระองค์ทรงแสดงความเกิดของมันไว้ในที่นั้นนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า สา โข
ปเนสา (ก็ตัณหานี้นั้นแล) เป็นต้น.

:b8: :b8: :b8:


คนพูดไม่เท่าคนทำได้นะท่านโลกสวย



จิตนี้เดิมทีมาจากเบื้องบน(สูง)
จากฟ้ามาถือกำเนิดในโลกใบนี้มีกายสังขารสองขายืนหยัดอยู่แต่หลังจากมาถือกำเนิดเป็นคนแล้ว คนกลับหลงผิด
หลงวกวนอยู่ในสายโลกโลกีย์ ไม่รู้ต้นกำเนิดเดิม ไม่รู้วิถีทางกลับคืนเบื้องบน
จึงเดินเรื่อยไปเวียนว่ายเรื่อยไป ไม่ได้กลับคืนซะที
ลงมาจากฟ้าแท้ๆแต่กลับเลือกไปในวิถี
เดรฉานวิถี เปรตวิถี
อสุรกายวิถี นรกวิถี
จึงเป็นคนสองขาน่าเวทนาที่สุด เพราะหลงลืม ไม่รู้ความเป็นหนึ่ง ของจิตหนึ่งอันเป็นมหาบุรุษผู้หลุดพ้นจากสองขานี้ได้ผู้ที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาจึงหมายถึงผู้รู้ความเป็นหนึ่งของตน(คือพระพุทธะ)


ใช่ครับคนทำได้ดีกว่า แต่คนที่ดีกว่าคนทำนั้นก็คือ ทั้งพูดได้ทำได้

คนมี ๔ ประเภท

พูดไม่ได้ทำไม่ได้
พูดไม่ได้ทำได้
พูดได้ทำไม่ได้
พูดได้ทำได้ ดีเยี่ยม


บุคคลสุดท้ายหาได้ยากยิ่งครับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 07:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
อกิริยทิฐิ เป็นลัทธิที่มีความเห็นว่า ทำก็ไม่เชื่อว่าทำ เช่นบุญบาปไม่มี ความดีความชั่วไม่มี
เจ้าลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ

ก็เรยไม่รู้จัก ว่า กรรมมีจริง ผลกรรมมีจริง

การทำชั่วได้ผลชั่วจริง ทำดีได้ผลดีจริง

เพราะคุณยังไม่รุ้ แม้แต่กรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

คุณเรยไม่รู้ว่า สวรรค์นรกมีจริง

สวรรค์นรก ไม่ได้พิสูจน์ยากเย็น อย่างที่คุณ ขบคิดไปตามแบบท่านปูรณะกัสสปะ

คุณขบคิด ที่จะต้องพิสูจน์สวรรคนรก ให้ได้เสียก่อน ด้วยสมถะฌาน
แล้วจะเชื่อ ว่านิมิตเหล่านั้น เป็นของจริง

แล้วคุณเชื่อหรือว่า นิมิตคุณ เป็นจริง ในเมื่อบอกไปตั้งแต่ต้นแล้ว
นิมิตคุณ ไม่ตรงกะ เกจิท่านอื่นๆ

คริคริ


เกจิที่ท่านกล่าวถึงต้องเป็นอาจารย์เทียมเท็จ จำพวก อาจารย์ปลอม หรือไม่ก็ศาสดาเทียมเท็จ หมายสำคัญไม่ตรง กับอาจารย์เทียมเท็จ และมันดีแล้ว

แสงของลูกแก้ว ส่องสว่าง แก่คนอื่น แต่ส่องตัวเองไม่ได้ แสงที่สว่างที่สุด นั่น ก็คือ แสงแห่งสติปัญญา ส่องภายใน
ไม่ใช่ส่งจิตออกข้างนอกท่านโลกสวย


คริคริ

แต่นิมิตคุณ ตามโวหารที่เล่ามา ดันไปตรงกับ ท่านปูรณะกัสสปะ ไงล่ะค๊ะ

แสงสว่างแ่ห่งจิตคุณ เรยเป็นได้แค่หิ่งห้อย ไม่อาจไปได้ทุกภพภูมิ มิติและดวงดาว


ส่งจิตพิจารณาตามละกันตามเรามาท่านโลกสวย

ย้อนเวลากลับไป
ที่ถ้ำขาม
ขณะนั้นเราได้เข้าที่ภาวนาพิจารณา
สภาวะจิตที่มีทั้งความสว่าง เป็นขอบเป็นจุดต่อมของความสว่าง
และชื่มชมหลงไหลไปกับการเฝ้าดูจิตตัวเองที่สว่างนวลคล้ายพระจันทย์ในวันเพ็ญเย็นสบาย
แล้วก็มาถึงจุดพลิก
ทำให้เราทำลายต่อมผู้รู้ได้ทำลายจิตได้ ฆ่าผู้รู้ได้
อันนี้ไม่ทราบได้ว่า
ใครเป็นผู้เปิด เทปของหลวงตามหาบัวองค์จุดสำคัญตรงนี้พอดีท่านกล่าวถึงสิ่งที่ท่านติดใจ
และหลงชื่นชมไปกับความสว่างแบบนี้มาแล้ว ท่านเล่าว่ามาหลงชื่นชมความสว่างเท่ากับกองขี้ควาย

https://youtu.be/0r53qW-aTBY

https://youtu.be/84yt2MTXElw

https://youtu.be/FS07d2RFAVs


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
เม จะบอกให้ว่า

การบรรลุสัจจะธรรม ไม่ใช่จิต แต่ เป็น เจตสิก

คุณ Luna กล่าวผิดๆๆๆๆ มาตั้งแต่ต้นแล้ว ค่ะ


โวหารดีค่ะ แต่ ทุกคำที่คุณสาธยายมาออกมา
กลับล้อมจับ พาตัวเองไส่กรงขังเอง

พอดี เม ไม่ใช่สามเณรปริยัติ ที่ท่องจำพระสูตร
มาจากการแปล ที่ผิด โดยไม่เข้าใจความหมาย
และเม ไม่ได้เป็น ผู้ที่ถูกพระสูตรพลิกไปตามหน้าพระสูตรค่ะ



tongue


หากจะว่าเราเราก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง
ตามหลักภาวนามัยปัญญา พอทีเถอะนะเรียนมากรู้มากหลงมาก
ปฏิบัติให้มากดีกว่าโลกสวย


คริคริ

คุณ LUNA ยิ่งแสดงโวหารออกมา ก็ ยิ่งแสดงความเขลารัดคอตนเอง
เพราะไปภาวนาผิดๆๆ ไป หาสวรรค์หา พญานาค

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม และไม่ได้เรียนปริยัติ แถมปฎิบัติไม่เอาไหน
เรยไม่รู้ว่า


ที่ถูก ตามพระอภิธรรม คือ
จิตปฎิบัติ รูป ปฎิบัติ และ เจตสิกปฎิบัติ
ไม่มีตนเอง เข้าไปปฎิบัติ

555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
อกิริยทิฐิ เป็นลัทธิที่มีความเห็นว่า ทำก็ไม่เชื่อว่าทำ เช่นบุญบาปไม่มี ความดีความชั่วไม่มี
เจ้าลัทธินี้คือ ปูรณกัสสปะ

ก็เรยไม่รู้จัก ว่า กรรมมีจริง ผลกรรมมีจริง

การทำชั่วได้ผลชั่วจริง ทำดีได้ผลดีจริง

เพราะคุณยังไม่รุ้ แม้แต่กรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

คุณเรยไม่รู้ว่า สวรรค์นรกมีจริง

สวรรค์นรก ไม่ได้พิสูจน์ยากเย็น อย่างที่คุณ ขบคิดไปตามแบบท่านปูรณะกัสสปะ

คุณขบคิด ที่จะต้องพิสูจน์สวรรคนรก ให้ได้เสียก่อน ด้วยสมถะฌาน
แล้วจะเชื่อ ว่านิมิตเหล่านั้น เป็นของจริง

แล้วคุณเชื่อหรือว่า นิมิตคุณ เป็นจริง ในเมื่อบอกไปตั้งแต่ต้นแล้ว
นิมิตคุณ ไม่ตรงกะ เกจิท่านอื่นๆ

คริคริ


เกจิที่ท่านกล่าวถึงต้องเป็นอาจารย์เทียมเท็จ จำพวก อาจารย์ปลอม หรือไม่ก็ศาสดาเทียมเท็จ หมายสำคัญไม่ตรง กับอาจารย์เทียมเท็จ และมันดีแล้ว

แสงของลูกแก้ว ส่องสว่าง แก่คนอื่น แต่ส่องตัวเองไม่ได้ แสงที่สว่างที่สุด นั่น ก็คือ แสงแห่งสติปัญญา ส่องภายใน
ไม่ใช่ส่งจิตออกข้างนอกท่านโลกสวย


