วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 10:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ทำให้ปฏิสนธิ กท.นี้

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เปงงัยฮ่ะ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน :b12: นี่ขั้นการเรียน ซึ่งได้แก่ ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ลงมือทำ

ถ้าจะอุปมาผู้เรียน จิต เจตสิ รูป นิพพาน เหมือนคนนั่งทำงานนั่งสั่งงานอยู่ในออฟฟิตติดแอร์เย็นฉ่ำ ออกมาตากแดดหน้ามืดเป็นลม :b12:

ส่วนผู้ปฏิบัติ เหมือนคนออกสนามรบ ตากแดดตากลมสู้ผจญกับข้าศึกรอบทิศ

เข้าใจมั้ยอ่ะที่พูดเนี่ย

นอนอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งว่ากันใหม่


อ้างคำพูด:
โลกสวย
แสดงว่า ลุงยังเข้าใจไม่พอ
และไม่รู้จริงๆ เนาะ
ว่า ผู้ศึกษาอภิธรรม มีการปฎิบัติ เคยบอกลุงไปหลายเดือนแระหละ
คงยังไม่เก๊ต

และไม่รู้อีกน๊ะค๊ะว่า

ว่าระดับมันสมอง นั่งๆนอนๆสบาย รู้ได้เร็ว

เรียกว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา
เนาะค๊ะ

viewtopic.php?f=1&t=57247&start=15

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ที่ทำให้ปฏิสนธิ กท.นี้

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เปงงัยฮ่ะ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน :b12: นี่ขั้นการเรียน ซึ่งได้แก่ ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ลงมือทำ

ถ้าจะอุปมาผู้เรียน จิต เจตสิ รูป นิพพาน เหมือนคนนั่งทำงานนั่งสั่งงานอยู่ในออฟฟิตติดแอร์เย็นฉ่ำ ออกมาตากแดดหน้ามืดเป็นลม :b12:

ส่วนผู้ปฏิบัติ เหมือนคนออกสนามรบ ตากแดดตากลมสู้ผจญกับข้าศึกรอบทิศ

เข้าใจมั้ยอ่ะที่พูดเนี่ย

นอนอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งว่ากันใหม่


อ้างคำพูด:
โลกสวย
แสดงว่า ลุงยังเข้าใจไม่พอ
และไม่รู้จริงๆ เนาะ
ว่า ผู้ศึกษาอภิธรรม มีการปฎิบัติ เคยบอกลุงไปหลายเดือนแระหละ
คงยังไม่เก๊ต

และไม่รู้อีกน๊ะค๊ะว่า

ว่าระดับมันสมอง นั่งๆนอนๆสบาย รู้ได้เร็ว

เรียกว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา
เนาะค๊ะ

viewtopic.php?f=1&t=57247&start=15


นี่แหละลุงเป็นแขนขา ทำงานหนัก พิมพ์มาเป็นพันกะทู้

ส่วน เมเป็น กระหม่อม คุ้มครองสมองให้ไง ค๊ะ
สบายๆ
คริคริ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทา ข้อปฏิบัติ, ทางดำเนิน, ความประพฤติ

ปฏิปทา ๔ การปฏิบัติของท่านผู้ได้บรรลุธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ

๑.ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า

๒.ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติยาก แต่รู้ได้เร็ว

๓.สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า

๔.สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จับความแต่ตรงนี้ไป แล้วก็ไปชนกับปฏิปทา ๔ อย่าง


องค์มรรคสามัคคีพร้อมได้ที่

ดังได้กล่าวแล้วว่า ความมุ่งหมายของสัมมาสมาธิ ก็เพื่อให้เป็นสนามปฏิบัติการของปัญญา หรือ พูดให้กว้างว่า เพื่อทำให้จิตเป็นสถานที่เหมาะสมดีที่สุด ที่องค์ธรรมทั้งหลาย จะมาทำงานร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ คือ การรู้แจ้งสัจธรรม กำจัดกิเลส ถึงภาวะดับปัญหาไร้ทุกข์ และก็ได้กล่าวแล้วเช่นกันว่า องค์มรรคทั้ง ๘ ประการ ทำงานประสานสอดคล้องส่งเสริมกัน โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้านำทางไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จึงเป็นอันได้ความในตอนนี้ว่า องค์มรรคอื่นทั้ง ๗ ข้อ เป็นเครื่องเกื้อหนุนให้กำลังแก่สมาธิ ช่วยให้สมาธิเกิดขึ้นได้ ดำรงอยู่ได้ที่ เป็นสัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่ถูกต้อง ซึ่งจะใช้งานได้ผลตามต้องการ ส่งผลคืบหน้าต่อไปอีกจนถึงจุดหมาย โดยช่วยให้เกิดองค์ธรรมเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่างในขั้นสุดท้าย เรียกว่า สัมมาญาณ (หยั่งรู้ชอบ) และสัมมาวิมุตติ (หลุดพ้นชอบ)

เมื่อมองในแง่นี้ ท่านเรียกองค์มรรคอื่นทั้ง ๗ ข้อ ว่าเป็น "สมาธิบริขาร" แปลว่า บริขารของสมาธิ หมายความว่า เป็นเครื่องประกอบ เครื่องแวดล้อม เครื่องหนุนเสริม หรือ เครื่องปรุงของสมาธิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิที่ประกอบด้วยบริขารนี้แล้ว เรียกว่า เป็น อริยสัมมาสมาธิ นำไปสู่จุดหมายได้ ดังบาลีว่า

"สมาธิบริขาร ๗ ประการเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นอรหันตสัมามาสัมพุทธะ ทรงจัดวางไว้เป็นอย่างดีแล้ว เพื่ออบรมบ่มสัมมาสมาธิ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสัมมาสมาธิ
เจ็ดประการไหน ? ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ

"เอกัคคตาแห่งจิต ที่แวดล้อมด้วยองค์ ๗ เหล่านี้ เรียกว่า สัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ ซึ่งมีอุปนิสัย (มีที่อิงที่ยันที่รองรับ) บ้าง มีบริขาร (มีเครื่องประกอบหรือเครื่องช่วยหนุน) บ้าง"

"เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติจึงพอแก่การ" * (ที.ม.10/206/248 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคมีองค์ ๘ หรือ อัฏฐังคิกมรรคนี้ เมื่อเจริญพรั่งพร้อมถึงที่ ก็จะถึงขีด และถึงขณะหนึ่ง ซึ่งองค์มรรคทั้งหมดร่วมกันทำหน้าที่ ให้เกิดญาณอันแรงกล้าสว่างขึ้นมา หยั่งเห็นสัจธรรม และกำจัดกวาดล้างกิเลสที่หุ้มห่อบีบคั้นจิตออกไป
การที่องค์มรรคทั้งหมดทำหน้าที่พร้อมกันเช่นนี้ เรียกว่าเป็น มรรค เพราะเป็นขณะซึ่งมีองค์ประกอบทั้งหมดครบเป็นมรรคจริงๆ

เมื่อมรรคทำหน้าที่แล้ว ก็มีภาวะที่เป็นผลตามมา คือความรู้ความเข้าใจในสัจธรรม และความหลุดพ้นจากกิเลส ไร้สิ่งบีบคั้น เป็นอิสระ เรียกสั้นๆว่าผล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าทุกอย่างค่อยดำเนินไปตามลำดับ จะมีการทำหน้าที่ของมรรคเช่นนี้ ที่แรงหรือเบ็ดเสร็จยิ่งขึ้น จนเสร็จสิ้นรวมทั้งหมด ๔ คราว หรือ ๔ ขั้น จึงเรียกว่ามรรค ๔ และภาวะที่เป็นผลก็จึงมี ๔ เช่นเดียวกัน รวมเรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ หรืออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล

จะเห็นว่า มรรคนี้ ว่าโดยองค์ประกอบมี ๘ จึงเรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค แปลว่า มรรคมีองค์ ๘

แต่ว่าโดยปฏิบัติการ หรือการทำกิจ มี ๔ ลำดับขั้น เรียกกันว่า จตุมรรค แปลว่า มรรค ๔ (คู่กับจตุผล คือ ผล ๔)

อาการที่องค์ธรรมทั้งหลายทำหน้าที่พร้อมกัน ในขณะจิตเดียว ยังผลที่ต้องการให้สำเร็จนี้ ท่านอธิบายว่า ธรรมสามัคคี และธรรมสามัคคี ก็คือ โพธิ อันได้แก่ ความตรัสรู้

ในขณะแห่งมรรคนี้ มิใช่เฉพาะองค์ธรรมเพียง ๘ เท่านั้น แม้โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการก็เกิดขึ้นทำหน้าที่พร้อมหมดในขณะจิตเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม โพธิปักขิยธรรมทั้งหมดนั้น ก็สรุปลงได้ในองค์มรรคทั้ง ๘ นั่นเอง ดังนั้น เมื่อพูดถึงมรรค ก็จึงเป็นอันครอบคลุมถึงธรรมอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะทำอะไร s006

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิ้งให้คิดกันสักคืนหนึ่งก่อน :b31:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อนี้ ลุงไข่สอบตกแล้ว เพราะลืมไปแร๊วว่า

ว่า มีปัจฉิมภะวิกะบุคคล ด้วย หล่ะค่ะ


tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ :b1:

อาจมีผู้สงสัย ว่า องค์มรรคหลายอย่าง จะทำหน้าที่ ในขณะหนึ่งขณะเดียวกันได้อย่างไร โดยเฉพาะองค์ฝ่ายศีล เช่น สัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องในกรณีอย่างนี้เลย

ปัญหานี้ คงจะเข้าใจได้ ด้วยเอาตัวอย่างที่ง่ายกว่าเข้าเทียบ เช่น คนยิงปืนแม่น หรือ ยิงธนูแม่น

ในวันที่มีการประกวด หรือ แสดง เราเห็นเขายิงปืน หรือ ธนูถูกเป้า ประสบความสำเร็จ เขาได้รับชัยชนะ ยิงถูกเป้า ด้วยการยิงที่เป็นไปในเวลาขณะเดียวเท่านั้น

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2019, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามองผิวเผิน ก็อาจพูดเพียงแค่ ว่า เขามือดี หรือ มือแม่น จึงยิงถูก แล้วก็ผ่านไป

แต่ถ้ามองเหตุปัจจัยให้ลึกซึ้ง เบื้องหลังความมีมือดี มือแม่น และการยิงถูกขณะเดียวคราวเดียวนั้น เราอาจสืบเห็นการฝึกหัด ซักซ้อม ที่ใช้เวลาก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นยาวนาน

เขาอาจฝึก ตั้งแต่การวางท่า การยืน การวางเท้า วางขา วางไหล่ วางแขน วิธีจับ วิธีประทับอาวุธ การเล็ง การกะระยะ การหัดใช้กำลังให้พอดี ปัญญา ไหวพริบ การตัดสินใจ และ จิตใจที่แน่วแน่ เป็นต้น มากมาย จนเกิดความคล่องแคล่ว ช่ำชอง ทำได้ในเวลาฉับไว เข้าที่ทันที จนรู้สึกเหมือนเป็นไปเอง โดยไม่ต้องมีความพยายาม


ครั้นถึงคราวแสดง ในเวลาที่เขายิงถูกเป้าหมายแม่นยำ อันเป็นไปในขณะเดียวนั้น ย่อมมีความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่า การยิงแม่นวิบเดียวนั้น เป็นผลรวมของการจับ ถือ วาง กิริยาท่าทาง ใช้กำลังพอดีด้านร่างกาย ความมั่นใจ จิตตั้งมั่นแน่วแน่ และ ความรู้ไวไหวพริบทั้งหมด ที่เป็นเหตุปัจจัยพรั่งพร้อมอยู่เบื้องหลังตั้งมากมาย


พูดอีกอย่างหนึ่ง กิริยาอาการ ความพอดีของร่างกายทั้งหมด ก็ดี
ภาวะจิตใจที่พร้อม และทำงานได้ที่ ก็ดี
ปัญญาที่รู้เข้าใจ บัญชาให้ตัดสินทำการ ก็ดี ทำหน้าที่ร่วมกันทั้งหมด ในการยิงขณะเดียวกัน


มองย้อนทาง ว่า ความพร้อมพอดีของกาย
ความพร้อมดีของใจ
ความพร้อมพอดีของปัญญา ในเวลาขณะนั้น ก็คือผลของการซักซ้อม ฝึกหัด ตลอดเวลายาวนานเป็นแรมเดือน แรมปีทั้งหมด

จึงพูดได้ว่า การยิงถูกเป้าขณะเดียวนั้น เป็นผลงานของการฝึกซ้อมที่ยาวนาน เป็นเดือน เป็นปี ทั้งหมด โดยที่ความถนัด ความสามารถ ความชำนิชำนาญ ที่เป็นผลของการฝึกแรมเดือนแรมปีทั้งหมดนั้น ไม่ว่าทางกาย ทางจิตใจ และทางปัญญา ทุกอย่าง ทุกด้าน ทุกส่วน ทำงานร่วมพร้อมกันทั้งหมด ในการยิงขณะเดียวนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 92 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร