ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

มีธรรมเป็นเพื่อน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57178
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 20 ก.พ. 2019, 13:56 ]
หัวข้อกระทู้:  มีธรรมเป็นเพื่อน

"ขนาดเกิดมาเป็นคน
บุญพามาเกิด ยังทุกข์ขนาดนี้
ถ้าไม่มีบุญ ไปเกิดเป็นเปรต เป็นผี
แล้วมันจะทุกข์ขนาดไหน"

หลวงพ่ออุทัย สิริธโร




เรื่องภัยพิบัตินั้น ก็จะเกิดมีอยู่
อาตมาเห็นอยู่ แต่อาตมาไม่ทราบ
ว่าจะเกิดขึ้นช่วงไหน
จึงขอเตือนให้ญาติโยมภาวนา
พุทโธ พุทโธ พุทโธ กันไว้

"คนที่ภาวนาพุทโธ แล้วจะรอดพ้นจากภัยพิบัติ
เหรอครับหลวงปู่" (โยมถาม)

"เปล่า.. คนภาวนาพุทโธ ตายแล้วจะไปสู่สุคติ"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป







"เริ่มปฏิบัติซะ
เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า
เราจะไปเมื่อไหร่"
หลวงตาม้า วิริยธโร




เราอยากพ้นทุกข์
เราให้รู้จักว่า สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวทั้งหมด
เราไปยึดเอา
เราอยากพ้นทุกข์ ก็ให้กำหนดดูซี
ถ้าจิตของเรามีทุกข์อยู่
มันก็ไม่พ้นทุกข์
จิตพ้นทุกข์ คือ มันไม่ทุกข์
คือ มันละ มันวางหมด
เมื่อมันละ มันวางหมดแล้วนั่นแหละ
มันพ้นทุกข์ตรงนั้น
มันไม่ได้พ้นที่อื่น
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร




เรียนถามองค์ท่านว่า ทำไมพ่อแม่ครูอาจารย์ จึงชอบอยู่ลำพังเพียงองค์เดียว ไม่กลัวอันตรายจากสัตว์สาวาสิ่งคะนิงคนบ้างหรือ พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ท่านบอกอันตรายจากบุคคลสัตว์สาวาสิ่งภายนอกนั้น เราไม่กลัวมันหรอก สิ่งที่เรากลัวนั้นคืออันตรายจากกิเลสภายในของตนเท่านั้น ใจฟุ้งซ่านหงอยเหงานั้น เกิดจากกิเลสในใจของตนนั่นแหละ ที่บั่นทอน จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่ได้เกิดจากสัตว์บุคคลก่อกวน จิตฟุ้งซ่านนั้นเกิดจากใจเราเข้าไปยึดถือในเรื่องนั้นๆ ให้เป็นธรรมารมณ์ การอยู่ลำพังผู้เดียวมันสะดวกใจดีไม่ต้องมาเป็นกังวลกับใคร คนเราถ้าคุ้นเคยในการปฏิบัติอย่างเดียวดายแล้วจะรู้ว่า ความสุขในการเป็นเอกบุรุษเอกสตรีแห่งธรรมนั้นเป็นอย่างไร

การอยู่อย่างเดียวดายโดยมีธรรมเป็นเพื่อนใจนั้น มันสบายใจดีไม่ต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับปากคนใจใคร การอยู่อย่างเอกบุรุษเอกสตรีนั้น ไปไหนมาไหนมันสะดวกใจดี ไม่ต้องมาเป็นกังวลทุกข์กับใจเขาใจเรา เข้าเป็นเรือพ่วง หัดอยู่ผู้เดียวในธรรมให้เป็น ใจก็จะเป็นสุข กิเลสนี้ถ้าได้รบกวนจิตใจใครแล้ว อย่างน้อยคนนั้นนอนไม่หลับ หนักเข้าเป็นบ้าเสียสติฆ่าตัวเอง ฆ่าผู้อื่นให้ตายไปก็มี เกิดเป็นคนอย่าทำให้ใจตนเองเป็นกำพร้าธรรม ปฏิบัติให้ใจของตนเองมีวิหารธรรมเครื่องอยู่ครองจิต #จิตผู้มีวิหารธรรมครองใจแล้ว #ผู้นั้นจะไม่เป็นทุกข์ #จิตใจของผู้นั้นจะอยู่อย่างสุคติ แม้ตัวยังไม่ตาย
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





ความละเอียดของจิต

เรื่องนามธรรม ต้องของละเอียดต่อของละเอียดจับกันจึงจะได้ เช่นยาปราบเชื้อโรคก็ต้องละเอียดเมื่อใช้ปราบเชื้อโรค เหมือนอาหาร เวลาดูดซึมไปใช้ก็ต้องละเอียด จึงจะนำไปใช้ได้

จิตละเอียดกับกิเลสละเอียดจึงจะปราบกันได้ กิเลสละเอียดแต่จิตไม่ละเอียดตาม ไม่มีทางปราบกันได้ กรรมละเอียดจึงไม่สามารถรู้ได้ถ้าจิตไม่เหนือกรรมจริงๆ

จิตเราไม่ละเอียดก็ไม่สามารถรู้ภาษาสัตว์ได้ เพราะจิตเราหยั่งไม่ถึง

เหมือนสายตาเรามองน้ำทะเลไปสุดสายตาก่อน ไม่เห็นฝั่ง ทั้งที่ฝั่งยังมีอยู่ แต่ตาเราไปไม่ถึง

จิตของปุถุชนก็สื่อไปไม่ถึงสวรรค์นิพพานได้ ไม่สามารถสื่อไปถึงนรกอเวจีได้ถ้าไม่มุ่งมั่นจริงๆ

ถ้าจิตเรามีกำลังพอ ก็สามารถทะลุทะลวงข้ามภพข้ามชาติไปได้ ก่อนจะถึงตรงนั้นได้ จิตต้องเป็นหนึ่งก่อน เหมือนท่อไฮดรอลิกถ้ามีรูรั่ว ก็ไม่สามารถยกของหนักได้ กำลังจิตเหมือนกัน ถ้ารั่วไหล ก็ไม่มีกำลัง ท่านจึงให้ทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียว ให้สงบเป็นสมาธิ จึงจะเป็นไปได้

หลวงพ่อจันมี อนาลโย
วัดป่าแก้งใหม่ อ.สังคม จ.หนองคาย
๑๔ กันยายน ๒๕๕๖




ที่สุดแห่งธรรม ๒

ความว่างของใจในขั้นนี้ ถ้าหากขาดปัญญาหรือไม่มีปัญญาแยบคาย ก็จะเข้าใจว่าตัวเองหมดกิเลสแล้ว สำเร็จแล้ว เพราะจิตมันว่าง จิตมันไม่ได้ไปยึดไปถือ กับรูป กับเรื่องราวภายนอก แต่ผู้ว่างนั้นมันยังมีตัวมีตนอยู่ ก็ให้พินิจพิจารณาตัวผู้ว่าง ที่มันยังยึดยังถือ ว่าตัวรู้ตัวดีกว่าใครนั่นแหล่ะ

มันจะว่าง จะสงบ จะสว่างยังไง ก็ต้องพิจารณา กำหนดดูความว่าง สงบสว่างและความสุขของจิตนั้น นี่เรียกว่าอยู่ในขั้นของมรรค อะไรที่บอกว่ามันว่าง ไม่มี มีเพียงเราไปสมมุติให้มันว่าง แต่ถึงยังไง เราผู้ปฎิบัติก็ยังได้เห็นจริง เป็นจริงอยู่ภายในจิตใจของเรานี้ ที่สุดแล้วที่ว่ามันว่างในจิตนั้น มันก็ยังสามารถจะแสดงกริยาอาการอย่างอื่นขึ้นมาอีกได้ เพราะว่ามันยังไม่มีความบริสุทธิ์เต็มที่ จิตใจยังไม่ได้หมดสิ้นจากกิเลส

เราต้องได้ทำความรู้เท่าทันไว้ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นมา ท่าไหน หรือพลิกแพลงสลับซับซ้อน ไปอย่างไรก็ตาม เราต้องกำหนดจิต พินิจพิจารณาดูตามติดอยู่ตลอดเวลา อย่าไปเคลิบเคลิ้ม หลงไหลไปยึดมั่นถือมั่นเอาไม่ได้เลย เพราะจิตในขณะนั้นมันไม่ได้สนใจดูภายนอก แต่มันดูเรื่องของกายของสังขารที่ผุดขึ้น อยู่ภายในนั้นอย่างไม่ลดละ มันจะปรุงจะแต่งไปท่าไหน อย่างไรสติปัญญามันทันอยู่ตลอด

ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในความปรุงแต่ง หรือความเป็นไปนั้น มันเกิดได้ มันก็ดับได้ ไม่เที่ยงเลย มันจะเข้าใจ รู้เห็นและตามติดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาเผลอเลย นี่เมื่อจิตมันเข้าไปถึงความละเอียดมันเป็นอย่างนี้

พระอาจารย์รังสรรค์ อภิปุญโญ
วันอังคาร ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒




"การคิดมากมันจะเป็นบ้า ต้องคิดให้พอดี ความพอดีมันดี ทุกอย่างให้มีความพอดี พ อ แ ล้ ว ดี ถ้ามันพอจะเอาอะไรมาใส่มันก็ปัดทิ้งหมด มันเหลือล้น

ถ้าเป็นทรัพย์สิ่งของก็เอาไปสงเคราะห์พวกไม่พอในหัวใจได้"
.หลวงปู่แสง จันทโชโต





อย่าเป็นคนปากร้าย
เพราะปากร้าย ใจมันต้องร้ายไปด้วย
อย่ามาพูดปากร้าย ใจดี
มันหลอกตัวเองทั้งนั้น
ถ้าใจดี ปากมันก็ต้องดีด้วย...

คติธรรม หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม





เหตุเกิดของนะโม
นะโมคืออะไร...?
"นะคือน้ำ" "โมคือดิน" น้ำและดินที่มาประชุมกันนี่
เมือจะกล่าวแล้วธาตุตัวเมียก็คือน้ำ ธาตุของตัวผู้ก็คือดิน น้ำและดินเมือมาประชุมกัน ก็ก่อให้เกิดไฟและลม

...นะน่ะคือแม่ โมคือพ่อ ก็เคยแปลนะโมให้ฟัง
นะโมอันว่าน้ำและดิน คือพ่อและแม่นั้นล่ะ ตัสสะของบิดามารดานั้น ภะวะโตบิดามารดาเป็นผู้จำแนกธาตุน้ำและธาตุดิน อะระโตจำแนกแจกให้แล้วจนเสร็จ สัมมาตั้งให้อยู่ในครรภ์นานเก้าเดือนแล้วจนชอบ
สัมพุทโธจึงได้เกิดมา พ่อแม่ของเราเป็นผู้สร้างเรือนกายขึ้นมานี่ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสขึ้นมาว่า ภิกษุทั้งหลายเรือนของเขาเราเป็นผู้อาศัยน่ะ ไม่ให้เราประมาท ให้เรารู้จักพระคุณของพ่อของแม่สิ พ่อแม่ให้สมบัติ สมบัติอันล้นโลก ให้เรือนกายเรามา ใครไม่เกิดมาจากพ่อจากแม่มีไหม ?

...วิญญานหรือจิตใจตัวเราน่ะ เรียกว่าชีวะ แปลว่าลมหายใจเข้าออก ชีวะคือชีวิต มันมาติดแค่ปลายจมูกเรานิ มาเกาะอยู่ตรงนี้ ถ้าลมอัตสาสะ ปัตมาสะขาดไปก็ตายแล้ว

...นี้พูดกันง่ายๆ บอกกันให้เห็นสัจจะธรรมของจริง
นี้เป็นหลักปฏิบัติน่ะ ถ้าจะไปเอาเอาตามหนังสือหรือว่าตามตำรับตำราแล้ว โอ้ย...มันยาว ! อ่านเท่าไหร่แล้วมันก็ไม่จบหรอก นี้บอกแนวปฏิบัติง่าย คือมารู้เหตุแห่งความจริง......เหตุปัจจโย

ถอดจากเทปคำสอนหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร
วัดโปร่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/