ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57089
หน้า 3 จากทั้งหมด 15

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
อันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้ง หลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้า
ว่า พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้ เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้
ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ ทำดีทำชั่วไม่มี ท่านกัสสป ถ้าข้าพเจ้าจักสละคืนทิฐิ
อันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้า ได้ว่า พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติ
ถือสิ่งที่ผิด ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะ ความ
ตีเสมอบ้าง ฯ

[๓๒๗] ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญู
ชนในโลกนี้บางพวก ย่อมทราบเนื้อความของคำพูดด้วยอุปมา ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว
ชนบทแห่งหนึ่งตั้งขึ้นแล้ว ครั้งนั้น สหายผู้หนึ่ง เรียกสหายมาบอกว่า มาไปกันเถิดเพื่อน เรา
จักเข้าไปยังชนบทนั้น บางทีจะพึง ได้ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในชนบทนั้นบ้าง สหายคนที่สอง
รับคำของสหาย [คน ที่หนึ่ง] แล้ว เขาทั้งสองเข้าไปยังชนบท ถึงถนนในบ้านแห่งหนึ่งแล้ว

ได้เห็น เปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายที่ตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้วสหาย [คนที่หนึ่ง] ได้บอก
สหาย [คนที่สอง] ว่า สหาย นี้เปลือกป่านเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจง ผูกเอาเปลือก
ป่านไปมัดหนึ่ง และฉันจักผูกเอาเปลือกป่านไปมัดหนึ่ง เราทั้งสอง จักถือเอามัดเปลือกป่านไป
สหายคนที่สองรับคำสหายคนที่หนึ่งแล้ว ผูกเอา เปลือกป่านไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้นถือเอา
มัดเปลือกป่านเข้าไปมัดหนึ่ง สหายทั้งสองนั้นถือเอามัดเปลือกป่านเข้าไปยังถนนในบ้าน อีกแห่ง
หนึ่ง


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
ได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ในตำบลบ้านนั้น ครั้นแล้วสหาย คนที่หนึ่งจึงบอก
สหายคนที่สองว่า สหาย เราจะปรารถนาเปลือกป่านเพื่อประโยชน์ อันใด นี้ด้ายป่าน ซึ่งเขาทิ้งไว้
มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เถิด และฉันก็จักทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เรา
ทั้งสองจักถือเอามัดด้ายป่านไป สหาย คนที่สองตอบว่า สหาย มัดเปลือกป่านนี้ เราเอามาไกล
แล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจงทราบเถิด ฯ

ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งทิ้งมัดเปลือกป่านเสียแล้วถือเอามัดด้ายป่านไป สหาย
ทั้งสองนั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มาก มายที่ตำบลบ้านนั้น
ครั้นแล้วสหายคนที่หนึ่งบอกสหายคนที่สองว่า สหาย เราจะปรารถนาเปลือกป่านหรือด้าย
ป่านเพื่อประโยชน์อันใด เหล่านี้ผ้าป่าน ซึ่งเขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่าน
เสียเถิด และฉันก็จัก ทิ้งมัดด้ายป่านเสีย เราทั้งสองจักถือเอามัดผ้าป่านไป สหายคนที่สองตอบ
ว่า สหาย มัดเปลือกป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละ ขอท่านจง ทราบ
เถิด ฯ

ลำดับนั้น สหายคนที่หนึ่งนั้น ทิ้งมัดด้ายป่านแล้ว ถือมัดผ้าป่านไป สหายทั้งสอง
นั้นเข้าไปยังถนนในบ้านอีกแห่งหนึ่ง ได้เห็นเปลือกไม้โขมะ ได้เห็น ด้ายเปลือกไม้โขมะ ได้เห็น
ผ้าเปลือกไม้โขมะ ได้เห็นลูกฝ้าย ได้เห็นด้ายฝ้าย ได้ เห็นผ้าฝ้าย ได้เห็นเหล็ก ได้เห็นโลหะ
ได้เห็นดีบุก ได้เห็นสำริด ได้เห็นเงิน ได้เห็นทอง ที่เขาทิ้งไว้มากมายในถนนในบ้านนั้น ครั้น

แล้วสหายคนที่หนึ่งจึงบอก สหายคนที่สองว่า สหาย เราจะปรารถนาประโยชน์อันใดกับ
เปลือกป่านหรือด้าย ป่าน หรือผ้าป่าน หรือเปลือกไม้โขมะ หรือด้ายเปลือกไม้โขมะ หรือผ้า
เปลือกไม้ โขมะ หรือลูกฝ้าย หรือด้ายฝ้าย หรือผ้าฝ้าย หรือเหล็ก หรือโลหะ หรือดีบุก หรือ
สำริด หรือเงิน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้นท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เถิด และฉัน
ก็จักทิ้งห่อเงินเสีย เราทั้งสองจักถือเอาห่อทองไป สหายคนที่สอง ตอบว่า สหาย มัดเปลือก


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
ป่านนี้เราเอามาไกลแล้ว ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอา ละ ขอท่านจงทราบเถิด ฯ
ลำดับนั้น สหายนั้นทิ้งห่อเงิน ถือเอาห่อทองไป สหายทั้งสองนั้นเข้า ไปยังบ้านของ
ตนๆ แล้ว ในเขาทั้งสองนั้น สหายผู้ถือเอามัดเปลือกป่านไป มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร
อำมาตย์ หาได้พากันยินดีไม่ และเขาไม่ได้รับความ สุขโสมนัสซึ่งเกิดจากเหตุที่ได้จากเปลือก
ป่านนั้นมา ส่วนสหายที่ถือเอาห่อทองไป นั้น มารดา บิดา บุตร ภริยา มิตร อำมาตย์ พา

กันยินดี และเขายังได้รับความ สุขโสมนัสซึ่งเกิดจากเหตุที่ถือเอาห่อทองนั้นมา ฯ
ดูกรบพิตร บพิตรก็อย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะปรากฏเหมือนบุรุษผู้ถือ มัดเปลือกป่าน
ขอบพิตรจงทรงสละคืนทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ขอบพิตรจงทรง ปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสีย
เถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร เพื่อมิใช่ ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนานเลย ฯ

[๓๒๘] ด้วยข้อความอุปมาข้อก่อนๆ ของท่านกัสสป ข้าพเจ้าก็มีความ พอใจยินดี
ยิ่งแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้าใคร่จะฟังปฏิภาณในการแก้ปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงพยายามโต้แย้งคัดค้าน
ท่านกัสสปอย่างนั้น ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของ ท่านแจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ
ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก เปรียบ เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลง
ทาง หรือส่องประ ทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด ท่านกัสสปประกาศ

ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้ขอ ถึงพระผู้มีพระภาค
ผู้โคดม พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอท่านกัสสป จงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึง
สรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะบูชา


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
มหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชา ยัญ อันจะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน ฯ
ดูกรบพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ต้องได้รับ
ความพินาศ และปฏิคาหก เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด
พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผล ใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรือง
ใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่ เปรียบ เหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่านพืชที่หัก
ที่เสีย ถูกลมและ แดดแผดเผาแล้ว อันไม่มีแก่น ยังไม่แห้งสนิท ลงในนาไร่อันเลว ซึ่งเป็น
พื้น ที่ไม่ดี มิได้แผ้วถางตอและหนามให้หมด ทั้งฝนก็มิได้ตกชะเชย โดยชอบตามฤดู กาล พืช
เหล่านั้นจะพึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับ ผลอันไพบูลย์หรือ ฯ
หาเป็นอย่างนั้นไม่ ท่านกัสสป ฯ

ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่า สัตว์
ต่างๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจา ผิด การงานผิด
เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มี ผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่
ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่ ฯ

ดูกรบพิตร ส่วนยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่
ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ
เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่ เปรียบเหมือนชาวนาถือเอาพืชและไถไปสู่ป่า เขาพึงหว่าน
พืชที่ไม่หัก ไม่เสีย ไม่ถูกลมแดดแผดเผา อันมีแก่น แห้งสนิท ลงในนาไร่อันดี เป็นพื้นที่ดี
แผ้ว ถางตอและหนามหมดดีแล้ว ทั้งฝนก็ตกชะเชยโดยชอบตามฤดูกาล พืชเหล่านั้น จะพึงถึง


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
ความเจริญงอกงามไพบูลย์หรือหนอ ชาวนาจะพึงได้รับผลอันไพบูลย์หรือ ฯ
เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสป ฯ
ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตร ยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือ เหล่าสัตว์
ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริ ชอบ เจรจาชอบ การ
งานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์
ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่ ฯ

[๓๒๙] ลำดับนั้น เจ้าปายาสิ เริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง
วณิพกและยาจกทั้งหลาย แต่ในทานนั้นเธอได้ให้โภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำ
ผักดองเป็นกับข้าว และได้ให้ผ้าเนื้อหยาบ มีชายขอดเป็น ปมๆ และมาณพชื่ออุตตระ เป็น
เจ้าหน้าที่ในทานนั้น เขาให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิ
ในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกันในโลก หน้าเลย เจ้าปายาสิได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว รับสั่งให้
เรียกอุตตรมาณพมาแล้ว ได้ตรัสว่า พ่ออุตตระ ได้ยินว่า เธอให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ทุกครั้งว่า
ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกันในโลกหน้าเลย ดังนี้
หรือ ฯ

อย่างนั้น พระองค์ ฯ
พ่ออุตตระ ก็เพราะเหตุไร เธอให้ทานแล้ว จึงอุทิศอย่างนั้นเล่า พ่ออุตตระ พวก
เราต้องการบุญ หวังผลแห่งทานแท้ๆ มิใช่หรือ ฯ
ในทานของพระองค์ยังให้โภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดอง เป็นกับข้าว


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงบริโภค อนึ่งเล่า ผ้าก็เนื้อหยาบ
มีชายขอดเป็นปมๆ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้อง แม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงนุ่งห่ม
พระองค์เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของพวก ข้าพระพุทธเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รัก
เป็นที่พอใจไปด้วยสิ่ง ไม่เป็นที่พอใจอย่างไรได้ ฯ

พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เราบริโภคโภชนะชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่ง โภชนะชนิดนั้น
เป็นทาน เรานุ่งห่มผ้าชนิดใด เธอจงเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดนั้นเป็นทาน อุตตรมาณพ รับพระดำรัส
เจ้าปายาสิแล้ว เริ่มตั้งไว้ซึ่งโภชนะชนิดที่เจ้าปายาสิเสวย และเริ่มตั้งไว้ซึ่งผ้าชนิดที่เจ้าปายาสิ
ทรงนุ่งห่ม เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิมิได้ทรงให้ ทานโดยเคารพ มิได้ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์
พระองค์เอง มิได้ทรงให้ทานโดย ความนอบน้อม ทรงให้ทานอย่างทิ้งให้ ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว

เข้าถึงความเป็น สหายกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช คือ ได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ส่วน
อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทาน ด้วยมือของตน
ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ คือถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ฯ

[๓๓๐] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระควัมปติเถระไปพักกลางวันยังเสรีสก วิมานอันว่างเปล่า
เนืองๆ ลำดับนั้น ปายาสิเทวบุตรเข้าไปหาท่านควัมปติถึงที่อยู่ แล้วอภิวาท ยืนอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ท่านควัมปติได้กล่าวถามปายาสิเทว บุตรว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ ฯ


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า ไม่มี
เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ ฯ
เป็นความจริง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ เหตุนี้ โลก
หน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี แต่ว่า พระผู้เป็น
เจ้ากุมารกัสสปได้ไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฐิอันลามก นั้นแล้ว ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของท่าน ไปเกิด ที่ไหน ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของข้าพเจ้านั้น ให้ ทานโดย
เคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทาน อย่างทิ้งให้ เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วม กับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ส่วนข้าพเจ้า
มิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วย มือของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม ให้ทานอย่าง

ทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ก็เข้าถึงซึ่งความอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือ
ได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ท่านควัมปติผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปยังมนุษยโลก แล้ว
โปรดบอกอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของ ตน จงให้ทานโดย
ความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิมิได้ให้ ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือ

ของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ส่วนอุตตร
มาณพ ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้นให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน


:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 18:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

Quote Tipitaka:
ให้ ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ
ลำดับนั้น ท่านควัมปติมาสู่มนุษยโลกแล้ว ได้บอกอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงให้ทาน
โดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน จงให้ทานโดยความนอบน้อม จง อย่าให้ทานอย่างทิ้งให้
เจ้าปายาสิมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของ ตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้
ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เข้าถึงความอยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช
คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะ อันว่างเปล่า ส่วนอุตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น
ให้ทาน โดยความเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ ทานอย่างทิ้ง
ให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ฯ
จบ ปายาสิราชัญญสูตร ที่ ๑๐


อ่านจบแล้วท่านได้อะไรบ้างรู้อะไรบ้าง หากยังมิเข้า
ใจก็อ่านอีกรอบ หรืออีกหลายรอบได้ก็ ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับ

:b8:

เจ้าของ:  sssboun [ 02 ก.พ. 2019, 20:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

หากกำลังพื้นฐานของชีวิตท่านยังมีไม่พอก็
สามารถฟังได้จากที่นี้ครับ หรือจะค้นหาด้วยหัว
ข้อนั้นๆเพื่อสิ่งที่ท่านชอบและเสียงที่ท่านชอบไป
ฟังก่อนได้ครับ เพื่อสะสมปัญญา ศรัทธา วิริยะเพิ่ม



https://www.youtube.com/watch?v=qwYyfCquqKU

:b8:

เจ้าของ:  Rosarin [ 02 ก.พ. 2019, 22:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

cool
ตอนรู้และเข้าใจนั้นไม่สงสัย
ตอนสงสัยน่ะคือไม่รู้คือมีกิเลส
ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแปลว่ามีอวิชชา
onion onion onion

เจ้าของ:  sssboun [ 03 ก.พ. 2019, 06:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

Rosarin เขียน:
cool
ตอนรู้และเข้าใจนั้นไม่สงสัย
ตอนสงสัยน่ะคือไม่รู้คือมีกิเลส
ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแปลว่ามีอวิชชา
onion onion onion

:b8:

ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยนี้ หากฟัง สอบถาม
และพิจารนาเพิ่มก็มีความสามารถเข้าใจได้
แต่อวิชชานั้นผมคิดว่า คือความไม่รู้ตามความ
เป็นจริง และสภาพความเป็นจริง ไม่ยอมรับความ
จริง บิดเบือนความจริง ไม่รู้สึกตัว ชึ่งต่างกับไม่เข้าใจครับ

:b8:

เจ้าของ:  Rosarin [ 05 ก.พ. 2019, 17:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ตอนรู้และเข้าใจนั้นไม่สงสัย
ตอนสงสัยน่ะคือไม่รู้คือมีกิเลส
ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแปลว่ามีอวิชชา
onion onion onion

:b8:

ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยนี้ หากฟัง สอบถาม
และพิจารนาเพิ่มก็มีความสามารถเข้าใจได้
แต่อวิชชานั้นผมคิดว่า คือความไม่รู้ตามความ
เป็นจริง และสภาพความเป็นจริง ไม่ยอมรับความ
จริง บิดเบือนความจริง ไม่รู้สึกตัว ชึ่งต่างกับไม่เข้าใจครับ

:b8:

:b12:
ทั้งวันเห็นผิดคิดไปตามความเห็นของตนเองมากกว่าคิดตามตอนกำลังฟังใช่ไหมคะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยคิดตามเสียงคนอื่นบอกทีละคำตรงทางทีละ1ขณะ
คำไหนเข้าใจก็สะสมปัญญาคำไหนลืมฟังหรือคิดเรื่องอื่นจิตวอกแวกก็สะสมอวิชชาแล้วค่ะ
:b16: :b16:
เขาถึงมีคำพูดว่าจิตเหมือนลิง

เจ้าของ:  Rosarin [ 05 ก.พ. 2019, 17:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ตอนรู้และเข้าใจนั้นไม่สงสัย
ตอนสงสัยน่ะคือไม่รู้คือมีกิเลส
ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแปลว่ามีอวิชชา
onion onion onion

:b8:

ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยนี้ หากฟัง สอบถาม
และพิจารนาเพิ่มก็มีความสามารถเข้าใจได้
แต่อวิชชานั้นผมคิดว่า คือความไม่รู้ตามความ
เป็นจริง และสภาพความเป็นจริง ไม่ยอมรับความ
จริง บิดเบือนความจริง ไม่รู้สึกตัว ชึ่งต่างกับไม่เข้าใจครับ

:b8:

:b12:
ทั้งวันเห็นผิดคิดไปตามความเห็นของตนเองมากกว่าคิดตามตอนกำลังฟังใช่ไหมคะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยคิดตามเสียงคนอื่นบอกทีละคำตรงทางทีละ1ขณะ
คำไหนเข้าใจก็สะสมปัญญาคำไหนลืมฟังหรือคิดเรื่องอื่นจิตวอกแวกก็สะสมอวิชชาแล้วค่ะ
:b16: :b16:
เขาถึงมีคำพูดว่าจิตเหมือนลิง

ลืมตาดูฟังคำสอนขณิกะสมาธิต้องมั่นคงมากใช้สมาธิมากอย่างยิ่งยวด
https://youtu.be/N1mAwbaCnd0

เจ้าของ:  sssboun [ 05 ก.พ. 2019, 18:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

:b8:

(ต่อ)

เมื่อยังไม่ลงมือปฏิบัติก็ย่อมจะมากไปด้วยความ
สงสัย แม้จะหาทางพิสุตรแต่ก็สามารถที่จะกระทำให้
รู้แจ้งเห็นจริงได้เพราะกระทำไม่ถูกวิธี

:b8:

เจ้าของ:  Rosarin [ 05 ก.พ. 2019, 19:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้มากด้วยความสงสัย และทิฐิ

Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ตอนรู้และเข้าใจนั้นไม่สงสัย
ตอนสงสัยน่ะคือไม่รู้คือมีกิเลส
ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแปลว่ามีอวิชชา
onion onion onion

:b8:

ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยนี้ หากฟัง สอบถาม
และพิจารนาเพิ่มก็มีความสามารถเข้าใจได้
แต่อวิชชานั้นผมคิดว่า คือความไม่รู้ตามความ
เป็นจริง และสภาพความเป็นจริง ไม่ยอมรับความ
จริง บิดเบือนความจริง ไม่รู้สึกตัว ชึ่งต่างกับไม่เข้าใจครับ

:b8:

:b12:
ทั้งวันเห็นผิดคิดไปตามความเห็นของตนเองมากกว่าคิดตามตอนกำลังฟังใช่ไหมคะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยคิดตามเสียงคนอื่นบอกทีละคำตรงทางทีละ1ขณะ
คำไหนเข้าใจก็สะสมปัญญาคำไหนลืมฟังหรือคิดเรื่องอื่นจิตวอกแวกก็สะสมอวิชชาแล้วค่ะ
:b16: :b16:
เขาถึงมีคำพูดว่าจิตเหมือนลิง

ลืมตาดูฟังคำสอนขณิกะสมาธิต้องมั่นคงมากใช้สมาธิมากอย่างยิ่งยวด
https://youtu.be/N1mAwbaCnd0

:b12:
ขณะที่ไม่ได้ตั้งใจฟังพระธรรม
ขณะนั้นมีความมั่นใจในตัวตน
ที่คิดจะไปทำตามใจอยากทำ
ลืมตั้งจิตไว้ชอบในการฟังค่ะ
ประมาทการฟังแม้ขณะเดียว
อวิชชาเพิ่มมากกว่าปัญญา
จะทำปัญญาตามลำดับนะคะ
ไม่เริ่มต้นที่สุตมยปัญญาหาได้ไม่
https://youtu.be/N1mAwbaCnd0
:b16:
:b17: :b17:

หน้า 3 จากทั้งหมด 15 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/