ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

สติเหมือนพี่เลี้ยง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57119
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 11 ก.พ. 2019, 05:03 ]
หัวข้อกระทู้:  สติเหมือนพี่เลี้ยง

ขณะที่หลวงปู่แหวนจำพรรษาอยู่เชียงรายได้เห็นร่างใหญ่ร่างหนึ่งเอาท้าวห้อยอยู่บนยอดไม้หัวห้อยลงมา ผมยาวรุงรัง ร้องเสียงโหยหวน

หลวงปู่จึงถามว่า “ต้องการอะไร”
เขาตอบวา “ต้องการมาขอส่วนบุญ”
หลวงปู่ถามต่อว่า “แต่ก่อนเขาไม่ทำกรรมอะไรหรือ จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้” ตอบ เมื่อยังเป็นมนุษย์ผมอยู่ที่เชียงดาวนี้เอง มีอาชีพลักเขาบ้าง ปล้นเขาบ้าง วันหนึ่งก่อนไปปล้น ผมเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบนไว้พระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ เพื่อขอความคุ้มครอง ซึ่งก่อนนี้ก็เคยทำอย่างนั้นมาทุกครั้ง

ทำงานทุกครั้งไม่เคยผิดพลาดสำเร็จมาด้วยดีทุกครั้ง แต่มาคราวนี้ผมบนแล้วไปปล้นเขา โชคไม่อำนวย เจ้าของบ้านเขารู้ตัวก่อน เขาเตรียมสู้ป้องกันตัวไว้อย่างดี พอผมเข้าไปปล้นจึงเกิดการต่อสู้กันกับเจ้าของบ้าน ผมถูกเจ้าของบ้านฟันได้รับบาดเจ็บสาหัสหนีมาได้ ผมโมโหมากกลับไปที่ถ้ำต่อว่าพระพุทธรูปองค์นั้นว่า ทำไมไม่ช่วย อย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้

แล้วก็เอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูปจนคอพระหัก เพราะทำงานไม่เคยผิดพลาดอย่างนี้มาก่อนเลย เมื่อทำร้ายพระแล้ว ความโกรธก็ยังไม่หายคิดอยู่แต่ว่าถ้าหายป่วยเมื่อไรจะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้สาสมอีกครั้ง ด้วยบาดแผลที่ได้รับจากอาวุธ ผมได้สิ้นชีวิตลงในกาลต่อมา เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว หลังจากตายไปแล้วก็เกิดมาเป็นเปรต

ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอัตภาพที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพ้นโทษอันนี้ไปได้ ขอพระคุณเจ้าจงแผ่เมตตาให้สัตว์ผู้ยากไร้ด้วย เวลานี้ความทุกข์ท่วมทับไม่มีวันเวลา ขอความเอ็นดูแผ่เมตตาให้เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ทรมานที่กำลังได้รับอยู่นี้ด้วย

หลวงปู่เล่าว่า เมื่อท่านได้ฟังบุพพกรรมและได้ฟังความอ้อนวอนอย่างเวทนาเช่นนั้นจึงสำรวมจิตแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะได้รับหรือไม่ได้รับก็ไม่ทราบ เพราะกรรมของเขาหนักเหลือประมาณ แต่เมื่อตั้งใจแผ่เมตตาให้แล้ว เขาก็หายไป นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย เปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่เพราะพูดผมเป็น แต่เท่าที่ประสบมาพวกนี้เขามักใช้คำพูดแทนตนเองว่า “เรา หรือไม่ก็ ข้าพเจ้า” มีที่เชียงดาวนี้แหละที่พูดว้า “ผม” จึงนับว่าเปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







"สติเป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอ่อนคือจิต"

จิตของเราเปรียบอุปมาเด็กอ่อนแอทีเดียว เพราะเหตุนั้นแหละ สติเปรียบเหมือนพี่เลี้ยงก็เจ้าของของจิตนั่นแหละ เมื่อมันนึกขึ้นก็แม่น (= คือ) สตินี่แหละ

สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลงพบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนมันแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำให้มันสำเหนียกแล้ว มันก็จะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง

สติเป็นเครื่องตี คือตีสนิมของจิต ดวงจิตมีความหลงเรียกว่าอวิชชา จิตนั่นแหละมันหลง ความหลงคืออวิชชา ขี้สนิมมันก็อยู่กับอวิชชา คือที่มันหลงนั้นขี้สนิมโอบมัน แต่ก่อนจิตผ่องใส พระพุทธเจ้าจึงว่า จิตเดิมธรรมชาติเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส คือ รูป เสียงกลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายเข้ามาสัมผัสแล้ว มันจึงหลงไปตาม จึงเป็นเหตุให้จิตนั้นเศร้าหมองขุ่นมัวจึงไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงไป

ปัจจัยของอวิชชาความโง่เหมือนกันกับเหล็ก เหล็กนั้นมันก็ดีๆ อยู่นั่นแหละแต่สนิมก็เกิดขึ้นในเหล็กนั่นเอง เมื่อเขาตีสนิมออกแล้วจึงเป็นดาบคม ขัดเกลาแล้วจึงเป็นดาบคมใช้การได้ เมื่อไม่ตีมันก็อยู่อย่างนั้น จนขี้สนิมกินมากก็ใช้การไม่ได้ จิตของเราก็ดี อาศัยสติเป็นผู้ขัดผู้เกลา อาศัยสติเป็นผู้คุ้มครอง เชื่อสติเชื่อมั่น

อันที่จริงอาคันตุกะกิเลสก็ไม่เป็นปัญหาที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอกไม่เป็นปัญหา ข้อมูลรากเง่าของมันก็คือ กามาสวะ ภวาสวะ วิภวาสวะ อันนี้เป็นอนุสัยเป็นสนิมของมันเป็นสนิมหุ้มห่อจิตให้มืดมนอนธการ เช่นนี้แหละ เมื่อเราหัดสติทำสติให้ดีแล้ว สู้มีกำลังแล้ว จิตมันก็จะรู้เท่าต่อความเป็นจริง ครั้นมีสติแล้ว สัมปชัญญะ ความรู้ตัวพร้อมก็เจริญ สัมปชัญญะก็ดวงปัญญานั่นแหละญาณก็ว่า ปัญญาก็ว่า ความรู้ตัวพร้อมกับสติทั้งสองอย่างนี้เป็นคู่กัน พอสติระลึกขึ้นแล้ว สัมปชัญญะก็รู้ว่าผิดหรือถูก รู้พร้อม ถูกก็รู้พร้อม ผิดก็รู้พร้อม

เมื่อเราอบรมสติดีแล้ว มันจะมีกำลังความสามารถ สามารถทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถจะแทงตลอดได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าจะทำอันใดก็ดี คิดดูเถอะน่ะ เวลาไฟไหม้บ้านเขายังเกิดกำลัง สามารถหอบเอาของหนักๆ ออกจากไฟได้ หมดไฟไหม้แล้ว ไฟดับแล้ว สามสี่คนไปหามของนั้นก็ไม่ไหว จิตก็ปานนั้นแหละมีกำลังมาก เพราะเหตุนั้น เมื่อเราหัดดีแล้วเหาะได้เหมือนพระโมคคัลลาน์มุนีก็มี แล้วพวกเราสงสัยว่า เหาะก็คือท่านนั่งอยู่นี่แหละแล้วจิตท่านไปสวรรค์ไปนรกไปนั่นๆ ตัวท่านนั่งอยู่ที่นี่ อันนั้นก็แม่น แต่ว่าไปได้จริงๆ เหาะเอากายไปด้วย คิดดูเถอะ จะมัวกลัวอะไรกับตาย ให้พากันอบรมจิต

หลวงปู่ขาว อนาลโย




ปัจจัตตัง
"ผู้ที่รู้ธรรมย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง และวิญญูชน รู้ด้วยเฉพาะตัวเอง เหมือนว่า ร้อนเรารู้ หนาวเรารู้ เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ด้วย ทุกข์เรา ก็รู้อยู่คนเดียวของเรา คนอื่นจะมารู้ไม่ได้..

วิญญูชนรู้ได้ด้วยเฉพาะตนเอง ไม่ต้องไปวัดหรอก ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์มาวัดหรอก เขาจะวัดของเขาเอง ถ้าเขาหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เขาก็จะรู้ของเขาเองว่าหลุดพ้นแล้ว ไม่มีอะไรขัดข้องกับจิตใจ”

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป





คนจำนวนมากนับถือศาสนาเพียงเพื่อหวังจะหนีเคราะห์และขอโชค แต่ชาวพุทธแท้นับถือศาสนาเพื่อช่วยให้เราพัฒนาความสามารถที่จะเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค

พระพุทธศาสนามิใช่มีไว้เพื่อให้เราขอโชคและขอให้ช่วยหนีเคราะห์ แต่ประโยชน์ที่เราควรจะได้จากพระพุทธศาสนาก็คือความสามารถที่จะชนะเคราะห์และสร้างโชค ท่านสอนให้เรารู้จักเผชิญและจัดการกับเคราะห์ เพื่อให้ตัวเราเองพัฒนาดีขึ้น และรู้จักใช้โชคให้นำโชคยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย ไม่ใช่เอาแต่จะหนีเคราะห์ กลายเป็นคนอ่อนแอ จะถอยอยู่เรื่อย แล้วเวลามีโชคก็หลงระเริงเพลิดเพลินจนโชคหมดหายกลายเป็นเคราะห์ ไม่รู้จักพัฒนาโชคต่อไป

หนังสือ ตื่นเถิดชาวไทย
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
พิมพ์รวมเล่มครั้งที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ หน้า ๒๑

เจ้าของ:  sssboun [ 11 ก.พ. 2019, 09:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

รสมน เขียน:
ขณะที่หลวงปู่แหวนจำพรรษาอยู่เชียงรายได้เห็นร่างใหญ่ร่างหนึ่งเอาท้าวห้อยอยู่บนยอดไม้หัวห้อยลงมา ผมยาวรุงรัง ร้องเสียงโหยหวน

หลวงปู่จึงถามว่า “ต้องการอะไร”
เขาตอบวา “ต้องการมาขอส่วนบุญ”
หลวงปู่ถามต่อว่า “แต่ก่อนเขาไม่ทำกรรมอะไรหรือ จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้” ตอบ เมื่อยังเป็นมนุษย์ผมอยู่ที่เชียงดาวนี้เอง มีอาชีพลักเขาบ้าง ปล้นเขาบ้าง วันหนึ่งก่อนไปปล้น ผมเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบนไว้พระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ เพื่อขอความคุ้มครอง ซึ่งก่อนนี้ก็เคยทำอย่างนั้นมาทุกครั้ง

ทำงานทุกครั้งไม่เคยผิดพลาดสำเร็จมาด้วยดีทุกครั้ง แต่มาคราวนี้ผมบนแล้วไปปล้นเขา โชคไม่อำนวย เจ้าของบ้านเขารู้ตัวก่อน เขาเตรียมสู้ป้องกันตัวไว้อย่างดี พอผมเข้าไปปล้นจึงเกิดการต่อสู้กันกับเจ้าของบ้าน ผมถูกเจ้าของบ้านฟันได้รับบาดเจ็บสาหัสหนีมาได้ ผมโมโหมากกลับไปที่ถ้ำต่อว่าพระพุทธรูปองค์นั้นว่า ทำไมไม่ช่วย อย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้

แล้วก็เอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูปจนคอพระหัก เพราะทำงานไม่เคยผิดพลาดอย่างนี้มาก่อนเลย เมื่อทำร้ายพระแล้ว ความโกรธก็ยังไม่หายคิดอยู่แต่ว่าถ้าหายป่วยเมื่อไรจะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้สาสมอีกครั้ง ด้วยบาดแผลที่ได้รับจากอาวุธ ผมได้สิ้นชีวิตลงในกาลต่อมา เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว หลังจากตายไปแล้วก็เกิดมาเป็นเปรต

ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอัตภาพที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี่แหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพ้นโทษอันนี้ไปได้ ขอพระคุณเจ้าจงแผ่เมตตาให้สัตว์ผู้ยากไร้ด้วย เวลานี้ความทุกข์ท่วมทับไม่มีวันเวลา ขอความเอ็นดูแผ่เมตตาให้เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ทรมานที่กำลังได้รับอยู่นี้ด้วย

หลวงปู่เล่าว่า เมื่อท่านได้ฟังบุพพกรรมและได้ฟังความอ้อนวอนอย่างเวทนาเช่นนั้นจึงสำรวมจิตแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะได้รับหรือไม่ได้รับก็ไม่ทราบ เพราะกรรมของเขาหนักเหลือประมาณ แต่เมื่อตั้งใจแผ่เมตตาให้แล้ว เขาก็หายไป นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย เปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่เพราะพูดผมเป็น แต่เท่าที่ประสบมาพวกนี้เขามักใช้คำพูดแทนตนเองว่า “เรา หรือไม่ก็ ข้าพเจ้า” มีที่เชียงดาวนี้แหละที่พูดว้า “ผม” จึงนับว่าเปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







"สติเป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอ่อนคือจิต"

จิตของเราเปรียบอุปมาเด็กอ่อนแอทีเดียว เพราะเหตุนั้นแหละ สติเปรียบเหมือนพี่เลี้ยงก็เจ้าของของจิตนั่นแหละ เมื่อมันนึกขึ้นก็แม่น (= คือ) สตินี่แหละ

สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลงพบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนมันแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำให้มันสำเหนียกแล้ว มันก็จะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง

สติเป็นเครื่องตี คือตีสนิมของจิต ดวงจิตมีความหลงเรียกว่าอวิชชา จิตนั่นแหละมันหลง ความหลงคืออวิชชา ขี้สนิมมันก็อยู่กับอวิชชา คือที่มันหลงนั้นขี้สนิมโอบมัน แต่ก่อนจิตผ่องใส พระพุทธเจ้าจึงว่า จิตเดิมธรรมชาติเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส คือ รูป เสียงกลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายเข้ามาสัมผัสแล้ว มันจึงหลงไปตาม จึงเป็นเหตุให้จิตนั้นเศร้าหมองขุ่นมัวจึงไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงไป

ปัจจัยของอวิชชาความโง่เหมือนกันกับเหล็ก เหล็กนั้นมันก็ดีๆ อยู่นั่นแหละแต่สนิมก็เกิดขึ้นในเหล็กนั่นเอง เมื่อเขาตีสนิมออกแล้วจึงเป็นดาบคม ขัดเกลาแล้วจึงเป็นดาบคมใช้การได้ เมื่อไม่ตีมันก็อยู่อย่างนั้น จนขี้สนิมกินมากก็ใช้การไม่ได้ จิตของเราก็ดี อาศัยสติเป็นผู้ขัดผู้เกลา อาศัยสติเป็นผู้คุ้มครอง เชื่อสติเชื่อมั่น

อันที่จริงอาคันตุกะกิเลสก็ไม่เป็นปัญหาที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอกไม่เป็นปัญหา ข้อมูลรากเง่าของมันก็คือ กามาสวะ ภวาสวะ วิภวาสวะ อันนี้เป็นอนุสัยเป็นสนิมของมันเป็นสนิมหุ้มห่อจิตให้มืดมนอนธการ เช่นนี้แหละ เมื่อเราหัดสติทำสติให้ดีแล้ว สู้มีกำลังแล้ว จิตมันก็จะรู้เท่าต่อความเป็นจริง ครั้นมีสติแล้ว สัมปชัญญะ ความรู้ตัวพร้อมก็เจริญ สัมปชัญญะก็ดวงปัญญานั่นแหละญาณก็ว่า ปัญญาก็ว่า ความรู้ตัวพร้อมกับสติทั้งสองอย่างนี้เป็นคู่กัน พอสติระลึกขึ้นแล้ว สัมปชัญญะก็รู้ว่าผิดหรือถูก รู้พร้อม ถูกก็รู้พร้อม ผิดก็รู้พร้อม

เมื่อเราอบรมสติดีแล้ว มันจะมีกำลังความสามารถ สามารถทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถจะแทงตลอดได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าจะทำอันใดก็ดี คิดดูเถอะน่ะ เวลาไฟไหม้บ้านเขายังเกิดกำลัง สามารถหอบเอาของหนักๆ ออกจากไฟได้ หมดไฟไหม้แล้ว ไฟดับแล้ว สามสี่คนไปหามของนั้นก็ไม่ไหว จิตก็ปานนั้นแหละมีกำลังมาก เพราะเหตุนั้น เมื่อเราหัดดีแล้วเหาะได้เหมือนพระโมคคัลลาน์มุนีก็มี แล้วพวกเราสงสัยว่า เหาะก็คือท่านนั่งอยู่นี่แหละแล้วจิตท่านไปสวรรค์ไปนรกไปนั่นๆ ตัวท่านนั่งอยู่ที่นี่ อันนั้นก็แม่น แต่ว่าไปได้จริงๆ เหาะเอากายไปด้วย คิดดูเถอะ จะมัวกลัวอะไรกับตาย ให้พากันอบรมจิต

หลวงปู่ขาว อนาลโย




ปัจจัตตัง
"ผู้ที่รู้ธรรมย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง และวิญญูชน รู้ด้วยเฉพาะตัวเอง เหมือนว่า ร้อนเรารู้ หนาวเรารู้ เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ด้วย ทุกข์เรา ก็รู้อยู่คนเดียวของเรา คนอื่นจะมารู้ไม่ได้..

วิญญูชนรู้ได้ด้วยเฉพาะตนเอง ไม่ต้องไปวัดหรอก ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์มาวัดหรอก เขาจะวัดของเขาเอง ถ้าเขาหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เขาก็จะรู้ของเขาเองว่าหลุดพ้นแล้ว ไม่มีอะไรขัดข้องกับจิตใจ”

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป





คนจำนวนมากนับถือศาสนาเพียงเพื่อหวังจะหนีเคราะห์และขอโชค แต่ชาวพุทธแท้นับถือศาสนาเพื่อช่วยให้เราพัฒนาความสามารถที่จะเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค

พระพุทธศาสนามิใช่มีไว้เพื่อให้เราขอโชคและขอให้ช่วยหนีเคราะห์ แต่ประโยชน์ที่เราควรจะได้จากพระพุทธศาสนาก็คือความสามารถที่จะชนะเคราะห์และสร้างโชค ท่านสอนให้เรารู้จักเผชิญและจัดการกับเคราะห์ เพื่อให้ตัวเราเองพัฒนาดีขึ้น และรู้จักใช้โชคให้นำโชคยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย ไม่ใช่เอาแต่จะหนีเคราะห์ กลายเป็นคนอ่อนแอ จะถอยอยู่เรื่อย แล้วเวลามีโชคก็หลงระเริงเพลิดเพลินจนโชคหมดหายกลายเป็นเคราะห์ ไม่รู้จักพัฒนาโชคต่อไป



หนังสือ ตื่นเถิดชาวไทย
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
พิมพ์รวมเล่มครั้งที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ หน้า ๒๑


Kiss Kiss Kiss
จะว่าเป็นครูก็ได้ เพราะเมื่อสติมากกลายเป็นสมาธิ
เมื่อสมาธิมาก ปัญญาก็เกิด ปัญญาจะบอกเราว่าสิ่งนี้
เป็นกุศล และสิ่งนี้เป็นอกุศล สิ่งนี้ควรเสพ สิ่งนี้ควรละ

เจ้าของ:  eragon_joe [ 13 ก.พ. 2019, 22:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 18 ก.พ. 2019, 09:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

เจริญสติให้อยู่กับฐานให้มาก ฐานคือร่างกาย
ให้นำความรู้สึก ทำความรู้สึกตัวให้มาก ไม่ว่าจะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็ตาม ให้รู้ตัว มิควรส่ง
จิตออกนอกมาก อดีต อนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันให้
มากที่สุด เดินก็ให้รู้ว่า เดินมิใช่รู้ว่ากำลังเล่นมือถือ
อยู่ระวังจะเดินไปเตะโน้นนี่ หรือตกท่อน้ำ และอื่นๆ
ได้นะครับ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 18 ก.พ. 2019, 12:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

อันที่จริงหลักเขามีอยู่แล้ว ก็สติปัฏฐาน ๔ ข้อนั่นไง onion

บ้านเราพูดวนไปวนมา คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที แต่ไม่ลงมือทำกันสักที มรรคผลจึงไม่เกิด :b1: เหมือนเถียงกันเรื่องไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน คิกๆๆ

เจ้าของ:  โลกสวย [ 18 ก.พ. 2019, 15:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

sssboun เขียน:
เจริญสติให้อยู่กับฐานให้มาก ฐานคือร่างกาย
ให้นำความรู้สึก ทำความรู้สึกตัวให้มาก ไม่ว่าจะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็ตาม ให้รู้ตัว มิควรส่ง
จิตออกนอกมาก อดีต อนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันให้
มากที่สุด เดินก็ให้รู้ว่า เดินมิใช่รู้ว่ากำลังเล่นมือถือ
อยู่ระวังจะเดินไปเตะโน้นนี่ หรือตกท่อน้ำ และอื่นๆ
ได้นะครับ


จะนอกในต้องสัมพันธ์กันค่ะ
หนักใน นอกก็หลวม
หนักนอก ในก็กลวง
เดินเล่นมือถือ ก็ต้องรู้ว่าเดิน และเล่นมือถือ
อ่อนแข็งตึงไหว
รู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งนอกและใน

เจ้าของ:  โลกสวย [ 18 ก.พ. 2019, 15:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

กรัชกาย เขียน:
อันที่จริงหลักเขามีอยู่แล้ว ก็สติปัฏฐาน ๔ ข้อนั่นไง onion

บ้านเราพูดวนไปวนมา คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที แต่ไม่ลงมือทำกันสักที มรรคผลจึงไม่เกิด :b1: เหมือนเถียงกันเรื่องไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน คิกๆๆ

ลุงไม่รู้ เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออนุบาล

ไ ว่าไม้อะไรมาก่อน ไม่ใช่ไม้ม้วน เด้อค่ะ ถ้าไม้ม้วนเกิดมาก่อน เป็นใก้ ใข่ เด้อค่ะ


คริคริ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 18 ก.พ. 2019, 15:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

โลกสวย เขียน:
sssboun เขียน:
เจริญสติให้อยู่กับฐานให้มาก ฐานคือร่างกาย
ให้นำความรู้สึก ทำความรู้สึกตัวให้มาก ไม่ว่าจะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็ตาม ให้รู้ตัว มิควรส่ง
จิตออกนอกมาก อดีต อนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันให้
มากที่สุด เดินก็ให้รู้ว่า เดินมิใช่รู้ว่ากำลังเล่นมือถือ
อยู่ระวังจะเดินไปเตะโน้นนี่ หรือตกท่อน้ำ และอื่นๆ
ได้นะครับ


จะนอกในต้องสัมพันธ์กันค่ะ
หนักใน นอกก็หลวม
หนักนอก ในก็กลวง
เดินเล่นมือถือ ก็ต้องรู้ว่าเดิน และเล่นมือถือ
อ่อนแข็งตึงไหว
รู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งนอกและใน


พูดสะเห็นภาพมะตูมกับมะกอกเลย มะตูมอ่อนในแข็งนอก มะกอกอ่อนนอกแข็งใน

เจ้าของ:  โลกสวย [ 18 ก.พ. 2019, 15:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติเหมือนพี่เลี้ยง

กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
sssboun เขียน:
เจริญสติให้อยู่กับฐานให้มาก ฐานคือร่างกาย
ให้นำความรู้สึก ทำความรู้สึกตัวให้มาก ไม่ว่าจะ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็ตาม ให้รู้ตัว มิควรส่ง
จิตออกนอกมาก อดีต อนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันให้
มากที่สุด เดินก็ให้รู้ว่า เดินมิใช่รู้ว่ากำลังเล่นมือถือ
อยู่ระวังจะเดินไปเตะโน้นนี่ หรือตกท่อน้ำ และอื่นๆ
ได้นะครับ


จะนอกในต้องสัมพันธ์กันค่ะ
หนักใน นอกก็หลวม
หนักนอก ในก็กลวง
เดินเล่นมือถือ ก็ต้องรู้ว่าเดิน และเล่นมือถือ
อ่อนแข็งตึงไหว
รู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งนอกและใน


พูดสะเห็นภาพมะตูมกับมะกอกเลย มะตูมอ่อนในแข็งนอก มะกอกอ่อนนอกแข็งใน


อันนั้นยกตัวอย่างความไม่สมดุลย์กัน

ลุงกรัชกายคะ
ถ้าความสมดุลย์

ลุงน่าจะเปรียบว่า เหมือนมะเขือเผา ตน น่ะ ไกล้เคียงกว่า
เพราะอ่อนทั่งนอกทั้งใน

คริคริ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/