คริคริ

แต่นิมิตคุณ ตามโวหารที่เล่ามา ดันไปตรงกับ ท่านปูรณะกัสสปะ ไงล่ะค๊ะ

แสงสว่างแ่ห่งจิตคุณ เรยเป็นได้แค่หิ่งห้อย ไม่อาจไปได้ทุกภพภูมิ มิติและดวงดาว


ส่งจิตพิจารณาตามละกันตามเรามาท่านโลกสวย

ย้อนเวลากลับไป
ที่ถ้ำขาม
ขณะนั้นเราได้เข้าที่ภาวนาพิจารณา
สภาวะจิตที่มีทั้งความสว่าง เป็นขอบเป็นจุดต่อมของความสว่าง
และชื่มชมหลงไหลไปกับการเฝ้าดูจิตตัวเองที่สว่างนวลคล้ายพระจันทย์ในวันเพ็ญเย็นสบาย
แล้วก็มาถึงจุดพลิก
ทำให้เราทำลายต่อมผู้รู้ได้ทำลายจิตได้ ฆ่าผู้รู้ได้
อันนี้ไม่ทราบได้ว่า
ใครเป็นผู้เปิด เทปของหลวงตามหาบัวองค์จุดสำคัญตรงนี้พอดีท่านกล่าวถึงสิ่งที่ท่านติดใจ
และหลงชื่นชมไปกับความสว่างแบบนี้มาแล้ว ท่านเล่าว่ามาหลงชื่นชมความสว่างเท่ากับกองขี้ควาย

https://youtu.be/0r53qW-aTBY

https://youtu.be/84yt2MTXElw

https://youtu.be/FS07d2RFAVs


คริคริ

ที่ถูกต้องตามพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไว้ในพระไตรปิฎก คือ

แสงแห่งธรรม สว่างกว่าแสงใดๆ

ผู้ที่เห็นแสงแห่งธรรม จึงจะรู้แจ้ง ประจักษ์แก่ใจ ว่า ไม่ใช่ กองขี้ควาย หรือแสงหิงห้อย


555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
sssboun เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
ความจริง พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระนิพพานนั้น มีชื่อ
เรียกแทนพระนิพพานเป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งชื่อที่เป็นปฏิปักษ์แห่งสังขต-
ธรรมทั้งหมด อย่างไร คือ ชื่อมีอาทิว่า
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ)
นิโรโธ (ความดับ)
จาโค (ความสละ)
ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน)
มุตฺติ (ความพ้น)
อนาลโย (ความไม่มีอาลัย)
ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ)
โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ)
โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ)
ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา)
อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น)
อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป)
อนิมิตฺตํ (ความไม่มีเครื่องหมาย)
อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง)
อนายูหนํ (ความไม่พยายาม)
อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ)
อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป)
อคติ (ความไม่มีคติ)
อชาตํ (ความไม่เกิด)
อชรํ (ความไม่แก่)
อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ)
อมตํ (ความไม่ตาย)
อโสกํ (ความไม่มีโศก)
อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ)
อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส)
อสํกิลิฏฺฐํ (ความไม่เศร้าหมอง).
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาอันมรรค
ตัดแล้ว แม้อาศัยพระนิพพานแล้วก็ถึงความไม่เป็นไปในวัตถุเป็นที่ตั้งอันใด
ที่พระองค์ทรงแสดงความเกิดของมันไว้ในที่นั้นนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า สา โข
ปเนสา (ก็ตัณหานี้นั้นแล) เป็นต้น.

:b8: :b8: :b8:


คนพูดไม่เท่าคนทำได้นะท่านโลกสวย



จิตนี้เดิมทีมาจากเบื้องบน(สูง)
จากฟ้ามาถือกำเนิดในโลกใบนี้มีกายสังขารสองขายืนหยัดอยู่แต่หลังจากมาถือกำเนิดเป็นคนแล้ว คนกลับหลงผิด
หลงวกวนอยู่ในสายโลกโลกีย์ ไม่รู้ต้นกำเนิดเดิม ไม่รู้วิถีทางกลับคืนเบื้องบน
จึงเดินเรื่อยไปเวียนว่ายเรื่อยไป ไม่ได้กลับคืนซะที
ลงมาจากฟ้าแท้ๆแต่กลับเลือกไปในวิถี
เดรฉานวิถี เปรตวิถี
อสุรกายวิถี นรกวิถี
จึงเป็นคนสองขาน่าเวทนาที่สุด เพราะหลงลืม ไม่รู้ความเป็นหนึ่ง ของจิตหนึ่งอันเป็นมหาบุรุษผู้หลุดพ้นจากสองขานี้ได้ผู้ที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาจึงหมายถึงผู้รู้ความเป็นหนึ่งของตน(คือพระพุทธะ)


:b12: ... :b1:

จิตใจของท่านกำลังพัวพันอยู่กับ น้องเม"โลกสวย"
เลยเห็นข้อความที่คุณ sss ลง แต่กลับมาตอบข้อสนทนากับ น้องเม"โลกสวย" แทน

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 12:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

คริคริ

ที่ถูกต้องตามพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไว้ในพระไตรปิฎก คือ

แสงแห่งธรรม สว่างกว่าแสงใดๆ

ผู้ที่เห็นแสงแห่งธรรม จึงจะรู้แจ้ง ประจักษ์แก่ใจ ว่า ไม่ใช่ กองขี้ควาย หรือแสงหิงห้อย


555



กลับมาๆๆๆเม พี่แค่อากาศจ๋าาที่รักของเมกลับมาแว้ว :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ท่าน Luna ก็ตั้งกระทู้ไว้ก็เหมือนจะดีแล้ว ท่านอ๊บคุยสนทนากับท่าน Luna ก็ดีๆอยู่นะ แต่พอดูๆไปสักพักอีกหลายๆท่านเข้ามาสนทนากระทู้นี้ จิกกัดกันเป็นหมา เป็นสัตว์เดรัจฉานกัดกัน

ถามว่า ท่านได้อะไรจากสิ่งที่คุยกันมั่ง :b32: :b32: :b32: ได้กิเลสกลับไปแบกถมใจให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือได้ความสนองความต้องการกลับ คือได้ทางปฏิบัติกลับ

ผมยังไม่เห็นประโยชน์อื่นใดเกินกว่าการสนองกิเลสตน สนองสันดารเปรต และสันดารสัตว์เดรัจฉานในตน เลยในตอนนี้จากการที่มาจิกกัดกันแบบหมาแบบสัตว์เดรัจฉาน

เห็นแต่คนโง่เอาชนะคนบ้า คนบ้าเอาชนะคนโง่
:b32: :b32: :b32:

หากธรรมใดเป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ล้วนสูงหมดไม่มีต่ำ คนที่เห็นว่ามีต่ำมีสูงนั่นคือใจเขาต่ำก็เห็นต่ำ ใจเขาสูงก็เห็นสูง แค่เห็นใบไม้ร่วง เห็นแสง เห็นสี เห็นดิน เห็นน้ำ ก็บรรลุธรรมได้ นั่นเพราะใจท่านสูงเห็นอะไรก็ควรแก่ธรรมเพื่อหลุดพ้นไปหมด

หากจะกล่าวถึงการภาวนาตามที่ตั้งกระทู้แล้ว ไม่ว่าจะใครในที่นี้ ผมไม่เห็นใครจะควรค่าแก่การสักการะเลย เพราะหลงกันทั้งนั้น หลงมากบ้าง น้อยบ้าง แค่อยากให้คนชื่นชมตนเองเท่านั้น แล้วก็กล่าวอ้างว่าธรรมคนนั้นต่ำ ผิด ของตนสูงโครตไร้สาระ นี่หรือคนปฏิบัติธรรม คนบ้าชัดๆ

เลิกโม้กันแล้วกลับไปทำไปปฏฺบัติให้มากดีกว่า เพราะเห็นชั่ว ก็คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นหมากัดกันทั้งๆที่เป็นเวบธรรมมะแต่กลับมีแต่สัตว์เดรัจฉานอ้างธรรมพระพุทธเจ้ามาข่มกัดกัน


** เลิกเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเห็นธรรมพระพุทธเจ้าสูงค่าทั้งหมดไม่แบ่งแยก เมื่อนั้นจะเห็นธรรมแท้
แล้วจะเลิกสำคัญมั่นหมายในใจว่า..
- ธรรมนี้คือสมถะ ธรรมนี้คือวิปัสสนา
- ธรรมนี้ต่ำ ธรรมนี้สูง
- ธรรมนี้ไม่พ้น ธรรมนี้พ้น
- แต่จะเห็นธรรมทุกอย่างสูงค่าด้วยกันทั้งสิ้น เพราะคือธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนทั้งหมด
- แล้วใจก็จะมีแต่ความดำรงมั่นในธรรม กรรมฐานกองไหน อย่างไรไม่สำคัญ มีแค่จิตตั้บงไว้ในภายในเป็นกำลังด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไปเอาสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ กับ กรรมฐานกองนั้นๆที่ตนเจริญอยู่ให้ได้เท่านั้น ดังนี้..จึงจะสามารถเห็น มหาสติปัฏฐาน ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ที่ตนเจริญอยู่นั้นได้ จิตมีกำลังรวมกันลงเป็นหนึ่งใน ธัมมะวิจยะ เดินเข้าสังขารุเปกขาให้มรรคเจริญยิ่งๆขึ้นได้ **


เลิกทำตัวเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 26 มี.ค. 2019, 13:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 13:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เคยเลยเกม..กระซิบข้างหู...กันไปเป็นทอดๆ..จากหัวแถว..ไปหางแถว..มั้ยครับ..

พอไปถึงหางแถว...ก็ให้คนหางแถว..พูดว่า..ได้ยินเรื่องที่กระซิบมาว่าอย่างไร..

เรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง..เสด็จมาราว 2000 ปี หลังพุทธกาล

ก็อาจจะไม่ใช่พระองค์หนึ่ง..ก็ได้ อาจเป็นหลายๆพระองค์..ที่ไม่ได้มาในรูปร่างกายมนุษย์..ก็ได้
อาจหมายรวม ถึง..ว่าที่พระพุทธเจ้า.แต่เลือกที่จะไม่ไปต่อ..ก็ได้

เป็นต้น


ชอบความเห็นนี้ท่านอ๊บ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 15:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กระทู้นี้ท่าน Luna ก็ตั้งกระทู้ไว้ก็เหมือนจะดีแล้ว ท่านอ๊บคุยสนทนากับท่าน Luna ก็ดีๆอยู่นะ แต่พอดูๆไปสักพักอีกหลายๆท่านเข้ามาสนทนากระทู้นี้ จิกกัดกันเป็นหมา เป็นสัตว์เดรัจฉานกัดกัน

ถามว่า ท่านได้อะไรจากสิ่งที่คุยกันมั่ง :b32: :b32: :b32: ได้กิเลสกลับไปแบกถมใจให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือได้ความสนองความต้องการกลับ คือได้ทางปฏิบัติกลับ

ผมยังไม่เห็นประโยชน์อื่นใดเกินกว่าการสนองกิเลสตน สนองสันดารเปรต และสันดารสัตว์เดรัจฉานในตน เลยในตอนนี้จากการที่มาจิกกัดกันแบบหมาแบบสัตว์เดรัจฉาน

เห็นแต่คนโง่เอาชนะคนบ้า คนบ้าเอาชนะคนโง่
:b32: :b32: :b32:

หากธรรมใดเป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ล้วนสูงหมดไม่มีต่ำ คนที่เห็นว่ามีต่ำมีสูงนั่นคือใจเขาต่ำก็เห็นต่ำ ใจเขาสูงก็เห็นสูง แค่เห็นใบไม้ร่วง เห็นแสง เห็นสี เห็นดิน เห็นน้ำ ก็บรรลุธรรมได้ นั่นเพราะใจท่านสูงเห็นอะไรก็ควรแก่ธรรมเพื่อหลุดพ้นไปหมด

หากจะกล่าวถึงการภาวนาตามที่ตั้งกระทู้แล้ว ไม่ว่าจะใครในที่นี้ ผมไม่เห็นใครจะควรค่าแก่การสักการะเลย เพราะหลงกันทั้งนั้น หลงมากบ้าง น้อยบ้าง แค่อยากให้คนชื่นชมตนเองเท่านั้น แล้วก็กล่าวอ้างว่าธรรมคนนั้นต่ำ ผิด ของตนสูงโครตไร้สาระ นี่หรือคนปฏิบัติธรรม คนบ้าชัดๆ

เลิกโม้กันแล้วกลับไปทำไปปฏฺบัติให้มากดีกว่า เพราะเห็นชั่ว ก็คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นหมากัดกันทั้งๆที่เป็นเวบธรรมมะแต่กลับมีแต่สัตว์เดรัจฉานอ้างธรรมพระพุทธเจ้ามาข่มกัดกัน


** เลิกเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเห็นธรรมพระพุทธเจ้าสูงค่าทั้งหมดไม่แบ่งแยก เมื่อนั้นจะเห็นธรรมแท้
แล้วจะเลิกสำคัญมั่นหมายในใจว่า..
- ธรรมนี้คือสมถะ ธรรมนี้คือวิปัสสนา
- ธรรมนี้ต่ำ ธรรมนี้สูง
- ธรรมนี้ไม่พ้น ธรรมนี้พ้น
- แต่จะเห็นธรรมทุกอย่างสูงค่าด้วยกันทั้งสิ้น เพราะคือธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนทั้งหมด
- แล้วใจก็จะมีแต่ความดำรงมั่นในธรรม กรรมฐานกองไหน อย่างไรไม่สำคัญ มีแค่จิตตั้บงไว้ในภายในเป็นกำลังด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไปเอาสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ กับ กรรมฐานกองนั้นๆที่ตนเจริญอยู่ให้ได้เท่านั้น ดังนี้..จึงจะสามารถเห็น มหาสติปัฏฐาน ในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ที่ตนเจริญอยู่นั้นได้ จิตมีกำลังรวมกันลงเป็นหนึ่งใน ธัมมะวิจยะ เดินเข้าสังขารุเปกขาให้มรรคเจริญยิ่งๆขึ้นได้ **


เลิกทำตัวเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย


กระทู้ถูกตั้งไว้ให้คนที่ยังภาวนาไม่เป็น สำหรับท่านที่มั่นใจว่าตัวเองภาวนาเป็นแล้วก็ให้ข้ามไปซะท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 15:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
luna เขียน:
โลกสวย เขียน:
เม จะบอกให้ว่า

การบรรลุสัจจะธรรม ไม่ใช่จิต แต่ เป็น เจตสิก

คุณ Luna กล่าวผิดๆๆๆๆ มาตั้งแต่ต้นแล้ว ค่ะ


โวหารดีค่ะ แต่ ทุกคำที่คุณสาธยายมาออกมา
กลับล้อมจับ พาตัวเองไส่กรงขังเอง

พอดี เม ไม่ใช่สามเณรปริยัติ ที่ท่องจำพระสูตร
มาจากการแปล ที่ผิด โดยไม่เข้าใจความหมาย
และเม ไม่ได้เป็น ผู้ที่ถูกพระสูตรพลิกไปตามหน้าพระสูตรค่ะ



tongue


หากจะว่าเราเราก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง
ตามหลักภาวนามัยปัญญา พอทีเถอะนะเรียนมากรู้มากหลงมาก
ปฏิบัติให้มากดีกว่าโลกสวย


คริคริ

คุณ LUNA ยิ่งแสดงโวหารออกมา ก็ ยิ่งแสดงความเขลารัดคอตนเอง
เพราะไปภาวนาผิดๆๆ ไป หาสวรรค์หา พญานาค

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม และไม่ได้เรียนปริยัติ แถมปฎิบัติไม่เอาไหน
เรยไม่รู้ว่า


ที่ถูก ตามพระอภิธรรม คือ
จิตปฎิบัติ รูป ปฎิบัติ และ เจตสิกปฎิบัติ
ไม่มีตนเอง เข้าไปปฎิบัติ

555


เห็นได้ชัดว่าโลกสวยเป็นได้แค่นักก่อการทะเลาะวิวาท เรียนมามากแต่ไม่เคยเอามาใช้กับตัวเอง
ดีก็ไม่คิด ชั่วก็ไม่คิด ย้อนมองส่องตนใครๆก็พูดได้
ไม่มีตนเองเข้าไปปฏิบัติ แต่จิตโลกสวยถึง ขั้นปรมัตถ์ อย่างที่ แสดงก็เป็นเรื่องน่าโมทนา หากจิตยังไม่ถึงขั้น ปรมัตถ์ พูดไป
ก็จะเป็น การให้ร้ายพระพุทธเจ้าดูหมิ่นพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
luna เขียน:
sssboun เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
ความจริง พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระนิพพานนั้น มีชื่อ
เรียกแทนพระนิพพานเป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งชื่อที่เป็นปฏิปักษ์แห่งสังขต-
ธรรมทั้งหมด อย่างไร คือ ชื่อมีอาทิว่า
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ)
นิโรโธ (ความดับ)
จาโค (ความสละ)
ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน)
มุตฺติ (ความพ้น)
อนาลโย (ความไม่มีอาลัย)
ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ)
โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ)
โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ)
ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา)
อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น)
อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป)
อนิมิตฺตํ (ความไม่มีเครื่องหมาย)
อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง)
อนายูหนํ (ความไม่พยายาม)
อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ)
อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป)
อคติ (ความไม่มีคติ)
อชาตํ (ความไม่เกิด)
อชรํ (ความไม่แก่)
อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ)
อมตํ (ความไม่ตาย)
อโสกํ (ความไม่มีโศก)
อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ)
อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส)
อสํกิลิฏฺฐํ (ความไม่เศร้าหมอง).
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาอันมรรค
ตัดแล้ว แม้อาศัยพระนิพพานแล้วก็ถึงความไม่เป็นไปในวัตถุเป็นที่ตั้งอันใด
ที่พระองค์ทรงแสดงความเกิดของมันไว้ในที่นั้นนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า สา โข
ปเนสา (ก็ตัณหานี้นั้นแล) เป็นต้น.

:b8: :b8: :b8:


คนพูดไม่เท่าคนทำได้นะท่านโลกสวย



จิตนี้เดิมทีมาจากเบื้องบน(สูง)
จากฟ้ามาถือกำเนิดในโลกใบนี้มีกายสังขารสองขายืนหยัดอยู่แต่หลังจากมาถือกำเนิดเป็นคนแล้ว คนกลับหลงผิด
หลงวกวนอยู่ในสายโลกโลกีย์ ไม่รู้ต้นกำเนิดเดิม ไม่รู้วิถีทางกลับคืนเบื้องบน
จึงเดินเรื่อยไปเวียนว่ายเรื่อยไป ไม่ได้กลับคืนซะที
ลงมาจากฟ้าแท้ๆแต่กลับเลือกไปในวิถี
เดรฉานวิถี เปรตวิถี
อสุรกายวิถี นรกวิถี
จึงเป็นคนสองขาน่าเวทนาที่สุด เพราะหลงลืม ไม่รู้ความเป็นหนึ่ง ของจิตหนึ่งอันเป็นมหาบุรุษผู้หลุดพ้นจากสองขานี้ได้ผู้ที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาจึงหมายถึงผู้รู้ความเป็นหนึ่งของตน(คือพระพุทธะ)


:b12: ... :b1:

จิตใจของท่านกำลังพัวพันอยู่กับ น้องเม"โลกสวย"
เลยเห็นข้อความที่คุณ sss ลง แต่กลับมาตอบข้อสนทนากับ น้องเม"โลกสวย" แทน

:b1:


ท่านเอกอนหาเป็นเช่นนั้นไม่
เราจะทำให้ดีที่สุด
เรากำลังพิสูจน์จิตใจคน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
luna เขียน:
sssboun เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เป็นไวพจน์พระนิพพาน
ความจริง พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระนิพพานนั้น มีชื่อ
เรียกแทนพระนิพพานเป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งชื่อที่เป็นปฏิปักษ์แห่งสังขต-
ธรรมทั้งหมด อย่างไร คือ ชื่อมีอาทิว่า
อเสสโต วิราโค (ความสำรอกโดยไม่เหลือ)
นิโรโธ (ความดับ)
จาโค (ความสละ)
ปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืน)
มุตฺติ (ความพ้น)
อนาลโย (ความไม่มีอาลัย)
ราคกฺขโย (ความสิ้นราคะ)
โทสกฺขโย (ความสิ้นโทสะ)
โมหกฺขโย (ความสิ้นโมหะ)
ตณฺหกฺขโย (ความสิ้นตัณหา)
อนุปฺปาโท (ความไม่เกิดขึ้น)
อปฺปวตฺตํ (ความไม่เป็นไป)
อนิมิตฺตํ (ความไม่มีเครื่องหมาย)
อปฺปณิหิตํ (ความไม่มีที่ตั้ง)
อนายูหนํ (ความไม่พยายาม)
อปฺปฏิสนฺธิ (ความไม่มีปฏิสนธิ)
อปฺปฏิวตฺติ (ความไม่กลับเป็นไป)
อคติ (ความไม่มีคติ)
อชาตํ (ความไม่เกิด)
อชรํ (ความไม่แก่)
อพฺยาธิ (ความไม่เจ็บ)
อมตํ (ความไม่ตาย)
อโสกํ (ความไม่มีโศก)
อปริเทวํ (ความไม่มีปริเทวะ)
อนุปายาสํ (ความไม่มีอุปายาส)
อสํกิลิฏฺฐํ (ความไม่เศร้าหมอง).
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาอันมรรค
ตัดแล้ว แม้อาศัยพระนิพพานแล้วก็ถึงความไม่เป็นไปในวัตถุเป็นที่ตั้งอันใด
ที่พระองค์ทรงแสดงความเกิดของมันไว้ในที่นั้นนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า สา โข
ปเนสา (ก็ตัณหานี้นั้นแล) เป็นต้น.

:b8: :b8: :b8:


คนพูดไม่เท่าคนทำได้นะท่านโลกสวย



จิตนี้เดิมทีมาจากเบื้องบน(สูง)
จากฟ้ามาถือกำเนิดในโลกใบนี้มีกายสังขารสองขายืนหยัดอยู่แต่หลังจากมาถือกำเนิดเป็นคนแล้ว คนกลับหลงผิด
หลงวกวนอยู่ในสายโลกโลกีย์ ไม่รู้ต้นกำเนิดเดิม ไม่รู้วิถีทางกลับคืนเบื้องบน
จึงเดินเรื่อยไปเวียนว่ายเรื่อยไป ไม่ได้กลับคืนซะที
ลงมาจากฟ้าแท้ๆแต่กลับเลือกไปในวิถี
เดรฉานวิถี เปรตวิถี
อสุรกายวิถี นรกวิถี
จึงเป็นคนสองขาน่าเวทนาที่สุด เพราะหลงลืม ไม่รู้ความเป็นหนึ่ง ของจิตหนึ่งอันเป็นมหาบุรุษผู้หลุดพ้นจากสองขานี้ได้ผู้ที่จะหลุดพ้นจึงไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาจึงหมายถึงผู้รู้ความเป็นหนึ่งของตน(คือพระพุทธะ)


ใช่ครับคนทำได้ดีกว่า แต่คนที่ดีกว่าคนทำนั้นก็คือ ทั้งพูดได้ทำได้

คนมี ๔ ประเภท

พูดไม่ได้ทำไม่ได้
พูดไม่ได้ทำได้
พูดได้ทำไม่ได้
พูดได้ทำได้ ดีเยี่ยม


บุคคลสุดท้ายหาได้ยากยิ่งครับ


ท่านSsท่านเป็นบัณฑิตทางธรรม
เข้าใจความหมาย
ที่ซ่อนไว้ในตัวอักษร โอสาธุๆ

พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
"หลังจากกึ่งพุทธกาลแล้ว พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง และก็จะมีพระอริยเจ้ามากคล้ายสมัยพระองค์อยู่

เหตุการณ์ที่ผมบอกนี้ เกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับท่านนี้เพียงคนเดียว ศรีอริยะเมตไตร "
ซึ่งถือว่าเป็นพระโพธิ
สัตย์ ที่เป็นรุ่นพี่ ของพระโพธิ สัตย์องค์อื่นๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2019, 16:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
เข้ามาอนุโมทนา สาธุ กับเมตตาจิตกับเพื่อนร่วม
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ครับ

การให้ความรู้มิใช่การอวดอ้าง อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ผิดกัน การให้ความรู้การให้ธรรมเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ประเสิฐ
น่ายกย้องและน่าอนุโมทนาครับ

ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมาก หวงอด หมดไม่มาเพิ่ม

เพชรพลอยนั้นอาจจะตีราคาได้ แต่ความรู้นั้นหาใครตีราคาได้ไม่

ความรู้ความสามารถรู้ไม่รู้หมด สิ่งที่ใช้กันหมดนั้นก็คือทรัพย์สินเงินทอง

อยู่กับตนแต่หนีตนไม่พ้น เพราะไม่เรียนรู้ตนค้นหาทางเพื่อหลุดพ้นและปฏิบัติ

ความมักมาก ย่อมลากตัวให้ตกต่ำ


:b8:


พูดได้ดีจิตไม่มีความโลภในความรู้
ผมจะส่งเสริมท่าน Sss

อย่าพึ่งให้ท่านเชื่อ
ทดลองกับตัวท่าน Ss ก่อนเมื่อสำเร็จแล้วก็ จึงนำเสนอ

ท่านเอสเอ๋ย เจ้าจะลืมไปไม่ได้ จงจำไว้ ความตายไม่ใช่จุดจบของทุกสิ่งๆ ทุกอย่างหรอก ในอดีต ยังมีผู้ที่ถือกำเนิดในโลกนี้ และกลายเป็นพระอริยบุคคลพวกเขาล้วนแต่เอาชนะ ความตายไปได้เอส เอ๋ยหากเจ้าสามารถรู้แจ้งถึงสิ่งนั้นได้ถึงแม้นจะเกิดมาเป็นมนุษย์เจ้าก็จะกลายเป็นบุรุษผู้ใกล้เคียงพระพุทธเจ้าที่สุด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 289 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร