วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2019, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็อย่าเก็บเอามาคิด
เมื่อหาบทเรียนจากมันได้แล้ว
ก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไป"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล




"คนมีพระอยู่ในใจ กราบที่ไหนก็ถูกพระ
แต่คนที่ไม่มีธรรมะ แม้จะกราบตักพระยังไม่ถูกพระเลย"
หลวงปู่หา สุภโร




สุดท้ายแล้ว หากเรายังไม่รู้จักปล่อยวางความคิดของตัวเองลง ต่อให้เราจะหนีไปอยู่วัดแล้วก็ตาม. สิ่งเดียวที่ได้ทำจริงๆ ""..ก็แค่ย้ายตัวเอง. ไปทุกข์อยู่ที่วัด. ก็เท่านั้นเอง..""
โอวาทธรรมคำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







"...เรื่องศิษย์เรื่องอาจารย์ อันเป็นปุพเพกตปุญญตานี้ ในพระไตรปิฎก ท่านมีเล่าขานไว้เหมือนกันว่า..

วันหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองสาวัตถี พระพุทธองค์เสด็จผ่านไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้คนก็คลาคล่ำเต็มไปหมด

เดินสวนไปสวนมา สวนมาสวนไปอยู่อย่างนั้น ไม่แสดงกิริยาอาการว่า จะเคารพในพระพุทธองค์ มีแต่กิริยาอาการกระด้างกระเดื่อง พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากเห็นอย่างนั้น ก็เข้ามากราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า..

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำไมชนเหล่านี้ถึงไม่แสดงอาการเคารพรักในพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า”

พระองค์ตรัสว่า..

“อานนท์เอย! ชนเหล่านี้ ในชาติปางก่อนเขากับเราไม่เคยได้สร้างบุญทำความดีร่วมกันกับเรามา อานนท์! เรารอคอยพระมหากัสสปะมาก่อน เมื่อพระมหากัสสปะมาแล้ว เธอจะประจักษ์ใจเอง”

พระพุทธองค์กับพระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐาก ก็ประทับนั่งรอจนกว่าพระมหากัสสปะมาถึง

เมื่อพระมหากัสสปะมาถึง ชนที่เดินขวักไขว่ไปมาเหล่านั้น เมื่อเห็นพระมหากัสสปะมา ก็พากันเข้ามาแสดงความเคารพนอบน้อมคารวะ ต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อชนเหล่านั้นเข้ามาหาพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะจึงประกาศว่า..

“อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย นี่พระพุทธเจ้าผู้เป็นอาจารย์ของเรา ท่านทั้งหลายจงนอบน้อมพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”

ชนเหล่านั้นก็เข้ามาแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า และฟังธรรมของพระพุทธองค์จนบรรลุมรรคผล เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเสร็จ ก็ตรัสกับพระอานนท์ว่า..

“อานนท์! ชนเหล่านี้ในชาติปางก่อน เขาเคยเป็นศิษย์พระมหากัสสปะ แต่ชนเหล่านี้ไม่เคยเป็นศิษย์เรา เมื่อเห็นพระมหากัสสปะมา เขาจึงพากันแสดงความเคารพ

แต่เมื่อเห็นเรามาเขาก็พากันนิ่งเฉยดูดาย

พระมหากัสสปะเป็นบัณฑิต
ย่อมแนะนำทางไปสู่สวรรค์พรหมโลกและพระนิพพาน

แต่ถ้าชนเหล่านั้นได้คบกับอาจารย์และร่วมทำบุญกับคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ

อาจารย์ของเขาเหล่านั้นย่อมนำพาไปสู่อบายทุคคติ วินิบาต นรก อันเป็นภพภูมิที่ต่ำ”

นี่แหละ เรื่องการทำบุญร่วมกันในชาติปางก่อนจึงเป็นอย่างนี้ คนเราจึงไม่เหมือนกัน เราจะไปเปลี่ยนไม่ได้

ใครเป็นลูกศิษย์ใครอาจารย์ใครก็เลือกเอาเอง

ถ้าอาจารย์ไม่เป็นบัณฑิตก็ให้รีบตีตัวออกห่าง

เพราะถ้าคบอาจารย์ที่เป็นคนลามกคนเลวท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนคบกับงูพิษ

ท่านเปรียบไว้เหมือนงู ที่ตกลงไปจมอยู่ในหลุมคูถ(หลุมขี้) กัดไม่ได้ก็จริง แต่มันอาจทำคนที่เข้าไปช่วยยกมันขึ้นจากหลุมคูถ ให้เปื้อนด้วยคูถได้ด้วยการดิ้นของมัน ยิ่งเป็นงูตัวใหญ่ๆ ยิ่งสกปรกเยอะ

ฉะนั้น จึงให้แสวงหาอาจารย์ที่เป็นบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร เช่นอย่างเรานี้ ก็ได้ท่านพ่อลี ท่านอาจารย์กงมา และท่านพระอาจารย์มั่นเป็นกัลยาณมิตร จึงก้าวเข้าถึงกัลยาณมิตรใหญ่ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายในใจ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน





"ธรรมะก่อนบิณฑบาต"

สมบัติน้ำแข็ง

"ที่แกทำ ๆ ไปน่ะ มันสูญเปล่า ชีวิตจะมีค่าก็ตอนไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาเท่านั้น"

บางคนคงแย้งท่านในใจว่า
มันสูญเปล่าที่ไหนกัน เราทำงาน
ทำกิจกรรมต่าง ๆ เราก็ได้ผลงาน
ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงชีวิตตัวเรา
แถมยังเอาไปสงเคราะห์ญาติได้อีก

มาถึงตอนนี้ เมื่อเราอายุมากขึ้นประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ว่า ที่ทำ ๆ ไป ไม่ว่าจะดูซับซ้อน วิจิตรเพียงใด มันก็แค่ "หาอยู่ หากิน

เลี้ยงอัตภาพร่างกายเท่านั้น อย่างมาก
ก็เพิ่มความภาคภูมิใจในผลงาน
พอหมดลมแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปไม่ได้

ไม่เหมือนอย่างกิจกรรมการภาวนาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจ มันกินลึกและเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้

สมบัติทางโลก ๆ จะมากมายและวิจิตรประณีตขนาดไหน มันก็เป็นแค่ "สมบัติน้ำแข็ง" อยู่ดี

เพราะมันจะค่อย ๆ ละลาย เรากำมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

หลวงปู่เคยเล่าว่า "เด็กทารกทั่วไปเกิดมาก็กำมือมา บ่งบอกการเกิดมาพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น"

พวกเราลองพิจารณาดูเถิด
สุดท้ายตอนตายทุกคนก็ต้องแบมือหมด แม้น้ำที่คนเขามารดน้ำศพ ก็ยังกำเอาไว้ไม่อยู่เลย

อาหารที่สุดแสนประณีตก็ได้แค่อิ่ม

บ้านที่เป็นดุจคฤหาสน์ก็แค่ที่พักอาศัยหลับนอนไปคืนหนึ่งๆ

มนุษย์สร้างสมมติที่ซับซ้อนหลอกตัวเอง เสียจนหลงลืมความจริงพื้นฐานของชีวิต...

"สมบัติน้ำแข็ง" คือ ข้อที่ควรคิดคำนึงเพื่อเตือนจิตเตือนใจตนเองไว้เสมอ ๆ เพื่อให้ตระหนักว่า

กิจกรรมชีวิตอันใดที่เราควรทุ่มเท กิจกรรมชีวิตอันใดที่ทำเพียงแค่
พอเป็น...เครื่องอาศัย

โอวาทธรรม :
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
วัดสะแก จ.อยุธยา







รู้สวรรค์ นรก..ไม่เท่า.."..รู้จิต.."
รู้อดีต อนาคต..ไม่เท่า.."..รู้ปัจจุบัน.."
รู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก็ไม่เท่า.."..รู้ละ..รู้ปล่อยวาง.."

โอวาทธรรมหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล






“คนที่ปฏิบัติธรรมภาวนาจริงๆ จะอยู่คนเดียว”

คนที่ภาวนาจริงๆแล้วจะไม่อยากสุงสิงกับใคร
อยากจะอยู่คนเดียว เพราะเวลาอยู่คนเดียว
แล้วก็มีสถานที่แบบนี้ จะไม่มีอะไรไปทำให้จิตใจกระเพื่อม
เพราะจิตใจเปรียบเหมือนกับสระน้ำ
ถ้ามีคนลงไปอาบ ไปตัก ไปเล่น น้ำก็ขุ่นน้ำก็ไม่นิ่ง

จิตของเราถ้าต้องสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ
ก็จะต้องกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา เวลากระเพื่อมก็จะไม่สงบ ไม่นิ่ง
จะไม่เห็นความสุขความประเสริฐ ของความสงบ
ความอิ่มเอิบใจ ความพอใจ ที่เกิดจากการบำเพ็ญจิตตภาวนา

คนที่ภาวนาเป็นแล้ว จะรู้ว่าต้องการสถานที่แบบไหน
เขาจะไม่ต้องการพวกแสงสีเสียง ไม่ต้องการเพื่อน
ไม่ต้องการคนนั้นคนนี้มาแก้เหงาด้วยการคุยกัน
เพราะจิตที่ได้เข้าสู่ความสงบแล้ว จะไม่ค่อยคิดถึงอะไร
เพราะไม่ค่อยได้ปรุงแต่งกับเรื่องอะไร แต่จิตที่ยังไม่สงบ
ก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ แล้วก็เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา
คิดในเรื่องที่เคยทำให้มีความสุข ในขณะที่ไม่มีความสุขนั้นแล้ว
ก็จะทำให้เศร้าสร้อยหงอยเหงา อยากจะหวนกลับไปหาความสุขแบบนั้นอีก

ถ้าเคยมีความสุขกับเพื่อนกับฝูง กับการทำกิจกรรมต่างๆ
พอต้องมาฝึกจิตอยู่คนเดียวในป่า ก็จะอดคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยสัมผัสมาไม่ได้
อดที่จะคิดถึงเพื่อนคนนั้นเพื่อนคนนี้ กิจกรรมนั้นกิจกรรมนี้ไม่ได้
ก็เลยเกิดอารมณ์ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวขึ้นมา จึงทนอยู่ไม่ได้
ต้องกลับไปหาเพื่อนหาฝูง หากิจกรรมต่างๆ

แต่ถ้าเคยได้ฝึกจิตมาก่อน แล้วสามารถทำจิตให้สงบได้
เวลามาอยู่สถานที่แบบนี้ จะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น
เพราะมีงานทำ รู้หน้าที่ของตน รู้ว่าต้องทำอะไร คือคอยควบคุมสังขารความคิดปรุงนี้เอง

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2019, 17:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2019, 11:03
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ายังหยิบอยู่
ยังถืออยู่
ท่านจะยังไม่รู้จักคำว่าวาง
ต่อเมื่อท่านวางมันซะท่านจึงจะได้คำตอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


luna เขียน:
ถ้ายังหยิบอยู่
ยังถืออยู่
ท่านจะยังไม่รู้จักคำว่าวาง
ต่อเมื่อท่านวางมันซะท่านจึงจะได้คำตอบ


เมื่อยังไม่มีการให้ทาน การเสียสละ การละ การลด
การเลิก จากสิ่งที่เป็นอกุศล ก็อยากยิ่งที่จะเข้าถึงการ
ปล่อยวางที่แท้จริง ต้นเหตุยังไม่ลงมือกระทำเลย จะปล่อย
วางได้อย่างไร ทางพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสบอกไว้ว่า
ทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญาเมื่อใดเมื่อนั้นก็เริ่มจะเกิดการปล่อยวาง
ได้

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร