วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 15:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สลัด..อะไร?

ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร พิจารณาภายหลังมันคือที่เกิดผมเลยเรียกมันว่าภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่งบินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันทีมันก็หลุดผลุบเห็นความดับ


แปลก..นะครับ...ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..อาจเป็นเพราะพยายามจะเรียกเป็นภาษาบาลี..ละมั้ง?

เอาเป็นภาษาไทยง่ายๆ..ตามความรู้สึกตรงๆ.ที่มันสลัด...จะดีกว่านะครับ..อาจจะพูดได้ง่ายกว่า
เช่น.."ความอยากเกิด" "ความเห็นสาระของการเกิดในวัฏฏะสงสาร" เป็นต้น

คำว่า.."ภพ" .นี้.นั้นมันใหญ่ไป..ซึ่งหมายรวมได้ถึงวัฏฏะสงสารนี้ทั้งหมด..ได้เลยนะ..
แต่จากคำบอกเล่า...มันเป็นภาวะย่อยๆ..ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติระหว่างทางเดินตามมรรคที่ถูกต้อง...เกิดญาณรู้ที่ถูกต้อง..จากคำบอกเล่า.สุดที่ไปเห็นญาณรู้ความดับ...

"ไปเห็น"...นี้...อย่าคิดว่า.."ได้"..นะครับ...
หากยังทุกข์อยู่..ก็อย่าคิดว่าเราได้อะไร..จะปลอดภัยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตาม..ก็ขออนุโมทนากับภาวะที่ประสพ..นะครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่างนี้ครับ ... ที่ผมเรียกมันว่าภพเพราะว่ามันมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่หลุดไป...อย่างที่ผมบอกว่าเหมือนปล่อยของหนักเหมือนสลัด ... เหมือนหลุดออกมาจากอะไรซักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ... ไม่ได้สลัดความอยากเกิด

ผมพิจารณาภายหลังคิดว่า ... ตอนที่ใจมันสรุปว่าเกิดเป็นทุกข์ความอยากเกิดก็ถูกละไปในขณะนั้น ... พอตัณหาดับอุปาทานก็ดับ ... ภพก็ดับ .... จิตก็เสวยวิมุติ ...ใจรู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้นในขณะนั้น

อันนี้คือผมพิจารณาทำความเข้าใจภายหลัง ... ในสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรเป็นคำพูดแบบนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาลำดับแล้วพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและผมไม่ยึดมั่นถือมั่น

อาจเข้าใจผิดก็ได้ ... แต่ผมก็พอใจที่ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมเข้าสอน ... คำสอนอย่างนี้ใครจะปั้นแต่งได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ... เพราะรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั่นแหละจึงเป็นพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สลัด..อะไร?

ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร พิจารณาภายหลังมันคือที่เกิดผมเลยเรียกมันว่าภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่งบินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันทีมันก็หลุดผลุบเห็นความดับ


แปลก..นะครับ...ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..อาจเป็นเพราะพยายามจะเรียกเป็นภาษาบาลี..ละมั้ง?

เอาเป็นภาษาไทยง่ายๆ..ตามความรู้สึกตรงๆ.ที่มันสลัด...จะดีกว่านะครับ..อาจจะพูดได้ง่ายกว่า
เช่น.."ความอยากเกิด" "ความเห็นสาระของการเกิดในวัฏฏะสงสาร" เป็นต้น

คำว่า.."ภพ" .นี้.นั้นมันใหญ่ไป..ซึ่งหมายรวมได้ถึงวัฏฏะสงสารนี้ทั้งหมด..ได้เลยนะ..
แต่จากคำบอกเล่า...มันเป็นภาวะย่อยๆ..ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติระหว่างทางเดินตามมรรคที่ถูกต้อง...เกิดญาณรู้ที่ถูกต้อง..จากคำบอกเล่า.สุดที่ไปเห็นญาณรู้ความดับ...

"ไปเห็น"...นี้...อย่าคิดว่า.."ได้"..นะครับ...
หากยังทุกข์อยู่..ก็อย่าคิดว่าเราได้อะไร..จะปลอดภัยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตาม..ก็ขออนุโมทนากับภาวะที่ประสพ..นะครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่างนี้ครับ ... ที่ผมเรียกมันว่าภพเพราะว่ามันมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่หลุดไป...อย่างที่ผมบอกว่าเหมือนปล่อยของหนักเหมือนสลัด ... เหมือนหลุดออกมาจากอะไรซักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ... ไม่ได้สลัดความอยากเกิด

ผมพิจารณาภายหลังคิดว่า ... ตอนที่ใจมันสรุปว่าเกิดเป็นทุกข์ความอยากเกิดก็ถูกละไปในขณะนั้น ... พอตัณหาดับอุปาทานก็ดับ ... ภพก็ดับ .... จิตก็เสวยวิมุติ ...ใจรู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้นในขณะนั้น

อันนี้คือผมพิจารณาทำความเข้าใจภายหลัง ... ในสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรเป็นคำพูดแบบนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาลำดับแล้วพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและผมไม่ยึดมั่นถือมั่น

อาจเข้าใจผิดก็ได้ ... แต่ผมก็พอใจที่ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมเข้าสอน ... คำสอนอย่างนี้ใครจะปั้นแต่งได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ... เพราะรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั่นแหละจึงเป็นพระพุทธเจ้า


บอกแต่ต้นแล้วว่า ถ้าได้เล่าเป็นฉากๆยังงั้นนะ เดี๋ยวเถอะเป็นโสดาบัน นั่นไงเป็นแล้ว ทำไปทำมาจะเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำนะน่า :b1:

ตัณหาอุปาทานดับหมด ภพก็ดับ จิตเสวยวิมุตติ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว :b16: แต่ตกที่ว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สลัด..อะไร?

ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร พิจารณาภายหลังมันคือที่เกิดผมเลยเรียกมันว่าภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่งบินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันทีมันก็หลุดผลุบเห็นความดับ


แปลก..นะครับ...ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..อาจเป็นเพราะพยายามจะเรียกเป็นภาษาบาลี..ละมั้ง?

เอาเป็นภาษาไทยง่ายๆ..ตามความรู้สึกตรงๆ.ที่มันสลัด...จะดีกว่านะครับ..อาจจะพูดได้ง่ายกว่า
เช่น.."ความอยากเกิด" "ความเห็นสาระของการเกิดในวัฏฏะสงสาร" เป็นต้น

คำว่า.."ภพ" .นี้.นั้นมันใหญ่ไป..ซึ่งหมายรวมได้ถึงวัฏฏะสงสารนี้ทั้งหมด..ได้เลยนะ..
แต่จากคำบอกเล่า...มันเป็นภาวะย่อยๆ..ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติระหว่างทางเดินตามมรรคที่ถูกต้อง...เกิดญาณรู้ที่ถูกต้อง..จากคำบอกเล่า.สุดที่ไปเห็นญาณรู้ความดับ...

"ไปเห็น"...นี้...อย่าคิดว่า.."ได้"..นะครับ...
หากยังทุกข์อยู่..ก็อย่าคิดว่าเราได้อะไร..จะปลอดภัยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตาม..ก็ขออนุโมทนากับภาวะที่ประสพ..นะครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่างนี้ครับ ... ที่ผมเรียกมันว่าภพเพราะว่ามันมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่หลุดไป...อย่างที่ผมบอกว่าเหมือนปล่อยของหนักเหมือนสลัด ... เหมือนหลุดออกมาจากอะไรซักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ... ไม่ได้สลัดความอยากเกิด

ผมพิจารณาภายหลังคิดว่า ... ตอนที่ใจมันสรุปว่าเกิดเป็นทุกข์ความอยากเกิดก็ถูกละไปในขณะนั้น ... พอตัณหาดับอุปาทานก็ดับ ... ภพก็ดับ .... จิตก็เสวยวิมุติ ...ใจรู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้นในขณะนั้น

อันนี้คือผมพิจารณาทำความเข้าใจภายหลัง ... ในสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรเป็นคำพูดแบบนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาลำดับแล้วพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและผมไม่ยึดมั่นถือมั่น

อาจเข้าใจผิดก็ได้ ... แต่ผมก็พอใจที่ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมเข้าสอน ... คำสอนอย่างนี้ใครจะปั้นแต่งได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ... เพราะรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั่นแหละจึงเป็นพระพุทธเจ้า


บอกแต่ต้นแล้วว่า ถ้าได้เล่าเป็นฉากๆยังงั้นนะ เดี๋ยวเถอะเป็นโสดาบัน นั่นไงเป็นแล้ว ทำไปทำมาจะเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำนะน่า :b1:

ตัณหาอุปาทานดับหมด ภพก็ดับ จิตเสวยวิมุตติ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว :b16: แต่ตกที่ว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย


จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้น คือ ความเห็นการกระทำที่โน้มไปสู่พระนิพพาน การทำนิโรธให้แจ้ง

จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ภพชาติสิ้นแล้วกิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มี อรหัตผล
น่าจะเป็นอย่างนี้

กิเลสท่วมหัวคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็โง่แล้ว ก็บรมโง่แล้วครับ :b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สลัด..อะไร?

ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร พิจารณาภายหลังมันคือที่เกิดผมเลยเรียกมันว่าภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่งบินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันทีมันก็หลุดผลุบเห็นความดับ


แปลก..นะครับ...ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..อาจเป็นเพราะพยายามจะเรียกเป็นภาษาบาลี..ละมั้ง?

เอาเป็นภาษาไทยง่ายๆ..ตามความรู้สึกตรงๆ.ที่มันสลัด...จะดีกว่านะครับ..อาจจะพูดได้ง่ายกว่า
เช่น.."ความอยากเกิด" "ความเห็นสาระของการเกิดในวัฏฏะสงสาร" เป็นต้น

คำว่า.."ภพ" .นี้.นั้นมันใหญ่ไป..ซึ่งหมายรวมได้ถึงวัฏฏะสงสารนี้ทั้งหมด..ได้เลยนะ..
แต่จากคำบอกเล่า...มันเป็นภาวะย่อยๆ..ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติระหว่างทางเดินตามมรรคที่ถูกต้อง...เกิดญาณรู้ที่ถูกต้อง..จากคำบอกเล่า.สุดที่ไปเห็นญาณรู้ความดับ...

"ไปเห็น"...นี้...อย่าคิดว่า.."ได้"..นะครับ...
หากยังทุกข์อยู่..ก็อย่าคิดว่าเราได้อะไร..จะปลอดภัยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตาม..ก็ขออนุโมทนากับภาวะที่ประสพ..นะครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่างนี้ครับ ... ที่ผมเรียกมันว่าภพเพราะว่ามันมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่หลุดไป...อย่างที่ผมบอกว่าเหมือนปล่อยของหนักเหมือนสลัด ... เหมือนหลุดออกมาจากอะไรซักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ... ไม่ได้สลัดความอยากเกิด

ผมพิจารณาภายหลังคิดว่า ... ตอนที่ใจมันสรุปว่าเกิดเป็นทุกข์ความอยากเกิดก็ถูกละไปในขณะนั้น ... พอตัณหาดับอุปาทานก็ดับ ... ภพก็ดับ .... จิตก็เสวยวิมุติ ...ใจรู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้นในขณะนั้น

อันนี้คือผมพิจารณาทำความเข้าใจภายหลัง ... ในสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรเป็นคำพูดแบบนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาลำดับแล้วพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและผมไม่ยึดมั่นถือมั่น

อาจเข้าใจผิดก็ได้ ... แต่ผมก็พอใจที่ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมเข้าสอน ... คำสอนอย่างนี้ใครจะปั้นแต่งได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ... เพราะรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั่นแหละจึงเป็นพระพุทธเจ้า


บอกแต่ต้นแล้วว่า ถ้าได้เล่าเป็นฉากๆยังงั้นนะ เดี๋ยวเถอะเป็นโสดาบัน นั่นไงเป็นแล้ว ทำไปทำมาจะเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำนะน่า :b1:

ตัณหาอุปาทานดับหมด ภพก็ดับ จิตเสวยวิมุตติ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว :b16: แต่ตกที่ว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย


จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้น คือ ความเห็นการกระทำที่โน้มไปสู่พระนิพพาน การทำนิโรธให้แจ้ง

จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ภพชาติสิ้นแล้วกิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มี อรหัตผล
น่าจะเป็นอย่างนี้

กิเลสท่วมหัวคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็โง่แล้ว ก็บรมโง่แล้วครับ :b8: :b12:


ที่เล่ามาไม่ใช่คุณดอกรึ :b10: ถ้าเป็นคุณเห็นตามนั้น กิเลสไม่เหลือแล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สลัด..อะไร?

ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร พิจารณาภายหลังมันคือที่เกิดผมเลยเรียกมันว่าภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่งบินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันทีมันก็หลุดผลุบเห็นความดับ


แปลก..นะครับ...ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร..อาจเป็นเพราะพยายามจะเรียกเป็นภาษาบาลี..ละมั้ง?

เอาเป็นภาษาไทยง่ายๆ..ตามความรู้สึกตรงๆ.ที่มันสลัด...จะดีกว่านะครับ..อาจจะพูดได้ง่ายกว่า
เช่น.."ความอยากเกิด" "ความเห็นสาระของการเกิดในวัฏฏะสงสาร" เป็นต้น

คำว่า.."ภพ" .นี้.นั้นมันใหญ่ไป..ซึ่งหมายรวมได้ถึงวัฏฏะสงสารนี้ทั้งหมด..ได้เลยนะ..
แต่จากคำบอกเล่า...มันเป็นภาวะย่อยๆ..ที่เกิดกับผู้ปฏิบัติระหว่างทางเดินตามมรรคที่ถูกต้อง...เกิดญาณรู้ที่ถูกต้อง..จากคำบอกเล่า.สุดที่ไปเห็นญาณรู้ความดับ...

"ไปเห็น"...นี้...อย่าคิดว่า.."ได้"..นะครับ...
หากยังทุกข์อยู่..ก็อย่าคิดว่าเราได้อะไร..จะปลอดภัยที่สุดครับ

อย่างไรก็ตาม..ก็ขออนุโมทนากับภาวะที่ประสพ..นะครับ
:b8: :b8: :b8:


อย่างนี้ครับ ... ที่ผมเรียกมันว่าภพเพราะว่ามันมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่หลุดไป...อย่างที่ผมบอกว่าเหมือนปล่อยของหนักเหมือนสลัด ... เหมือนหลุดออกมาจากอะไรซักอย่างซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ... ไม่ได้สลัดความอยากเกิด

ผมพิจารณาภายหลังคิดว่า ... ตอนที่ใจมันสรุปว่าเกิดเป็นทุกข์ความอยากเกิดก็ถูกละไปในขณะนั้น ... พอตัณหาดับอุปาทานก็ดับ ... ภพก็ดับ .... จิตก็เสวยวิมุติ ...ใจรู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้นในขณะนั้น

อันนี้คือผมพิจารณาทำความเข้าใจภายหลัง ... ในสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรเป็นคำพูดแบบนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาลำดับแล้วพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและผมไม่ยึดมั่นถือมั่น

อาจเข้าใจผิดก็ได้ ... แต่ผมก็พอใจที่ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมเข้าสอน ... คำสอนอย่างนี้ใครจะปั้นแต่งได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ... เพราะรู้เห็นได้ด้วยตนเองนั่นแหละจึงเป็นพระพุทธเจ้า


บอกแต่ต้นแล้วว่า ถ้าได้เล่าเป็นฉากๆยังงั้นนะ เดี๋ยวเถอะเป็นโสดาบัน นั่นไงเป็นแล้ว ทำไปทำมาจะเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำนะน่า :b1:

ตัณหาอุปาทานดับหมด ภพก็ดับ จิตเสวยวิมุตติ รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว :b16: แต่ตกที่ว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย


จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นอริยมรรคก็เจริญขึ้น คือ ความเห็นการกระทำที่โน้มไปสู่พระนิพพาน การทำนิโรธให้แจ้ง

จิตหลุดพ้นใจก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ภพชาติสิ้นแล้วกิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มี อรหัตผล
น่าจะเป็นอย่างนี้

กิเลสท่วมหัวคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็โง่แล้ว ก็บรมโง่แล้วครับ :b8: :b12:


ที่เล่ามาไม่ใช่คุณดอกรึ :b10: ถ้าเป็นคุณเห็นตามนั้น กิเลสไม่เหลือแล้ว :b32:


ตันหาดับเพียงชั่วคราว เห็นความดับก็ไม่กี่ขณะจิต อวิชชายังมีอยู่ วงจรภพชาติยังอยู่นิโรธยังไม่แจ้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


s006 เอ่?


ว่าได้เจอแร๊ว สุดยอดปัญญา อันมหัศจรรย์

เป็นไปตามวิปัสสนาญาน 16 ตามลำดับขั้น
เรยทำให้เห็น ไตรลักษณ์

กลายเป็นเห็นผึ้งบินขนตุ่มน้ำ ซะเนี่ย

คือเห็น ไตรลักษณ์

ก็ยกให้ฟังแล้ว
ว่าพระเถรี ท่านเห็นแบบนี้

พระเถรีท่านแสดงการเห็นไตรลักษณ์จากการปฎิบัติ แบบนี้ค่ะ


เมื่อกล่าวถึงการปฏิบัติของตน จึงกล่าวคาถาที่สองว่า เอวํ วิหรมานาย เป็นต้น :-
ในคาถาที่สองนั้น บทว่า เอวํ วิหรมานาย ความว่า เมื่อเราตั้งอยู่ในโอวาทที่พระอภัยเถระผู้เป็นบุตรให้แล้วโดยนัยว่า อุทฺธํ ปาทตลา เป็นต้น เห็นกายทุกส่วนว่าไม่งาม มีจิตแน่วแน่กำหนดรูปธรรมชนิดมหาภูตรูปและอุปาทายรูปในกายนั้น และอรูปธรรมมีเวทนาเป็นต้นที่เนื่องด้วยรูปธรรมนั้น ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์พิจารณาด้วยอนิจจานุปัสสนาญาณเป็นต้นในกายนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:


ตันหาดับเพียงชั่วคราว เห็นความดับก็ไม่กี่ขณะจิต อวิชชายังมีอยู่ วงจรภพชาติยังอยู่นิโรธยังไม่แจ้ง


โยงไปโยงมามั่วไปหมด สรุปอย่างนี้นะขอรับ อยากเป็นอะไร ไม่อยากเป็นอะไร กิเลสมี กิเลสหมด เอาที่สบายใจเถอะขอรับ :b16:

คิดถึงคุณปฤษฎีแห่งบ้านธัมมะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2019, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:


ตันหาดับเพียงชั่วคราว เห็นความดับก็ไม่กี่ขณะจิต อวิชชายังมีอยู่ วงจรภพชาติยังอยู่นิโรธยังไม่แจ้ง


โยงไปโยงมามั่วไปหมด สรุปอย่างนี้นะขอรับ อยากเป็นอะไร ไม่อยากเป็นอะไร กิเลสมี กิเลสหมด เอาที่สบายใจเถอะขอรับ :b16:

คิดถึงคุณปฤษฎีแห่งบ้านธัมมะ :b13:


s005 s005 s005


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร