วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 19:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2019, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 00:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 02:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


smiley กั๊กๆๆ
สุดยอดเรยค๊ะ

ยังกะซิมเหมาๆ กล่าว กำหนดพุทโธๆๆ ทำไว้ในใจ หม้่นนึก บริกรรมไป ไปจน......นิพพาน


"เมื่อกำหนดหมายพุทโธ แทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

แถมแสดงความตื้นเขิน เพราะไม่ได้เรียนจริง อ่านตำราไม่แตก เข้าใจผิดๆๆ


เพราะพระอรรถกถา กล่าวแต่ว่า เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา


ในกรรมฐาน ๑๐ เหล่านี้ กรรมฐาน ๓ อย่างนี้ คือ อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐานที่เหลือ ๗ อย่างเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๑


smiley กั๊กๆ ยังอีกหลายก้าวนะเธอ

และแสดงความตื้นเขิน ซ้ำซากอีก ไม่รู้ว่า

กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก

แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555

เพราะพระอภิธรรมเธอก้ไม่ได้เรียน พระสูตรก็อ่านไม่แตก

ได้แต่ จินตนาการ ว่า พุทโธๆๆๆ บริกรรม ไป จน........นิพพาน อย่างเธอว่า

แนะนำน๊ะค๊ะ

แนวนี้เหมาะสำหรับหล่อนน๊ะ ที่จะได้พัฒนาต่อไป เพราะวิปัสสนา เป็นเรื่องปัญญา โดยเฉพาะ

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipy ... ctive5.php


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 03:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


smiley กั๊กๆๆ
สุดยอดเรยค๊ะ

ยังกะซิมเหมาๆ กล่าว กำหนดพุทโธๆๆ ทำไว้ในใจ หม้่นนึก บริกรรมไป ไปจน......นิพพาน


"เมื่อกำหนดหมายพุทโธ แทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

แถมแสดงความตื้นเขิน เพราะไม่ได้เรียนจริง อ่านตำราไม่แตก เข้าใจผิดๆๆ


เพราะพระอรรถกถา กล่าวแต่ว่า เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา


ในกรรมฐาน ๑๐ เหล่านี้ กรรมฐาน ๓ อย่างนี้ คือ อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐานที่เหลือ ๗ อย่างเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๑


smiley กั๊กๆ ยังอีกหลายก้าวนะเธอ

และแสดงความตื้นเขิน ซ้ำซากอีก ไม่รู้ว่า

กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก

แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555

เพราะพระอภิธรรมเธอก้ไม่ได้เรียน พระสูตรก็อ่านไม่แตก

ได้แต่ จินตนาการ ว่า พุทโธๆๆๆ บริกรรม ไป จน........นิพพาน อย่างเธอว่า

แนะนำน๊ะค๊ะ

แนวนี้เหมาะสำหรับหล่อนน๊ะ ที่จะได้พัฒนาต่อไป เพราะวิปัสสนา เป็นเรื่องปัญญา โดยเฉพาะ

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipy ... ctive5.php


กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน
ไม่เคยเห็นวิปัสสนาใช่มั้ย ?

เห็นไตรลักษณ์
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ ของกายบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของเวทนาบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของจิตบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของธรรมบ้าง

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก
แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555
พ้นจากไหนไปไหน มโนใช่มั้ย ไม่มีประสบการณ์วิปัสสนาใช่มั้ย ?
ไม่เคยก็บอกไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมโนเอง คนรู้จริง เห็นจริงมี มันน่าอาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 03:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


smiley กั๊กๆๆ
สุดยอดเรยค๊ะ

ยังกะซิมเหมาๆ กล่าว กำหนดพุทโธๆๆ ทำไว้ในใจ หม้่นนึก บริกรรมไป ไปจน......นิพพาน


"เมื่อกำหนดหมายพุทโธ แทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

แถมแสดงความตื้นเขิน เพราะไม่ได้เรียนจริง อ่านตำราไม่แตก เข้าใจผิดๆๆ


เพราะพระอรรถกถา กล่าวแต่ว่า เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา


ในกรรมฐาน ๑๐ เหล่านี้ กรรมฐาน ๓ อย่างนี้ คือ อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐานที่เหลือ ๗ อย่างเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๑


smiley กั๊กๆ ยังอีกหลายก้าวนะเธอ

และแสดงความตื้นเขิน ซ้ำซากอีก ไม่รู้ว่า

กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก

แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555

เพราะพระอภิธรรมเธอก้ไม่ได้เรียน พระสูตรก็อ่านไม่แตก

ได้แต่ จินตนาการ ว่า พุทโธๆๆๆ บริกรรม ไป จน........นิพพาน อย่างเธอว่า

แนะนำน๊ะค๊ะ

แนวนี้เหมาะสำหรับหล่อนน๊ะ ที่จะได้พัฒนาต่อไป เพราะวิปัสสนา เป็นเรื่องปัญญา โดยเฉพาะ

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipy ... ctive5.php


กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน
ไม่เคยเห็นวิปัสสนาใช่มั้ย ?

เห็นไตรลักษณ์
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ ของกายบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของเวทนาบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของจิตบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของธรรมบ้าง

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก
แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555
พ้นจากไหนไปไหน มโนใช่มั้ย ไม่มีประสบการณ์วิปัสสนาใช่มั้ย ?
ไม่เคยก็บอกไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมโนเอง คนรู้จริง เห็นจริงมี มันน่าอาย

กั๊กๆ huh

รุ้ไปในปรมัตถ์ ด้วยธรรมชาติอย่างอื่น ในอริยะสัจจ ในไตรลักษณ์ คือ รู้ด้วย
สัญญาและรู้ด้วยปัญญา ในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์แท้ๆๆ
ที่เรียกว่าปรมัตถ์ ในปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ตามภูมิของจิต ที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ ที่เกิดขึ้น จากบาทฐาน ของสติปัฎฐาน
จาก กายเวทนาจิตธรรม
คือ กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจร
จิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘

เพราะคุณไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยตื้นเขิน
บอกแล้ว ว่า คุณพลาดไปตั้งแต่ต้น จนถึงนิพพาน
กั๊กๆๆ

huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 04:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


smiley กั๊กๆๆ
สุดยอดเรยค๊ะ

ยังกะซิมเหมาๆ กล่าว กำหนดพุทโธๆๆ ทำไว้ในใจ หม้่นนึก บริกรรมไป ไปจน......นิพพาน


"เมื่อกำหนดหมายพุทโธ แทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

แถมแสดงความตื้นเขิน เพราะไม่ได้เรียนจริง อ่านตำราไม่แตก เข้าใจผิดๆๆ


เพราะพระอรรถกถา กล่าวแต่ว่า เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา


ในกรรมฐาน ๑๐ เหล่านี้ กรรมฐาน ๓ อย่างนี้ คือ อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐานที่เหลือ ๗ อย่างเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๑


smiley กั๊กๆ ยังอีกหลายก้าวนะเธอ

และแสดงความตื้นเขิน ซ้ำซากอีก ไม่รู้ว่า

กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก

แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555

เพราะพระอภิธรรมเธอก้ไม่ได้เรียน พระสูตรก็อ่านไม่แตก

ได้แต่ จินตนาการ ว่า พุทโธๆๆๆ บริกรรม ไป จน........นิพพาน อย่างเธอว่า

แนะนำน๊ะค๊ะ

แนวนี้เหมาะสำหรับหล่อนน๊ะ ที่จะได้พัฒนาต่อไป เพราะวิปัสสนา เป็นเรื่องปัญญา โดยเฉพาะ

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipy ... ctive5.php


กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน
ไม่เคยเห็นวิปัสสนาใช่มั้ย ?

เห็นไตรลักษณ์
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ ของกายบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของเวทนาบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของจิตบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของธรรมบ้าง

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก
แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555
พ้นจากไหนไปไหน มโนใช่มั้ย ไม่มีประสบการณ์วิปัสสนาใช่มั้ย ?
ไม่เคยก็บอกไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมโนเอง คนรู้จริง เห็นจริงมี มันน่าอาย

กั๊กๆ huh

รุ้ไปในปรมัตถ์ ด้วยธรรมชาติอย่างอื่น ในอริยะสัจจ ในไตรลักษณ์ คือ รู้ด้วย
สัญญาและรู้ด้วยปัญญา ในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์แท้ๆๆ
ที่เรียกว่าปรมัตถ์ ในปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ตามภูมิของจิต ที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ ที่เกิดขึ้น จากบาทฐาน ของสติปัฎฐาน
จาก กายเวทนาจิตธรรม
คือ กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจร
จิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘

เพราะคุณไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยตื้นเขิน
บอกแล้ว ว่า คุณพลาดไปตั้งแต่ต้น จนถึงนิพพาน
กั๊กๆๆ

huh


มโนไปกันใหญ่แล้ว ปรมัตถ์ คือ สภาพเนื้อแท้ของธรรม มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ที่เจริญวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่คือตัวผู้ปฏิบัติ มีการเห็น การพิจารณา
การกำหนด มนสิการ นามรูป ด้วยสติพิจารณาด้วยสมาธิ มีการทำกิจปหานกิเลสซึ่งเป็นการปหานโดย
ปรมัตถ์

แหม่ มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีคนพิจารณารูปนามกายใจ มันจะมีมรรค ผล อะไร
หยิบยกมาอ้างเป็นตุเป็นตะ

ที่เที่ยวชี้ว่าคนอื่นไม่รู้อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสนนา คุณไม่มีประสบการณ์ในวิปัสสนาใช่มั้ย ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 05:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกำลังใจ..ให้คุณเลิฟ..นะครับ

ตามอ่าน...และอยากเห็นสิ่งดีดี..เกิดขึ้นเรื่อยๆ..

ที่จริง..ก็อ่านทั้งทางฝั่ง นู๋เม..กักกาย..และ..ฝั่งคุณเลิฟ..คุณอากาศ

ในฐานะคนตามอ่าน...ก็พยายามจับเฉพาะแต่สิ่งดีดี..สาระ...มีประโยชน์...

ความเห็นของผมนะ...สาระ...ใช่จะเป็นประโยชน์เสมอไปหากขาด..สัปปายะ...

ความสงบเรียบร้อยเหมาะสม...คือความหมายของสัปปายะ

ตนสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับตน
สิ่งแวดล้อมสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับคนในแวดล้อม

หากมุ่งเพื่อประโยชน์...ก็หาสัปปายะให้เจอ

หากคิดสนุก...บันเทิง..เริงใจ...ก็จับปูมาใส่กระด้ง...มือเป็นระวิง...สนุกใช่เล่น..อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 07:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นกำลังใจ..ให้คุณเลิฟ..นะครับ

ตามอ่าน...และอยากเห็นสิ่งดีดี..เกิดขึ้นเรื่อยๆ..

ที่จริง..ก็อ่านทั้งทางฝั่ง นู๋เม..กักกาย..และ..ฝั่งคุณเลิฟ..คุณอากาศ

ในฐานะคนตามอ่าน...ก็พยายามจับเฉพาะแต่สิ่งดีดี..สาระ...มีประโยชน์...

ความเห็นของผมนะ...สาระ...ใช่จะเป็นประโยชน์เสมอไปหากขาด..สัปปายะ...

ความสงบเรียบร้อยเหมาะสม...คือความหมายของสัปปายะ

ตนสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับตน
สิ่งแวดล้อมสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับคนในแวดล้อม

หากมุ่งเพื่อประโยชน์...ก็หาสัปปายะให้เจอ

หากคิดสนุก...บันเทิง..เริงใจ...ก็จับปูมาใส่กระด้ง...มือเป็นระวิง...สนุกใช่เล่น..อิอิ


พอโต้ตอบกันยืดยาวอย่างนี้ ผมเองก็รู้สึกแย่ภายหลังเหมือนครับ :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
วิธีฝึกอบรมจิต มี 2 ประเภท คือ

1 สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ
2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา

พื้นฐานความเข้าใจ
ต้องแยกให้ถูก เสียก่อน

เพราะอารมณ์ คนละอารมณ์

ไม่ใช่ทรงอารมณ์กัมฐานแล้วคงอารมณ์นั้นมาทำวิปัสสนากัมมัฎฐาน

ความต่อเนื่องของจิตเจตสิกการสืบต่อของนามธรรมและรูปธรรม สันตติ จึงปิดบัง ไตรลัษณ์


พลาดกันไป ไปตั้งแต่ต้น

tongue


ผมโพสกระทู้แสดงความเห็นเรื่อง พุทโธ อบรมศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าอย่างไร เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้าอย่างไร

อารมณ์สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
อารมณ์วิปัสสนา คือ เห็นธรรมตามจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะเข้าใจผิดหรือถูกก็ว่ากันไป ชี้แนะปรับแก้ให้เกิดความเห็นความเข้าใจถูกต้องโดยอาศัยพระธรรมคำสอน
เพื่ออ้างอิง ไม่ใช่หยิบยกพระธรรมคำสอน หรือแต่งขึ้นเองโดยอ้างพระธรรมคำสอน มายกตัวเอง ปรามาสผู้อื่น คนอื่นไม่ได้โงทั้งหมด ผู้รู้จริง เห็นจริงก็มี ควรมีความละอาย

huh

เพราะคูณยังคิดอยุ่ว่า คุณเอาอารมณ์ สมถะ เข้าไปใช้ในอารมณ์ สติปัฎฐาน และเข้าไปในอารมณ์วิปัสสนา
คุณไม่เคยบอกว่า แยก คนละอารมณ์
และไม่รู้ว่า สติปัฎฐาน เอาเฉพาะอารมณ์ ที่เกิดตรงหน้า ในขณะนั้น ไม่มีพุทโธบุคคลเราเขาสัตว์ใดๆ มาทำอารมณ์

ที่คุณยัง ยังดื้อดัน
ไม่ยอมรับว่า คุณ พลาดแล้วตั้งแต่ต้น

ที่ยกพระธรรม มาให้เพราะจะให้คุณ ได้ใช้ปัญญา ไปเทียบเคียงพระธรรมในพระไตรปิฎกเอาเอง
ว่า
คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นยังไง
ต่างกับคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่

อาจารย์ตน เหนือกว่าพระธรรมพระตถาคตหรือไม่ ไงค๊ะ

ว่าหาครูที่ถูกหรือเปล่า
ฟังคำสอนมาถูกหรือเปล่า
หมู่สงฆ์ที่แสดงแสดงถูกต้องตรงหรือเปล่า
ปฎิบัติตามถูกหรือเปล่า
และผลจากการหาที่ไม่ถูก ควรจะหาพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระองค์ตรัส เป็นศาสดา

ปริยัติเป็นศาสนพรหมจรรย์ เกิดด้วยพระญานของพระพุทธเจ้า
เหนือกว่าคำสอน คณาจารย์ ครูบาอาจารย์
หรือเปล่า ?

หรือปัญญาคุณ มีเพียงแค่ จะมาถามคนในบอร์ดนี้ ?

หรือว่า มีเพียง มาแสดงธรรมล้นใจ ที่ขัดต่อพระปริยัติ หล่ะค๊ะ ?

คนฉลาด ย่อมไปหาพระพุทธเจ้า และธรรม ที่พระพุทธองค์ได้แสดงนั้น คือ ศาสดา
ไม่ใช่ คณาจารย์
พระพุทธองค์ ไม่แต่งตั้งพระอรหันต์เถระ สักองค์ เป็นศาสดา

คุณยังตีใจความพุทโธ พื้นฐาน ที่ถุกต้อง ไม่ออก ว่า ใครคือศาสดา ที่แท้จริงขณะนี้
tongue


ผมกล่าวว่าพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเพื่อละบาปอกุศลกรรม เพื่อไม่แส่สายไปในอารมณ์ภายนอก เลิกอ้างเรื่อง อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสสนา เถอะ

สมถะ คือ ความสงบแห่งจิตภายใน
วิปัสสนา คือ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

จะยังมรรคให้เกิดต้องอาศัยทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ถือเป็นการเจริญทั้งสมถะ วิปัสสนา ไม่ว่าจะเจริญสมถะก่อน วิปัสสนาก่อน หรือเจริญควบคู่กันไป


ขัดต่อปริยัติอย่างไรก็โจทย์มา ไม่ใช่แต่งเองแล้วอ้างว่าเป็นปริยัติ อย่างเช่น ต้องมีปริยัติญาณ ,ปริยัติสัจญาณ จึงจะเกิด ปฏิบัติญาณ , ปฏิเวธญาณ / หรือจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีในสามัญสัตว์อย่างผม อย่างนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อมาปรามาสคนอื่น คนอื่นไม่ได้โง่หมดทุกคน มีคุณคนเดียวที่ฉลาด ศึกษามากในปริยัติ คนรู้จริงเห็นจริงมี ควรละอายแก่ใจ



555
เพราะคุณไม่รู้ว่า
สมถะ เป็นผลของอารัมมณปณิฌาน
แเละ วิปัสสนา เป็นผลของ ลักขณะณูปนิฌาน
อารมณ์ในสมถ และ วิปัสสนา เป้นคนละอารมณ์กัน

และไม่รู้สึกละอาย ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ

555 huh


ผมตามแก้มิจฉาวาจาของคุณ แม้แก้ด้วยคำจริง อิงอรรถ อิงธรรม
แต่มากเกินไปผมยังรู้สึกละอายเลย

พอแจงเรื่อง สมถ วิปัสสนา
แถมาเรื่อง อารัมมณปณิฌาน ลักขณูปนิฌาน

คุณโลกสวยเองนั่นแหละที่ไม่ได้มีความเข้าใจใน สมถะ วิปัสสนา
กล่าวผิด ๆ ถูก ๆ อ้างนั่นอ้างนี่ไปเรื่อยเปื่อย

พอถามตอบไม่ได้ บ่ายเบี่ยงกลบเกลื่อน บิดเบือนคำสอน กล่าวปด
พจเท็จ นี่หรือ ธรรมอาสา ?



แบบนี้เนาะค๊ะ

คุณ กล่าวมาอย่างเต็มภาคภูมิ

"เมื่อกำหนดหมายเอาไว้ ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง



กำหนด พุทโธ นึกพุทโธ บริกรรมพุทโธ................ จนถึงนิพพาน

แต่

มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

ผลชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

555 นี่ขนาดแค่ธรรมอาสามือใหม่น๊ะเนี่ย

ยังเห็นเร๊ย ว่า เหวี่ยงแหไป

แล้วคนอื่นเก๋ากึ๊ก อย่างผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน จะไม่เห็น เนาะค๊ะ


บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น

tongue

huh


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =867&Z=883

คุณยังไม่เข้าใจ แยกแยะไม่ออกเลย ผมกล่าวว่าอาศัยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้วเจิรญสติพิจารณา
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อย่างไหนเป็นอารัมณปณิฌาน ลักขณูปณิชฌาน
ยังหน้าด้านกล้าหยิบยกมาอ้างชี้ผิดคนอื่นอีก กาฝากจริง ๆ ไปถามผู้ทรงคุณวุฒิที่คุณกล่าวถึงดู

บอกไปจนขี้เกียจบอกแล้ว แล้ว ว่าพลาดตั้งแต่ต้น
ธรรมอาสา โลกสวย นั้นแหละที่พลาดตั้งแต่ต้น จะยกขึ้นมาบอกแล้วเอาไปถามคนอื่นที่เก๋ากึ้กที่คุณว่าดู

1. วิปัสสนาไม่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์ มีแต่ไตรลักษณะ มีไตรลักษณ์ของอะไร ?

2. เมื่อกำหนดหมายพุทโธแทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน" เป็นได้มั้ย ?

ทบทวนเองน๊ะค๊ะ คำพูดคุณเอง
ทบทวนเยอะ ทบทวนมาก ยิ่งทบทวนยิ่งเกิดความเข้าใจ
คุณเองทบทวนบ้าง ก่อนพูดก็พิจารณาบ้าง ให้สมกับเป็นธรรมอาสา
อย่าเป็นกาฝากศาสนา


smiley กั๊กๆๆ
สุดยอดเรยค๊ะ

ยังกะซิมเหมาๆ กล่าว กำหนดพุทโธๆๆ ทำไว้ในใจ หม้่นนึก บริกรรมไป ไปจน......นิพพาน


"เมื่อกำหนดหมายพุทโธ แทนพระพุทธเจ้า ทำไว้ในใจเอาไว้อย่างนี้แล้ว หมั่นนึกพุทโธ บริกรรมพุทโธในใจ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"

แถมแสดงความตื้นเขิน เพราะไม่ได้เรียนจริง อ่านตำราไม่แตก เข้าใจผิดๆๆ


เพราะพระอรรถกถา กล่าวแต่ว่า เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนา


ในกรรมฐาน ๑๐ เหล่านี้ กรรมฐาน ๓ อย่างนี้ คือ อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ ย่อมเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอย่างเดียว กรรมฐานที่เหลือ ๗ อย่างเป็นประโยชน์แก่การทำจิตให้ร่าเริงด้วย เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาด้วย ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๑


smiley กั๊กๆ ยังอีกหลายก้าวนะเธอ

และแสดงความตื้นเขิน ซ้ำซากอีก ไม่รู้ว่า

กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก

แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555

เพราะพระอภิธรรมเธอก้ไม่ได้เรียน พระสูตรก็อ่านไม่แตก

ได้แต่ จินตนาการ ว่า พุทโธๆๆๆ บริกรรม ไป จน........นิพพาน อย่างเธอว่า

แนะนำน๊ะค๊ะ

แนวนี้เหมาะสำหรับหล่อนน๊ะ ที่จะได้พัฒนาต่อไป เพราะวิปัสสนา เป็นเรื่องปัญญา โดยเฉพาะ

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipy ... ctive5.php


กายเวทนาจิตธรรม ปรมัตถ์ ไม่ได้มี บัญญัติ อย่างพุทโธๆๆๆ ไม่มี บุคคลเราเขา
แต่มี ร้อนเย็นอ่อนแข็งตึงไหว ในสภาวะปรมัตถ์ จากฐานกาย เวทนา จิต และธรรม พื้นฐาน
ไม่เคยเห็นวิปัสสนาใช่มั้ย ?

เห็นไตรลักษณ์
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ ของกายบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของเวทนาบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของจิตบ้าง
ย่อมเห็นไตรลักษณ์ของธรรมบ้าง

และวิปัสสนา ขึ้นจากนั้นอีก เป็นอารมณ์ จาก เป้นนามรูป ปรมัตถ์
และพ้นจากนั้นอีก
แต่ ขี้เกียจบอก บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง 555
พ้นจากไหนไปไหน มโนใช่มั้ย ไม่มีประสบการณ์วิปัสสนาใช่มั้ย ?
ไม่เคยก็บอกไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมโนเอง คนรู้จริง เห็นจริงมี มันน่าอาย

กั๊กๆ huh

รุ้ไปในปรมัตถ์ ด้วยธรรมชาติอย่างอื่น ในอริยะสัจจ ในไตรลักษณ์ คือ รู้ด้วย
สัญญาและรู้ด้วยปัญญา ในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์แท้ๆๆ
ที่เรียกว่าปรมัตถ์ ในปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ตามภูมิของจิต ที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ ที่เกิดขึ้น จากบาทฐาน ของสติปัฎฐาน
จาก กายเวทนาจิตธรรม
คือ กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจร
จิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘

เพราะคุณไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยตื้นเขิน
บอกแล้ว ว่า คุณพลาดไปตั้งแต่ต้น จนถึงนิพพาน
กั๊กๆๆ

huh


มโนไปกันใหญ่แล้ว ปรมัตถ์ คือ สภาพเนื้อแท้ของธรรม มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ที่เจริญวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่คือตัวผู้ปฏิบัติ มีการเห็น การพิจารณา
การกำหนด มนสิการ นามรูป ด้วยสติพิจารณาด้วยสมาธิ มีการทำกิจปหานกิเลสซึ่งเป็นการปหานโดย
ปรมัตถ์

แหม่ มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีคนพิจารณารูปนามกายใจ มันจะมีมรรค ผล อะไร
หยิบยกมาอ้างเป็นตุเป็นตะ

ที่เที่ยวชี้ว่าคนอื่นไม่รู้อารมณ์สมถะ อารมณ์วิปัสนนา คุณไม่มีประสบการณ์ในวิปัสสนาใช่มั้ย ?


กั๊กๆๆ

เพราะหล่อน ไม่เรียนพระอภิธรรม เรยได้พูดแต่ มะโนๆๆ ท่องพุทโธๆจนนิพพาน

ไม่รู้ว่า

มโนมยิทธิ ฤทธิทางใจ ก็เป็นผลของ อารัมมณปณิฌาน

แต่ วิปัสสนา เป็น มรรคชื่อว่า ลักขณูปนิฌาน

มโน เรยแตกต่าง กะวิปัสสนา

ประสบการณ์ วิปัสสนาแบบหล่อนน่ะ ไม่มี

มีแต่แบบที่สอดคล้องกันกะพระปริยัติพระอภิธรรม จร้า


กั๊กๆ huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นกำลังใจ..ให้คุณเลิฟ..นะครับ

ตามอ่าน...และอยากเห็นสิ่งดีดี..เกิดขึ้นเรื่อยๆ..

ที่จริง..ก็อ่านทั้งทางฝั่ง นู๋เม..กักกาย..และ..ฝั่งคุณเลิฟ..คุณอากาศ

ในฐานะคนตามอ่าน...ก็พยายามจับเฉพาะแต่สิ่งดีดี..สาระ...มีประโยชน์...

ความเห็นของผมนะ...สาระ...ใช่จะเป็นประโยชน์เสมอไปหากขาด..สัปปายะ...

ความสงบเรียบร้อยเหมาะสม...คือความหมายของสัปปายะ

ตนสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับตน
สิ่งแวดล้อมสัปปายะ...ก็เกิดประโยชน์กับคนในแวดล้อม

หากมุ่งเพื่อประโยชน์...ก็หาสัปปายะให้เจอ

หากคิดสนุก...บันเทิง..เริงใจ...ก็จับปูมาใส่กระด้ง...มือเป็นระวิง...สนุกใช่เล่น..อิอิ



โป้งแระ

ไม่เป็นกำลังใจให้นู๋เรย

s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s002 s002 s002

ก็เห็น...จะเก่งกาจปานนั้น..

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2019, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s002 s002 s002

ก็เห็น...จะเก่งกาจปานนั้น..

:b12: :b12: :b12:

s006 เอ่?

ตกลง เป็นแบบปูอ่ะป่าว Onion_no


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 151 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร