ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มนสิการ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57112 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 16 ก.พ. 2019, 14:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มนสิการ |
สาธุค่ะลุง |
เจ้าของ: | Love J. [ 16 ก.พ. 2019, 23:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มนสิการ |
Rosarin เขียน: Love J. เขียน: Rosarin เขียน: Love J. เขียน: Rosarin เขียน: Love J. เขียน: Rosarin เขียน: Love J. เขียน: อื้ม ประจักษ์แจ่มชัดอะไร ไม่เห็นทุกขสัจ เห็นสภาวะนั้น ออกจากสภาวะนั่นแล้วคิด ว่าเห็นประจักษ์แจ่มชัดมากกว่า แต่ตอน อยู่ในสภาวะนั้นไม่มีการโยนิโสมนสิการ ไม่มีการเห็นอริยสัจ 4 มีแต่เห็นดับวนไป ต้องมีตัวตนไปโค้งคำนับหรือคะ จิตเกิดดับทีละ1ทางไม่เป็นตัว เกิดแล้วดับแล้วจะเอาหัว ไปก้มแล้วคิดว่าน้อมรึ ต้องมีตัวตนไปเห็นว่าไม่ใช่ตัวใช่ตน อุปาทานเป็นทุกข์ควรละ แล้วก็มรรคจิต ผลจิต จากนั้นก็พิจารณากิเลสสังโยชน์ที่ยังเหลือ ต่อมา ก็ค่อย ๆ เห็นแนวทางปฏิบัติเพื่อทำนิโรธให้แจ้งครับ ไม่วน ตอนที่คุณเห็นสภาวะนั้นมีการพิจารณาอะไรบ้างมั้ยล่ะครับ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มั้ยมีการทำกิจประหารกิเลส รึเปล่า หรือสักว่าเห็นดับ ๆ ไปที่ละ 1 ขณะ ออกจากสภาวะ นั้นก็นึกเอาว่าตนเองรู้แจ้งอนัตตา สิ้นกิเลสตัณหาอุปาทาน คุณเลิฟเจเขียนว่าต้องมีตัวตนไปเห็นว่าไม่ใช่ตัวใช่ตน (ดิฉันนั่งกายหายมาแล้วก็ไม่ใช่ปัญญานี่คะ) บนนัั้นมันทำสมาธิหลับตาทำฌานไม่ใช่หรือคะเป็นสมาธิเจตสิก ทำถึงแปลงร่างได้แบบพระเทวทัตรึยังล่ะคะมิจฉาสมาธินะคะ หลับตาขาดจิตเห็นการจะมีการทำงานของจิตเห็นต้องลืมตา ถึงจะมีจักขุปสาทะรูปสภาพธัมมะของจิตเห็น3ประสานเป็น1 สีสะท้อนแสงเข้าไปในลูกตาดำกระทบในตาดำดับทันทีแล้ว หลังกระพริบตาเป็นจิตเห็นขณะใหม่แล้วตาไม่บอดไม่เก็ตรึ ใช่ครับมันจะเห็นขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์แง่ใดแง่หนึ่ง แล้วมันก็เห็นความหลงยึดมั่นเป็นเรา เป็นตัวตนเรา พอ เห็นดังนั้นมันก็รู้ทันทีว่าควรละใจสรุปดังนี้ จิตก็ทำกิจ ตามที่ใจได้สรุปหรือ มรรคจิต ผลจิต ผมไม่เคยนั่งหลับตาทำฌานอะไรมาก่อนเรื่องฌานผม ไม่รู้ ที่ผมเล่าไม่ใช่ตาเห็น ไม่เกี่ยวกับลืมตา หลับตา กระพริบตา ผมเห็นเป็นนิมิตทางใจ เพราะฉะนั้นผมไม่เห็นการกระทบกัน ของแสงสี ตาดำอะไรจะเกี่ยวกับมรรคผล มันก็ทำหน้าที่ตาม ธรรมชาติของมัน กิเลสมัยอยู่ที่ใจนี่ ที่ไม่มีคือปัญญาถึงเกิดมาต้องทำฟัง ทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครไปทำตัวจริงธัมมะตามเหตุปัจจัย ก็ทุกอย่างที่ปรากฏให้รู้ได้นั่นแหละคือนิมิต นิมิตคือการปรากฏรูปต่างๆทั้งสัจจะทั้งสมมุติ สัจจะคือปรมัตถ์ใครให้ไปรู้ถึงสีก็บอกว่าทรงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงตรงทีละ1สัจจะละเอียด เป็นอนูคือละอองเล็กทีละ1กลาปะไม่มีตัวตนคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ลืมตาเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันทีนั่นแหละคืออัตตานุทิฏฐิมีคนมีวัตถุมีสัตว์และสักกายทิฏฐิคือมีตัวคุณไงคะ ที่สำคัญคือที่กายใจตัวเองนั่นแหละจำผิดว่ามีตัวเข้าไม่ถึงสัจจะสีเป็นสีเป็นอารมณ์รู้สีอย่างเดียวไม่มีอะไรปน รูปารมณ์รู้จักไหมจิตรู้ได้ทีละ1และเดียวนี้กำลังเห็นผิดเป็นตัวเองเห็นคนสัตว์วัตถุเรียกคิดเห็นผิดขาดสุตะอยู่ ยอม จิตรู้อารมณ์ทีละ1สัจจะ รูปารมณ์คือจิตรู้รูปคือนามรู้รูป มีเฉพาะรูปนั้นรูปเดียวตรงทีละ1ทาง สีเป็นสีเกิดทางตาส่วนเห็นเป็นเห็นไม่ใช่สี เสียงเป็นเสียงเกิดทางหูส่วนได้ยินก็ไม่ใช่เสียง 3ประสานของจิตแต่ละ1ทางมีตัวจริงธัมมะเกิน3อย่าง คำสอนของพระพุทธเจ้าคือคำจริงตรงปัจจุบันขณะเดี๋ยวนี้ มีแล้วไม่ได้ทำสัจจะคือปรมัตถ์กำลังเกิดดับทีละ1แต่ละ1ไม่ซ้ำกันทุกขณะ ทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก่อนจิตออกจากร่างนี้เข้าใจไหมคะ ไม่ได้ทำ ไม่ถือเป็นกรรม ดับไปทีละ 1 ขณะผมเข้าใจ แต่มรรคเป็นการกระทำ ถือเป็นกรรม มีวิบากคือผล เคยเห็นอุปาทานขันธ์มั้ย เคยเห็นกิจที่ควรทำมั้ย เคย ทำกิจที่ควรทำมั้ย มันทำในสภาวะนั้นเลย ไม่ได้เห็น สภาวะแล้วมามโนเอาข้างนอก ทำแล้วก็รู้จักนิโรธ รู้ จักนิโรธแล้วก็ค่อย ๆ เห็นมรรคลำดับต่อไป |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |