ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

"กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57275
หน้า 13 จากทั้งหมด 13

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 เม.ย. 2019, 05:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ถ้าเลิฟ เจ. ปฏิบัติอนุสสสติ สักอย่างนะ ไม่ต้องหมด ๑๐ อย่างหรอก แล้วเห็นอย่างที่เล่าเป็นตุเป็นตะนั่นนะ จบกิจไปแล้ว ไม่ฟุ้งซ่านอย่าง่นี้หรอก :b32: เห็นผึ้งบินไปบินมา

เจ้าของ:  Love J. [ 02 เม.ย. 2019, 05:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


คงอย่างนั้นมั้งครับ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 เม.ย. 2019, 05:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


คงอย่างนั้นมั้งครับ


จะข้ามอะไรจะข้ามไปไหน จะไปเอาอะไรกับกบนอกกะลา

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 เม.ย. 2019, 05:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

วางให้ถกเถียงกันต่ออีก คิกๆ บันเทิงดี

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายถูกกรีด

หนูเป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยอาจจะไม่ถูกวิธีเท่าไรนักเพราะหาหนังสือจากที่มีหลายท่านเขียนเอาไว้และ
จากคำแนะนำของหลายๆท่านจากเว็ป... และก็ไม่เคยไปสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนเลยส่วนใหญ่จะศึกษาหาข้อมูลเองเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เวลาในการนั่งสมาธิแต่ละครั้ง ก็ประมาณ ครึ่ง-หนึ่ง ชั่วโมงต่อวันค่ะ บางวันถ้าเวลามีน้อยจริงๆก็ประมาณ 15 นาทีค่ะ ตอนนั่งสมาธิก็ไม่เคยมีอาการอะไรให้เห็นค่ะ เพียงแค่จิต ใจสงบมากขึ้นเท่านั้น หลังจากออกจากสมาธิก็สวดมนต์ไหว้พระและแผ่เมตตา ทุกครั้ง แล้วก็เข้านอน

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลังจากนั่งสมาธิแล้ว แล้วกำลังจะนอนพอหลับตา เพื่อจะนอนซักพัก ซึ่งจะอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นจะรู้สึกเหมือนร่าง กายถูกของมีคมกรีดทั่งร่างเลยค่ะ หลังจากนั้นจะมีอาการตัวลอยขึ้นสูงมาก เหมือนจะสูงกว่าหลังคาบ้านซะอีก ตอนนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ แต่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ทั้งๆที่ก็นอนหลับตาอยู่ คล้ายๆกับกำลังฝัน แต่ไม่ได้ฝันค่ะ หลังจากนั้นตัวก็ลอยกลับลงมาที่เดิม แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ รู้สึกว่ามันเย็นมาก จนต้องลืมตาแล้วต้องไปหาผ้าห่มมาห่มเพิ่มหลายผืนเพราะหนาวมาก คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น คิดจนหลับไป

บางครั้งพอหลับตากำลังจะนอนซึ่งก็อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกนั่นแหละ ก็รู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีคนเอาไฟสปอร์ทไลท์ดวงใหญ่ๆมาส่องที่หน้า ขณะที่กำลังนอนค่ะ

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเบื่อหน่ายโลกเหมือนอยากตัดขาดจากโลกไปเลยค่ะ แต่ รู้สึกแบบสงบๆนะคะ.. และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง อยากทราบว่าอาการที่ว่านั้นเกิดจากอะไร เกี่ยวข้องกับการนั่งสมาธิหรือเปล่า

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 02 เม.ย. 2019, 05:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


คงอย่างนั้นมั้งครับ


ฮั่นแน่...

มี..คงอย่างนั้นมั้ง.. :b32: :b32:

เจ้าของ:  Love J. [ 02 เม.ย. 2019, 06:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
เ้อที่เห็นความดับนั่นไม่ใช่มโน ไม่ใช่นั่งนึกคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักวิปัสสนาญาณเลย
ไอสิ่งที่ได้เห็นนั้นมันก็เกินความคาดหมาย ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้


อีกครั้งนึงเห็นความไม่ใช่เรา เห็นทุกข์ในใจไม่ใช่อันเดียวกับเรา เหตุปัจจัยปรุงแต่ขึ้นแล้วเราไปโอบกอดมันไว้เอง อุปาทานไปเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา พอเห็นอย่างนั้นใจมันก็รู้ทันทีควรละ

เห็นอย่างนั้นแล้วมันสนใจศึกษาปฏิบัติเอง ไม่ต้องตั้งท่าทำตัวเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ใจมันอยากรู้อยากดูตัวเอง ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งเพลิดเพลิน เห็นนั่นลำไส้มันย่อยอาหารอย่างนี้ ออกมาเป็นตดมั่ง เป็นขี้มั่ง เห็นแล้วมันก็เพลิน

มันมีฉันทะมันเจริญสติรู้กายรู้ใจเป็นกรรมฐานของมันเอง คือ ไปทำงานอื่นจิตมันก็รู้อยู่ที่งาน พอว่างจากงานแล้วจิตก็กลับมารู้กาย รู้ใจของมันเอง เหมือนกลับบ้านอย่างนี้ผมจึงว่ากรรมฐาน คือ การงานพื้นฐาน อันเป็นวิหารของจิต ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อปราโมทย์เลย ยังว่ารู้ไส้รู้พุง ว่าไปเป็นตุเป็นตะ


ผมเห็นความพยายามของคุณเลิฟ...ที่จะให้กักกายยอมรับในตัวคุณว่าคุณปฏิบัติ...

ผมว่า..คุณเลิฟ..บ้า..นะ..คือ..บ้าอยาก..อยากให้คนยอมรับ

เอ้า..ถ้าอยาก..ให้อีตากักกาย...ยอมรับว่าคุณเลิฟ..ปฏิบัติจริง..ผมแนะนำให้คุณเลิฟ..อย่าใช้คำวิปัสสนาญาณอะไรเลย...กักกายไม่เคย กักกายไม่ชอบ...กักกายไม่เชื่อ..หาทางทำสมาธิจนตาเกลือกกลิ้ง...ตัวหมุนติ้ว..รำท่าแปลกๆ...รึไม่ก็อ้วกแตกอ้วกแตน...นั้นแหละ..กักกายชอบ...กักกายเชื่อ.. :b9: :b9: :b9:


ก็มันเห็นจริง ๆ อะครับ ที่เล่าก็เล่าจากที่ทำจริง ๆ สิ่งที่คุณกรัชกายหยิบยกมาเล่า ก็เห็นว่าไม่เป็นสาระจริง ๆ ผมก็เห็นมาเยอะ ภาพแปลก ๆ อาการแปลก ๆ ก็แค่ละกลับมาอยู่กลับอารมณ์กรรมฐาน

ถ้าใส่ใจใคร่ครวญมัน มันก็ไม่เป็นสมาธิ มันก็ไม่เป็นปัญญา เสียงอะไร เห็นอะไร อาการอะไร สมาธิมันฟุ้งซ้านวุ่นวายอย่างนี้เหรอ ปัญญามันลูบคลำอย่างนี้เหรอ แล้วเอามาอวดว่าเค้าปฏิบัติจึงเห็นอย่างนั้น เอาของไร้สาระมาอวด

สอบอารมณ์ผมจะสอบให้ ถ้าอาการอย่างคุณกรัชกายหยิบมาเล่านั้น สอบสมาธิตกสมาธิ สอบก็ปัญญาตกปัญญา .... สมาธิ คือ ตั้งมั่นไม่แส่ส่าย ปัญญา คือ รู้แจ้งแทงตลอด


ไม่ได้ว่า...คุณเลิฟ..ทำไม่จริง..เห็นไม่จริง...ซะหน่อยนี้

..ที่ว่า....ว่าที่..ตัวบ้า..ต่างหาก

ตัวบ้า..บ้าอยาก..อยากให้กักกายเชื่อ..อยากให้เชื่อถือการปฏิบัติของตน...

้ถ้าไม่บ้า...บอกทีเดียว..กักกายไม่เชื่อ..ก็คงจบไปนานแล้ว..

จะว่าไปแล้ว...ตัวบ้า..ตัวนี้...ดีนะ..ไม่ใช่ไม่ดี...เพราะถ้าไม่เห็นคุณความดีของพระธรรมข้อใดข้อนึ่งแล้วละก้อ..ความบ้าชนิดนี้ไม่เกิดหรอก..เพียงแต่ต้องก้าวต่อไป...ก้าวข้ามให้ได้..

การจะก้าวข้ามได้..ก็ต้องมีปัญญา...เห็นธรรมะที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก...มันก็ข้ามได้เอง


คงอย่างนั้นมั้งครับ


ฮั่นแน่...

มี..คงอย่างนั้นมั้ง.. :b32: :b32:


หมายถึงผมคงเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รุ้ตัวครับ

เจ้าของ:  โลกสวย [ 02 เม.ย. 2019, 15:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

s006 เอ่?

เพราะลุงกรัชกาย และหลายๆคน เรียนแต่ภาษาวัยรุ่น ว่ามโนๆ

ไม่เรียนพระอภิธรรม


เรยไม่รู้ว่า ที่ถูกต้องทางพระอภิธรรม คิอ

ไวพจน์ของจิต มีตั้งหลายชื่อเรียก แต่ละสถานะค่ะ

จิต, มโน, หทัย, มนัส, ปัณฑระ, มนายตนะ, มนินทรีย์, วิญญาณ, วิญญาณขันธ์, มโนวิญญาณธาตุ

ไม่เห็นแปลกอาไรเรย จะมโน ๆ ทั้งวัน ก็ไม่เป็นไร
ยิ่งเห็นมาก ยิ่งดี

คริคริ

เจ้าของ:  Love J. [ 04 เม.ย. 2019, 20:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

กรัชกาย เขียน:
เลิฟ เจ. อ่านคนทำจริงๆเล่า :b1: (ตอบคำถาม)

(คคห.11 http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html
)

1. ที่คุณบอกว่า ฝึกสมาธินั้น คุณฝึกอย่างไร ฝึกด้วยวิธีไหน อาจารย์สอนคุณอย่างไร แล้วคุณทำไปอย่างไร ครับ

ฝึกแบบอานาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด
แล้วหยุดจับที่ปลายจมูก เหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้า และออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ
แต่พอเจออะไรมากกว่านี้ เลยไปไม่เป็น ....ขอไม่บอกชื่อผู้สอนค่ะ

2. เล่าอาการที่คุณพบ ให้ละเอียดขึ้นหน่อย

ประมาณวันที่สี่ เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมา เหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว
เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป
มีเห็นแสงสี ต่อมา เริ่มหูแว่ว เหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้
กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับ บอกว่า ต่อไปเราจะไปสร้างวัดตรงนี้

3. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือเปล่า

ไม่เคย

4. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีความทุกข์ใจมาก กลัดกลุ้มมากๆ จนอยากหาทางออก มีปัญหาในชีวิตมากๆ อะไรอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ถึงได้หาหนทางออกด้วยการมาฝึกสมาธิเพื่อให้พ้นจากความกลัดกลุ้มมากๆเหล่า นั้น

มีใครบ้างไม่เคยมีปัญหาชีวิต จำได้ว่า กลุ้มมากสุดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หายแล้ว อภัยไปหมดแล้ว
ดิฉันไม่ได้หาทางออกให้ชีวิตโดยการไปนั่งสมาธิ แต่ชอบตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง ที่มหาลัย
เคยบวชธรรมทายาทที่วัดธรรมกาย ตอนเป็นนักศึกษา แต่เดินออกมาเพราะไม่เชื่อคำสอนหลายอย่าง
แต่ก็ชอบนั่งสมาธิ แต่งานยุ่งก็ไม่ได้นั่งอีก จนมาเริ่มอีกทีไม่นานนัก ตอนไปคราวนั้น เป็นครั้งที่สาม
ไม่ได้กลุ้มอะไรแล้วไป แค่เคยชอบ อยากทำอีก เพราะมันสงบ เย็น เบาสบาย

5. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยไปเข้าตามสำนักทรงเจ้าเข้าทรง อะไรพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า

ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย จริงๆค่ะ

6. ใครแนะนำคุณไปฝึกสมาธิตามที่บอกข้างต้น เขาเป็นใคร มีพื้นเพ ความเชื่ออย่างไรครับ

ไปเอง เพราะศรัทธา ดิฉันเชื่อยาก แต่พร้อมที่จะทดสอบจนเห็นเอง

ดิฉันไม่ได้ขาดสติ และรู้ตัวเกือบตลอดเวลา (แต่มีบางครั้งที่ทำอะไรไม่รู้ตัวเลยแค่ช่วงเสี้ยวนาที)
เพียงแต่สิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ทำให้ดิฉันเชื่อว่าจริง เพราะไม่เคยรู้ ว่า อาการหลงจากสมาธิทำให้เกิดได้

(อย่างนี้ คุณเรียกว่าขาดสติไหม ดิฉันคิดว่ามันเป็นการขาดความรู้มากกว่า แบบนี้ เขาเรียกอวิชชาทำให้บ้าได้ใช่ไหม)


ถ้ามีสติคุณก็แค่ประครองสติไว้ให้มั่น ๆ ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน ถ้าคุณเข้าไปมีส่วนร่วมกับมันคุณก็หลุดจากสมาธิ อาการต่าง ๆ ที่เห็นเพราะจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะสลายหายไป ยิ่งสนใจใคร่ครวญกับสิ่งที่เห็นก็จะยิ่งห่างจากสมาธิไปกันใหญ่

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 04 เม.ย. 2019, 20:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "กรรมฐาน" ท่านให้เลือกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เลิฟ เจ. อ่านคนทำจริงๆเล่า :b1: (ตอบคำถาม)

(คคห.11 http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html
)

1. ที่คุณบอกว่า ฝึกสมาธินั้น คุณฝึกอย่างไร ฝึกด้วยวิธีไหน อาจารย์สอนคุณอย่างไร แล้วคุณทำไปอย่างไร ครับ

ฝึกแบบอานาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด
แล้วหยุดจับที่ปลายจมูก เหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้า และออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ
แต่พอเจออะไรมากกว่านี้ เลยไปไม่เป็น ....ขอไม่บอกชื่อผู้สอนค่ะ

2. เล่าอาการที่คุณพบ ให้ละเอียดขึ้นหน่อย

ประมาณวันที่สี่ เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมา เหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว
เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป
มีเห็นแสงสี ต่อมา เริ่มหูแว่ว เหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้
กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับ บอกว่า ต่อไปเราจะไปสร้างวัดตรงนี้

3. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือเปล่า

ไม่เคย

4. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีความทุกข์ใจมาก กลัดกลุ้มมากๆ จนอยากหาทางออก มีปัญหาในชีวิตมากๆ อะไรอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ถึงได้หาหนทางออกด้วยการมาฝึกสมาธิเพื่อให้พ้นจากความกลัดกลุ้มมากๆเหล่า นั้น

มีใครบ้างไม่เคยมีปัญหาชีวิต จำได้ว่า กลุ้มมากสุดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หายแล้ว อภัยไปหมดแล้ว
ดิฉันไม่ได้หาทางออกให้ชีวิตโดยการไปนั่งสมาธิ แต่ชอบตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง ที่มหาลัย
เคยบวชธรรมทายาทที่วัดธรรมกาย ตอนเป็นนักศึกษา แต่เดินออกมาเพราะไม่เชื่อคำสอนหลายอย่าง
แต่ก็ชอบนั่งสมาธิ แต่งานยุ่งก็ไม่ได้นั่งอีก จนมาเริ่มอีกทีไม่นานนัก ตอนไปคราวนั้น เป็นครั้งที่สาม
ไม่ได้กลุ้มอะไรแล้วไป แค่เคยชอบ อยากทำอีก เพราะมันสงบ เย็น เบาสบาย

5. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยไปเข้าตามสำนักทรงเจ้าเข้าทรง อะไรพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า

ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย จริงๆค่ะ

6. ใครแนะนำคุณไปฝึกสมาธิตามที่บอกข้างต้น เขาเป็นใคร มีพื้นเพ ความเชื่ออย่างไรครับ

ไปเอง เพราะศรัทธา ดิฉันเชื่อยาก แต่พร้อมที่จะทดสอบจนเห็นเอง

ดิฉันไม่ได้ขาดสติ และรู้ตัวเกือบตลอดเวลา (แต่มีบางครั้งที่ทำอะไรไม่รู้ตัวเลยแค่ช่วงเสี้ยวนาที)
เพียงแต่สิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ทำให้ดิฉันเชื่อว่าจริง เพราะไม่เคยรู้ ว่า อาการหลงจากสมาธิทำให้เกิดได้

(อย่างนี้ คุณเรียกว่าขาดสติไหม ดิฉันคิดว่ามันเป็นการขาดความรู้มากกว่า แบบนี้ เขาเรียกอวิชชาทำให้บ้าได้ใช่ไหม)


ถ้ามีสติคุณก็แค่ประครองสติไว้ให้มั่น ๆ ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน ถ้าคุณเข้าไปมีส่วนร่วมกับมันคุณก็หลุดจากสมาธิ อาการต่าง ๆ ที่เห็นเพราะจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะสลายหายไป ยิ่งสนใจใคร่ครวญกับสิ่งที่เห็นก็จะยิ่งห่างจากสมาธิไปกันใหญ่


:b16:

(จขกท. คคห.39)

ขอบคุณมากสำหรับทุกๆ ความเห็นค่ะ
แต่ว่า ถ้าการฝึกสมาธิมันเสี่ยงกับการเป็นบ้า ทำไมเราถึงสนับสนุนคนให้ฝึกกันละคะ เพราะก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองมีเชื้อบ้าอยู่ในตัวไหม น่าจะสนับสนุนให้ศึกษาธรรมมะให้เข้าใจก็พอแล้ว คนที่เข้าใจธรรมมะจากการศึกษาก็พ้นทุกข์ได้ ไม่เห็นต้องมาเสี่ยงปฏิบัติ

ดิฉันไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อมากก่อนไหม แต่รู้ว่าตัวเองสุขภาพจิตดีก่อนเกิดเหตุ

แต่เคยได้ยินว่าฝึกแล้วอาจจะบ้าได้ แต่เสียดายไม่เคยคิดเลยว่ามันใกล้ตัวไป ก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรในการฝึก
ทำไปตามปกติสบายสบาย จนมันผิดปกติถึงได้พยายามแก้ไขเอง นี่เองจุดหักเข้าสู่ความตาย

พอเห็นอาการทางกายหายไป แล้วดิฉันเริ่มหลง เพราะเห็นพระที่ดิฉันนับถือที่สุดในชีวิตเอาพระองค์เล็กๆใส่มาในตัวเรา
ต่อจากนั้นก็รู้สึกไปว่าติดต่อทางจิตกับท่านตลอดเวลา
... เจอมุขนี้ มือใหม่จะรับมือไหวได้ยังไง

หมอยังทำให้เบาใจได้ระดับนึงคือเขาคิดว่ามันเป็น Bipolar มากกว่า schizophrenia
(ข้อแตกต่างของสองอันคือ schizophrenia จะไม่มีทางหาย แต่ bipolar หายได้)

หน้า 13 จากทั้งหมด 13 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/