วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 212 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๒
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่ว่าพระโพธิสัตว์ก่อน
แต่จะมาเกิดในมนุษยโลก ย่อมมีมารดาบิดาและอัครสาวกเป็นต้น เกิดกับสำหรับ
กันไว้แล้วนั้นจริงหรือ

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร จริง
ม. ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนเธอจึงว่าเมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตพิภพทรงเลือก
ตระกูล (ในหนังสือปฐมสมโพธิ์กล่าวว่าทรงเลือก ๕ อย่างคือกาล ๑ ทวีป ๑
ประเทศ ๑ ตระกูล ๑ พระชนนี ๑ เรียกบวกว่า ปัญจมหาวิโลกนะฯ แต่ในที่นี้
ท่านว่าไว้ ๘ อย่างคือ เติมอายุ, เดือน, เนกขัมมะ, เข้ามาประสมกับ ๕ อย่าง
ข้างต้นนั้นด้วย) เลือกพระชนนีเป็นต้นเล่าจะมิแย้งกันหรือ

น. ไม่แย้ง ธรรมดาบุคคล ๘ จำพวกนี้ ก่อนแต่จะทำการตามหน้าที่ของตน
จะต้องใคร่ครวญเสียก่อน จึงจะจัดทำถูกขอถวายพระพร บุคคล ๘ จำพวกนั้นคือ :-
๑) พ่อค้าก่อนแต่จะซื้อขาย ก็ต้องตรวจดูสินค้าเสียก่อน
๒) ช้างเมื่อเดินไปถึงทางที่ตัวยังไม่เคยเดิน ก็เอางวงสอบสวนทางดูก่อน
๓) พ่อค้าเกวียนตัองตรวจดูท่าเกวียนที่ตนยังไม่เคยไปถึง
๔) ต้นหนต้องสังเกตฝั่งที่ตนยังไม่เคยผ่านไป

๕) หมอก่อนแต่จะรักษา ต้องตรวจดูอาการของคนไข้ก่อน
๖) คนจะเดินข้ามสะพานก็ต้องใคร่ครวญดูก่อน เช่นเดียวกัน
๗) พระภิกษุจะบริโภคอาหารต้องพิจารณาเสียก่อน
๘. พระโพธิสัตว์เมื่อจะลงสู่ครรภ์ ต้องตรวจดูตระกูลเป็นต้นก่อน
ขอถวายพระพร เพราะมีเหตุผลดังได้ทูลมานี้แล เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ใน
ดุสิตพิภพจึงเลือกตระกูลเป็นต้นก่อน
ม. เข้าใจละ
จบโพธิสัตตธัมมตาปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๓
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้
พระภิกษุกระทำอัตตวินิบาต การฆ่าตัวตายมิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล
ม. ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนเธอจึงว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม เพื่อจะตัด
ความเกิดความตายเล่า

น. ขอถวายพระพร เพราะมีเหตุผลต่างกัน คือการที่พระองค์ทรงบัญญัติ
ห้ามมิให้พระภิกษุกระทำอัตตวินิบาตนั้น ก็ด้วยมีพระพุทธประสงค์จะทรง
อนุเคราะห์หมู่ชน มิให้พากันเสื่อมเสียจากคุณงามความดีซึ่งจะได้จากพระ
สงฆ์ เพราะว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลกส่วนเหตุที่ทรงแสดง
ธรรมเพื่อจะตัดความเกิดความแก่ความตายนั้น ก็เพราะทรงเห็นว่า ความเกิด

เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ความโศกความร่ำไรรำพัน เมื่อตัดความเกิด
อันเป็นต้นเหตุเสียได้แล้ว ก็ชื่อว่าได้กำจัดความทุกข์ทั้งหลายเสียสิ้น มีแต่
ประสบความสุขอย่างยอดเยี่ยมเท่านั้น ขอถวายพระพร เพราะมีเหตุมีผล
ต่างกันอยู่ฉะนี้ จึงได้ตรัสไว้เช่นนั้น
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบอัตตวินิปาตนปัญหา

ปัญหาที่ ๔
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน เมตตาพรหมวิหารมีอานิสงส์
เท่าไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า มี ๑๑ ประการ คือ (๑) นอนเป็นสุข, (๒) ตื่นก็เป็นสุข,
(๓) ฝันดีเป็นมงคล, (๔) เป็นที่รักใคร่ของหมู่มนุษย์, (๕) เป็นที่รักของพวกอมนุษย์,
(๖)เทวดาย่อมรักษา, (๗) เพลิงหรือพิษหรือสัตราวุธย่อมไม่ตกต้อง, (๘) จิตย่อมมั่นคง,
(๙) ผิวหน้าผ่องใส, (๑๐) จะตายก็มีสติ, (๑๑) ถ้ายังไม่ได้บรรลุมรรคผลก็ไปเกิดยัง
พรหมโลก

ม. อานิสงส์ ๑๑ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแจงไว้หรือ
น. ขอถวายพระพร
ม. ถ้าเช่นนั้น สามกุมาร (สุวรรณสาม) ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหารอยู่เนืองๆ
แต่ก็เหตุไฉน จึงถูกลูกศรของปิลิยักษ์ล้มสลบอยู่กับที่เล่า
น. เป็นเพราะในขณะนั้นพระสามะประมาทมิได้เจริญเมตตาพรหมวิหาร และ
เหตุที่ท่านเผลอไปดังนั้น ก็เพราะความเมื่อยล้าซึ่งต้องเที่ยวเดินแสวงหาผลไม้มา
เลี้ยงบิดามารดา ขอถวายพระพร เหตุนี้แลท่านจึงถูกยิง

ม. เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง
น. ลูกศรที่ข้าศึกยิงมา จะป้องกันมิให้ถูกตัวได้ก็เฉพาะเวลาสวมเกราะไว้มิใช่หรือ
ม. ก็อย่างนั้นสิเธอ ถ้าไม่สวม เขายิงมาเมื่อใดก็เป็นอันตรายเมื่อนั้น
น. ขอถวายพระพร เมตตาพรหมวิหารก็เป็นเหมือนเกราะนั้นแล จะเกิดผลตาม
ที่พระพุทธองค์ตรัสแจงไว้นั้นได้ก็ต่อเมื่อเจริญเป็นจิตตภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ถ้า
ประมาทละเลยเสีย เมตตาพรหมวิหารก็ไม่มีกระแสพอที่จะต้านทานอันตรายนั้นๆ

ไว้ได้ ขอถวายพระพรตามเรื่องปรากฏว่า พระเจ้าปิลิยักษ์มีพระอัธยาศัยโปรดการ
ล่าสัตว์ยิงเนื้อเสวยอยู่เนืองๆ ครั้นมาทอดพระเนตรเห็นพระสามะเดินแบกหม้อน้ำ
มาตักน้ำพร้อมด้วยฝูงเนื้อ ก็หลากพระหฤทัยทรงพระดำริว่า ต้องยิงให้หนีไม่ได้
จึงจะมีโอกาสถามเรื่องราวได้ตลอด ขอถวายพระพร เมื่อท้าวปิลิยักษ์จะทรงปล่อย
ลูกศรยิงพระสามะนั้น ประจวบกับขณะที่พระสามะประมาททิได้เจริญเมตตา
พรหมวิหารซึ่งเป็นขณะที่เมตตาจิตมีกระแสน้อยลง มีกำลังไม่พอที่จะดึงดูด
พระนิสัยอันทารุณนั้นให้จางลงได้

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขอถวายพระพร เหตุดังทูลมานี้แล พระสามะจึงถูกลูกศรสลบอยู่กับที่
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบเมตตานิสังสปัญหา

ปัญหาที่ ๕
พระเจ้ามิลนท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ความดีกับความชั่วให้ผลเสมอ
กันไปหรือให้สูงให้ต่ำกว่ากัน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ความดีมีผลเป็นสุข ให้เกิดในฐานะ
สูง ความชั่วมีผลเป็นทุกข์ ให้เกิดในฐานะต่ำ

ม. ถ้าเป็นอย่างนั้น ไฉนพระเทวทัตซึ่งปรากฏว่า เป็นผู้กระทำความชั่วจ้อง
ล้างผลาญ พระโพธิสัตว์เจ้าตลอดกาลจึงมียศศักดิ์ตระกูลและสมบัติเท่าเทียม
พระโพธิสัตว์ หรือบางคราวสูงยิ่งกว่า เช่นชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นบุตร
ปุโรหิต แต่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรคนจัณฑาลนี่เธอจะว่าอย่างไร

น. ขอถวายพระพร พระเทวทัตใช่ว่าจะกระทำแต่ความชั่วอย่างเดียวหามิได้
ความดีทั้งหลายก็ปรากฏว่าได้กระทำมาในชาตินั้นๆ มีอาทิเช่น ให้กระทำการ
อารักขาทั่วไปในชนบท ให้คนทำสะพานและโรงทานเป็นต้น ขอถวายพระพร
การที่พระเทวทัตได้มียศศักดิ์ตระกูลและสมบัติในชาตินั้น ๆ ก็เพราะความดี
ทั้งหลายตามมาให้ผลส่วนความชั่วคือการผูกพยาบาทในพระโพธิสัตว์นั้น
นานๆ พระเทวทัตจึงจะมีโอกาสกระทำได้สักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุว่ามิได้

เกิดร่วมกาลเทศะกันทุกๆ ชาติไป ขอถวายพระพร เหล่าสัตว์ย่อมไหลไปตาม
กระแสแห่งสังสารวัฏ บางชาติก็เกิดมาพบผู้ที่รักใคร่กัน บางชาติก็เกิดมาพบ
ผู้ที่เกลียดกัน เปรียบเหมือนกระแสน้ำย่อมพัดสิ่งที่สะอาดบ้าง สิ่งที่ไม่สะอาด
บ้างลอยไปฉะนั้น
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบกุสลากุสลการิสุสสมาสมปัญหา

ปัญหาที่ ๖
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่ว่าสตรีเมื่อได้ขณะได้
ที่ลับได้ชายผู้ประโลม ที่สุดคนเปลี้ยย่อมกระทำมิจฉาจาร นั้นมีกล่าวไว้จริงหรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร จริง
ม. ก็ถ้าอย่างนั้น นางอมราผู้เป็นภรรยาพระมโหสถครั้งเมื่อสามีนำไปฝากไว้
บ้านอื่น และเมื่อคราวอยู่ในที่ลับ ทั้งมีชายมาประโลมด้วยทรัพย์พันกหาปณะ
ไฉนจึงปรากฏว่านาง มิได้กระทำมิจฉาจารเล่า

น. ขอถวายพระพร เหตุว่านางอมรานั้นกลัวคำครหากลัวภัยในนรก กลัว
ผลเผ็ดร้อนแห่งบาปกรรม ทั้งยังรักยังเคารพพระมโหสถผู้สามีอยู่ ก็เมื่อนาง
ยังมีความละอายความเกรงกลัวต่อบาปแนบอยู่ในใจเสมอเช่นนี้ จะจัดว่า
นางได้ขณะอย่างไร ถึงที่ลับก็จัดว่านางไม่ได้ เพราะนางเห็นว่าเมื่อมนุษย์
ไม่เห็น อมนุษย์หรือเทวดา หรือบัณฑิตผู้รู้จิตผู้อื่นก็ย่อมรู้ย่อมเห็น แม้ชาย
ผู้ประโลมนางก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่านิสัยของนางจะต้องหาชายที่
ประกอบไปด้วยคุณสมบัติอย่างพระมโหสถ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขอถวายพระพร พระมโหสถนั้นทรงมีคุณสมบัติถึง ๒๘ ประการ คือ ๑)
เป็นคนกล้า, ๒) มีความละอายต่อบาป, ๓) มีความกลัวต่อบาป, ๔) มีญาติ, ๕)
ถึงพร้อมด้วยมิตร, ๖) อดทน, ๗) มีศีล, ๘) กล่าวคำจริง, ๙) มีกายใจสะอาด,
๑๐) ไม่โกรธง่าย, ๑๑) ไม่มีมานะเย่อหยิ่ง, ๑๒) ไม่มีความริษยา, ๑๓) มีความเพียร,
๑๔) เป็นคนก่อสร้างบารมี, ๑๕) เป็นคนชอบการสงเคาระห์, ๑๖) ชอบให้ทาน,

๑๗) พูดอ่อนหวาน, ๑๘) ประพฤติยำเกรง, ๑๙) อ่อนโยน, ๒๐) ไม่โอ้อวด,
๒๑)ไม่มีมายา, ๒๒) ฉลาด, ๒๓) มีเกียรติคุณดีงาม,๒๔) มีความรู้, ๒๕)
มีเมตตากรุณาจิต, ๒๖)ชนทั้งหลายย่อมปรารถนา, ๒๗) มีทรัพย์, ๒๘) มียศ
ขอถวายพระพร ก็เมื่อนางอมราไม่ได้ทั้งขณะที่ลับทั้งชายผู้ประโลม
ที่ต้องใจเช่นนี้แล้วไหนเลยนางจะกระทำมิจฉาจารได้เล่า
ม. เข้าใจละ
จบอมราเทวีปัญหา

ปัญหาที่ ๗
พระเจ้ามิลนท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
พระอรหันต์ย่อมไม่มีความสะดุ้งหวาดกลัวอะไร ฉะนี้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง

ม. ก็เหตุไรเล่า เมื่อพระอรหันต์ ๕๐๐ เห็นช้างนาลาคีรีซึ่งถูกมอมด้วยเหล้า
วิ่งเข้ามาหาพระพุทธเจ้า จึงพากันทอดทิ้งพระพุทธองค์ไปเสียหมดเล่า ปรากฏว่า
เหลือแต่พระอานนท์อยู่รูปเดียว (เรื่องนี้ปรากฏในจุลหํสชาดก (อสีตินิบาต) ว่า
เมื่อช้างนาลาคิรีวิ่งตรงมายังพระพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวกมีพระสารีบุตร
เป็นต้น ต่างกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ธรรมดากิจที่เกิดขึ้นแก่บิดาย่อมเป็นภาระ

ของบุตร ฉะนั้นข้าพระองค์จะขอทรมานช้างนาลาคิรีแทน แต่พระพุทธเจ้าตรัส
ห้ามเสียฯ ลำดับนี้พระอานนท์ซึ่งยังเป็นเสขบุคคลอยู่ วิตกด้วยกลัวช้างจะมาขยี้
พระพุทธเจ้าจึงออกไปยืนอยู่เบื้องพระพักตร ยอมสละชีวิตแทนถวาย ที่สุดพระ
พุทธเจ้าก็ให้พระอานนท์ถอยหลังมาเสีย) เท่านั้น

น. ขอถวายพระพร การที่พระอรหันต์ทั้งหลายหลักไปเสียดังนั้น มิใช่เป็นด้วย
ท่านมีความสะดุ้งหรือหวาดกลัวช้างนาลาคิรีเพราะพระอรหันต์ท่านตัดเหตุปัจจัย
แห่งความสะดุ้งหวาดกลัวได้เด็ดขาดแล้ว เปรียบเหมือนแผ่นดินแม้ใครจะขุด
จะทำลาย ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งหรือหวาดกลัวต่อการกระทำนั้นๆ ฉะนั้น ขอถวายพระพร
เหตุที่ทำให้พระอรหันต์ทั้งหลายหลีกไปเสียดังนั้นก็เพราะท่านเห็นว่า วันนี้พระ

อานนท์ จักมีโอกาสแสดงความภักดีในพระพุทธเจ้าให้ปรากฏแก่ประชาชนผู้มา
ประชุมพร้อมกันในที่นั้นแล้วหมู่ชนจักได้ฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุมรรคผล
ตามอุปนิสัยสามารถของตนๆ
ม. เธอฉลาดว่า
จบขีณาสวอภายนปัญหา

สันถวปัญหาที่ ๘
ปัญหานี้มีข้อความอย่างเดียวกันกับปัญหาที่ ๖ วรรคที่ ๔
ปัญหาที่ ๙
ปัญหานี้มีข้อความอย่างเดียวกันกับปัญหาที่ ๑๐ วรรคที่ ๔
ปัญหาที่ ๑๐
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์มีอยู่ว่า เราตถาคต
เป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดให้เกิดขึ้นแล้ว ฉะนี้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร มีอยู่เช่นนั้น

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ม. ก็ถ้าเช่นนั้น จะมิแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ว่า เราตถาคตได้เห็นมรรคของเก่า
ทางของเก่า อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนเสด็จดำเนินมาแล้ว ฉะนี้หรือ
น. ขอถวายพระพร ไม่แย้ง เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเสด็จ
เข้านิพพานไปแล้ว ศาสนาก็อันตรธานเสื่อมสูญไป โดยไม่มีใครสั่งสอนและ
ปฏิบัติกันสืบมา เมื่อเป็นเช่นนั้น มรรคคือหนทางที่พระพุทธเจ้านั้นๆ ได้เสด็จ

ดำเนินมา ก็เลอะเลือนเสื่อมสูญไปครั้นมาถึงวาระที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธ
เจ้าของเราทรงอุบัติขึ้น มรรคคือหนทางอย่างเดียวกับของเก่านั้นๆ ก็เกิดขึ้นมา
ด้วย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่เกิด
ให้เกิดขึ้นแล้ว ขอถวายพระพร ความข้อนี้ เปรียบเหมือนหนทางที่กรุยและ
ปราบเรียบร้อยแล้ว ต่อมาปล่อยให้รกเดินไม่ได้ ภายหลังมีผู้ทำให้เตียนขึ้น
ได้อีกฉะนั้น
ม. เธอฉลาดว่า
จบอนุปันนมัคคอุปปาทปัญหา

ปัญหาที่ ๑
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ได้
ทรงพยายามกระทำทุกรกิริยา ทรงได้รับความยากลำบากต่างๆ แต่ก็มิได้ตรัสรู้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล
ม. ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนพระพุทธองค์จึงตรัสสอนสาวกว่า ท่านทั้งหลายจง
พากเพียรจงพยายามทำกิจในพระพุทธศาสนา จงกำจัดมารและและเสนามารเสีย
ซึ่งเป็นปฏิปทาที่ต้องประสบความยากลำบากทั้งนั้น ฉะนี้อีกเล่า

น. เหตุว่าปฏิปทานั้นแล เป็นทางทำให้พระองค์บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
ขอถวายพระพร ก็แต่ว่าเมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่นั้น พระองค์ทรง
ประกอบความเพียรเกินไป ซึ่งถึงกะไม่เสวยพระกระยาหารเสียเลย เมื่อทรง
อดอาหารเสียเช่นนั้น พระกำลังก็ไม่มี พระหฤทัยก็กระสับกระส่ายไม่เป็น
เอกัคคตารมณ์ได้ เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงไม่ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ

ต่อเมื่อพระองค์ทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นเสีย แล้วทรงดำเนินในปฏิปทา
สายกลาง จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความข้อนี้เปรียบเหมือนผู้บริโภค
อาหาร ถ้าบริโภคมากเกินไป ก็ไม่ได้รับความสุข ต่อเมื่อบริโภคพอเหมาพอดี จึง
จะเกิดความสุขและเป็นคุณประโยชน์แก่ร่างกายฉะนั้น
ม. ฟังได้
จบปฏิพทาโทสปัญหา

ปัญหาที่ ๒
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์ที่ตรัสสอนว่า
"ท่านทั้งหลายจงทำใจให้เพลิดเพลินในนิปปัญจธรรม (ธรรมที่ไม่เนิ่นช้า) ฉะนี้
ก็นิปปัญจธรรมนั้นได้แก่ธรรมเหล่าไหน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ได้แก่พระโสดาปัตติผล พระสกทาคามิผล
พระอนาคามิผล พระอรหัตตผล ขอถวายพระพร พระอริยผลทั้ง ๓ นี้แล
เป็นธรรมที่นำไปสู่พระนิพพานได้โดยเร็ว หรือโดยมีกำหนดแน่นอน

ม. ก็ถ้าอย่างนั้น พระภิกษุทั้งหลายจะพึงไปกังวลด้วยการเล่าเรียนพระ
นวังคสัตถุสาสน์ (นวังคสัตถุสาสน์ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๙ ประการคือ
พระสูตร ๑, เคยยะ ๑, เวยยากรณ์ ๑, คาถา ๑, อุทาน ๑, อิติวุตตก ๑, ชาดก ๑,
อัพภูตธรรม ๑, เวทัลละ ๑, ในหนังสือสารัตถสังคหะ แสดงความต่างแห่ง
นวังคสัตถุสาสน์ไว้ฉะนี้

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
๑. พระสูตรนั้น ได้แก่อุภโตวิภังค์ นิเทศ
ขันธก ปริวาร อนังคณสูตร
รตนสูตร นาลกสูตร
ตุวฎกสูตร เป็นอาทิอันมี
ในคัมภีร์สุตตนิบาต ใช่แต่
เท่านั้น ถ้ามีชื่อว่าสูตรแล้ว
ก็จัดเข้าในองค์นี้
๒. เคยยะ ได้แก่พระสูตรอันประกอบ

ด้วยคาถา ถ้าจะว่าโดยวิเศษ
คาถาวรรคทั้งสิ้น อันมีใน
คัมภีร์สังยุตตนิกายจัดเข้าใน
องค์นี้
๓. เวยยากรณ์ ได้แก่พระอภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น
และพระสูตรอันหาคาถามิได้
และพระพุทธพจน์อื่นที่มิได้

นับในองค์อื่น
๔. คาถา ได้แก่คาถาพระธรรมบท เถร
คาถา เถรีคาถา สุตตคาถาอัน
มีในคัมภีร์สุตตนิบาตที่มิได้
ชื่อว่าสูตร
๕. อุทาน ได้แก่สูตร ๘๒ สูตร ที่ประกอบ
ได้ด้วยโสมนัสญาณสัมปยุตตคาถา
คือคาถาที่เปล่งออกด้วยจิตอัน

เบิกบาน
๖. อิติวุตตก ได้แก่สูตร ๑๐๐ สูตร อันเป็นไป
ด้วยนัยเป็นต้นคือ วุตตํ เหตํ ภควตา
๗. ชาดก ได้แก่ชาดก ๕๕๐ ชาดก มีอปัณณก
ชาดกเป็นต้น
๘. อัพภูตธรรม ได้แก่พระสูตรอันพระพุทธเจ้า
ตรัสเทศนาประกอบไปด้วยความ

อัศจรรย์
๙. เวทัลละ ได้แก่สูตรมีจุลลเวทัลลสูตร มหา
วเทัลลสูตรเป็นต้น ซึ่งได้แก่พระ
สูตรอันบริษัทได้ซึ่งความยินดีปรี
ดาแล้วไต่ถามขึ้น )
และด้วยการสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือด้วยการบูชาเป็นต้น เพื่อ
ประโยชน์อะไร ซึ่งเป็นการทำให้ช้าไปเปล่า ๆ

น. ขอถวายพระพร อันบันไดต้องก้าวแต่ขั้นต่ำขึ้นไปหาขั้นสูงมิใช่หรือ
ม. ก็อย่างนั้นสิเธอ ไม่เช่นนั้นจะขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดได้อย่างไร
น. ขอถวายพระพร นี่ก็เช่นนั้นแล การที่พระภิกษุทั้งหลายต้องเรียน
นวังคสัตถุสาสน์เป็นต้นนั้น ก็เพราะว่าการที่จะนำตนให้ก้าวไปถึงนิปปัญจธรรม
นั้นๆได้ ต้องศึกษาข้อวัตตปฏิบัติอันเป็นบันไดขั้นต้น เพื่อให้รู้ทางดำเนิน และ

ต้องบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา ฝึกกายวาจาใจเพื่อให้มีกำลังพอที่จะให้ก้าวไปหา
ภูมิธรรมนั้นๆ ได้ มิฉะนั้นก็จะก้าวไปไม่ถูกหรือไม่ถึงเพราะเหตุนี้พระภิกษุ จึง
ต้องกระทำเช่นนั้นไปก่อน ขอถวายพระพร ส่วนพระพุทธพจน์ที่ตรัสสอนดัง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ทรงยกมาในเบื้องต้นนั้นก็ด้วยมี พระพุทธประสงค์จะทรงเตือนมิให้สาวก
ทอดอาลัยในคุณเบื้องบนนั้นๆ เสียจะได้มีความพยายามก้าวหน้าต่อไปอยู่เสมอ
จนกว่าจะถึงนิปปัญจธรรมทั้ง ๔ นั้น
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบนิปปัญจธรรมปัญหา

ปัญหาที่ ๓
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่า "ฆราวาสเมื่อ
ได้เป็นพระอรหันต์ ย่อมมีคติเป็น ๒ คือบวชในวันนั้นอย่าง ๑ ถ้าไม่เช่นนั้น
ก็นิพพานในวันนั้นอย่าง ๑" นั้น ก็ถ้าในวันนั้นบวชไม่ทัน โดยหาอุปัชฌาย์หรือ
เครื่องบริขารไม่ได้ จะมินิพพานเสียหรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ก็นิพพาน

ม. ถ้าอย่างนั้น จะมิเป็นอันชื่อว่า พระอรหัตตผลบั่นทอนชีวิตของท่าน
เหล่านั้นเสียหรือ
น. ขอถวายพระพร การที่เป็นดังนั้นหาใช่เพราะพระอรหัตตผลบั่นทอนไม่
เป็นเพราะเพศฆราวาสไม่สามารถจะทรงคุณธรรมอันสูงสุดนั้นได้
ม. เธอจงหาตัวอย่างมาเปรียบให้ฟัง

น. เหมือนผู้บริโภคอาหารอันบริสุทธิ์ แต่บริโภคมากเกินส่วน ไฟธาตุย่อม
ไม่ไหว การบริโภคนั้นก็ย่อมให้โทษแก่ร่างกาย ขอถวายพระพร นี่จะจัดว่าเป็น
โทษของอาหารนั้นจะได้หรือ
ม. ไม่ได้สิเธอ เพราะอาหารเป็นของบริสุทธิ์ ต้องจัดว่าเป็นโทษของการ
บริโภค เพราะมากจนไฟธาตุย่อยไม่ไหว

น. นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะว่าเป็นเพราะพระอรหัตตผลบั่น
ทอนชีวิตไม่ได้ เพราะพระอรหัตตผลเป็นคุณธรรมอันบริสุทธิ์ ขอถวายพระพร
การที่ท่านต้องนิพพานนั้น เป็นโทษของเพศฆราวาสซึ่งไม่มีกำลังสามารถจะ
ทรงคุณธรรมอันสูงสุดนั้นได้
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
ขบคิหิอรหัตตปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๔
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเกิด
เป็นมนุษย์ในกาลก่อน มิได้เคยกระทำเบียดเบียนสัตว์เลย ฉะนี้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล
ม. ก็เป็นเหตุไฉน เมื่อครั้งพระพุทธองค์เกิดเป็นโลมกัสสปคราวรัก

พระจันทวดีราชธิดา และปรารถนาจะได้นางจึงให้ฆ่าสัตว์จำนวนมาก
กระทำการบูชายัญเล่า (เรื่องนี้ในโลมกัสสปชาดก นวกนิบาตว่า พระโลม
กัสสปดาบสหลงรักพระจันทวดีราชธิดา จนถึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าพาราณสี
ผู้พระชนกพระจันทวดี แต่ก็ไม่ถึงกับให้ฆ่าสัตว์กระทำการบูชายัญ เพราะ
เมื่อจะฆ่าสัตว์นั้น ท่านเกิดความสลดใจขึ้นมาเลยตัดความรักเสียได้)

น. ขอถวายพระพร การที่พระโพธิสัตว์โลมกัสสปให้ฆ่าสัตว์บูชายัณ
ครั้งนั้น เป็นเพราะมีสติวิปลาศ หาใช่เป็นเพราะมีเจตนาคิดอาฆาตจึงให้
ฆ่าสัตว์เหล่านั้นไม่

ม. นี่เธอ ก็เฉพาะบุคคลเหล่านี้มิใช่หรือจึงจะกระทำการฆ่าสัตว์ คือ
ผู้อยู่ในอำนาจแห่งความรัก ความโกรธ ความหลง ความถือตัว ความยาก
ได้ผู้มีการฆ่าสัตว์เป็นอาชีพ คนพาลและพระมหากษัตริย์ผูทรงปฏิบัติตาม
กฎหมายแต่นี่พระโพธิสัตว์ก็เป็นปกติอยู่มิใช่หรือไฉน จึงได้ฆ่าสัตว์
กระทำบูชายัญเล่า

น. หาใช่เป็นปกติไม่ การที่พระโลมกัสสปให้ฆ่าสัตว์นั้น ก็เป็นด้วย
อำนาจแห่งความรักดั่งที่พระองค์ตรัสระบุไว้ในเบื้องต้นนั้นแล ขอถวายพระพร
อันความรักนี้ย่อมกระทำให้คนฟุ้งซ่าน มัวเมา สติวิปลาศ ไม่รู้จักผิดจักถูก อย่าง
เดียวกับคนบ้าย่อมทำอะไรต่ออะไรซึ่งผิดจากอาการของคนปกติได้ทุกอย่าง
แม้ที่ผิดกฎหมายแต่ถึงอย่างนั้น บ้านเมืองก็ไม่ลงโทษทัณฑ์มิใช่หรือ
ม. จะไปเอาโทษอะไรกะคนบ้าเล่า

น. นั่นแลฉันใด โลมกัสสปดาบสก็มีคติเป็นฉันนั้นเหมือนกัน คือ
มีสติวิปลาศ ตามืดมองไม่เห็นบาปบุญคุณโทษอย่างไร ความรักมีอำนาจ
เหนือความรู้จักผิดชอบทั้งหลายสิ้นจึงให้ฆ่าสัตว์ถึงเท่านั้น ขอถวายพระพร
และก็ควรได้รับอภัยเช่นเดียวกันด้วย
ม. เธอฉลาดว่า
จบโลมกัสสปปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๕
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ในฉัททันตชาดกกล่าวไว้ว่า
พระยาช้างฉัททันต์ผู้โพธิสัตว์ เอางวงจับพรานโสณุดรด้วยตั้งใจจะฟาดเสีย แต่
ครั้นเห็นผ้าเหลืองก็ยั้งใจเสียได้ด้วยความเคารพนับถือ ฉะนี้มิใช่หรือ

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล
ม. ถ้าอย่างนั้น ไฉนเมื่อครั้งพระองค์เกิดเป็นโชติปาลมาณพ จึงว่า
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำว่าสมณะหัวโล้นเล่า

น. การที่โชติปาลมาณพว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำหยาบ
เช่นนั้น ก็เป็นเพราะเกิดในสกุลพราหมณ์ ซึ่งไม่มีความเชื่อความเลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนา มีความเคารพนับถือพราหมณ์ว่าเป็นพระเจ้า ขอถวาย
พระพร บุคคลเมื่อส้องเสพผู้ใด ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนน้ำหวานเมื่อเจือ

กับยาพิษ รสก็เฝื่อนไปฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน นับแต่วันโชติปาลมาณพ
เกิดมา ก็คบสนิทสนมอยู่ในหมู่คนที่มิได้นับถือพระพุทธศาสนาตลอดมา
เพราะฉะนั้น เมื่อนายช่างหม้อมาชวนให้ไปเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงตอบว่า จะไปหาสมณะหัวโล้นเพื่อประโยชน์อะไรฉะนี้ได้
ม. ฟังได้
จบฉัททันตโชติปาลอารัพภปัญหา

ปัญหาที่ ๖
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โรง
นายช่างหม้อชื่อฆฏิการมีอากาศเป็นหลังคาตั้งอยู่แล้วตลอด ๓ เดือน ฝนไม่รั่วรด
เลยฉะนี้และตรัสว่า กุฎีพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าฝนตกรั่ว ก็ถ้าฟังตามพระ
พุทธพจน์ทั้ง ๒ นี้ จะมิเป็นอันว่า ช่างหม้อมีวาสนาดีกว่าพระพุทธเจ้าหรือ

พระนาคเสนทูลตอบว่า เป็นไปไม่ได้ ขอถวายพระพร การที่โรงของนาย
ช่างหม้อเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่านายช่างหม้อเป็นคนมีศีลเลี้ยงมารดาบิดา เคย
ได้สร้างสมบุญกุศลตลอดมาและมีเรื่องแสดงไว้ว่า อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้มาขนหญ้า
หลังคาของเขาไปมุงกุฎีถวายพระกัสสปพุทธเจ้า ภายหลังเขารู้ก็เกิดปีติพลอย

อนุโมทนาในกุศลกรรมอันนั้น (ฆฏิการสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก)
พรรณานา เรื่องนี้ไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า

ครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก มีนายช่างหม้อชื่อ
ฏิฆการ เป็นพุทธอุปฐาก และนายช่างหม้อนั้นมีสหายอยู่ผู้หนึ่งชื่อโชติปาลมาณพ
วันหนึ่งนายช่างหม้อพร่ำชวนโชติปาลมาณพไปเฝ้าพระพุทธเจ้า (ดังข้อความ
ที่ปรากฏในปัญหาที่ ๕ นั้น) ที่สุดโชติปาลมาณพก็ไปเฝ้าและเลื่อมใสออกบรรพชา

ในพระพุทธศาสนาฯ ภายหลังพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปถึงแคว้น
ของพระเจ้ากิงกิสสราชๆ จึงทรงอาราธนาให้เสด็จจำพรรษาอยู่ที่แคว้นนั้น แต่
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรับ ด้วยทรงอ้างว่าพระองค์ได้รับอาราธนา
ของ นายช่างหม้อผู้อุปฐากเสียแล้ว แล้วตรัสพรรณนาถึงความดีและความคุ้นเคย
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงมีอยู่กับนายช่างหม้อถวายพระเจ้ากิงกิสสราชว่า พระองค์
ได้เคยรับอุปการะจาก เขาหลายอย่าง ดังคราวหนึ่งฝนตกรั่วรดพระคันธกุฎีเปียก
จึงตรัสใช้พระภิกษุไปขนหญ้า ที่นายช่างหม้อมุงหลังคาเรือนไว้ ก็ในขณะนั้น

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นายช่างหม้อไม่อยู่ อยู่แต่บิดามารดาของเขา เมื่อพระภิกษุได้รับอนุณาต ก็ช่วยกัน
ขนมามุงพระคันธกุฎี ครั้นนายช่างหม้อกลับมาทราบเรื่องจากบิดามารดา ก็เกิด
ความปีติปราโมทย์ ในการกระทำของพระพุทธองค์ และเรือนของเขามีอากาศ
เป็นหลังคาอยู่ตลอด ๓ เดือน ฝนก็ไม่รั่วรดเลยนี้เป็นเรื่องให้เกิดปัญหานี้ )
ส่วนพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่ากุฎีของพระพุทธกัสสปฝนรั่วนั้น ก็เป็นด้วยพระพุทธ
องค์ทรงเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ ทรงเห็นว่า พระองค์เป็นผู้ควร

แก่ทักขิณาทานของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงปล่อยให้เป็น เช่นนั้น
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักได้มีโอกาส ก่อสร้างบุญกุศล แล้วจักได้พ้นจาก
ความทุกข์ทั้งหลาย อีกประการ ๑ คนทั้งหลายจักติเตียนไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้า
ทรงทำที่อยู่อาศัยด้วยพระองค์เอง ขอถวายพระพร อาศัยอำนาจประโยชน์
๒ ประการนี้แล พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงปล่อยให้กุฎีรั่วเช่นนั้น
ม. ชอบละ
จบฆฏิการปัญหา

ปัญหาที่ ๗
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าเคยตรัสกะภิกษุ
ทั้งหลายในบางคราวว่า พระองค์เป็นพราหมณ์ ดังนี้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ตรัสดังนั้นจริง
ม. ถ้าอย่างนั้น ทำไมเมื่อตรัสกะเสละพราหมณ์ จึงตรัสว่า พระองค์เป็น
กษัตริย์เล่า (พึงดูเรื่องเดิมที่เชิงอรรถแห่งปัญหาที่ ๑ วรรคที่ ๓)
น. ขอถวายพระพร เหตุว่าพระพุทธองค์เป็นทั้งพราหมณ์เป็นทั้งกษัตริย์

ม. ตามพระพุทธประวัติก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติในสกุลกษัตริย์
แต่นี่ทำไมเธอจึงกล้ามายืนยันว่าพระองค์เป็นพราหมณ์ด้วยอีกเล่า
น. ขอถวายพระพร ก็พวกพราหมณ์มีวัตตจริยาอย่างไร เขาจึงได้ชื่อเช่นนั้น
ม. พวกพราหมณ์เขาก็มีวัตร คือถือการยืนการเดินไม่นั่งไม่นอนเป็นต้น และ
เขามีพิธีลอยบาปทุกปี คือลงสระเกล้าชำระกายในแม่น้ำ ซึ่งเขาถือว่าได้ลอยบาป
ไปตามกระแสน้ำแล้ว และทั้งมีเวทคือตำรับแสดงกิจในศาสนาอยู่ ๓ เวท ผู้ใด
เรียนจบเวททั้ง ๓ นั้นแล้ว ชื่อว่าถึงที่สุดเวท นี่แลเธอองค์คุณเหล่านี้ที่จัดแบ่ง
วรรณะพวกนั้นเป็นพราหมณ์

น. ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธจริยาบางอย่างเช่นนั้นเหมือนกัน
คือ ทรงสมาทานธุดงค์ เช่นบางครั้งทรงถือการจงกรมเป็นวัตรและทรงชำระบาป
อกุศลทั้งหลาย จนพระสันดานหมดจดผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ
การลอยบาปของพราหมณ์และทั้งพระองค์ได้ตรัสรู้วิชา ๓ เยี่ยงเดียวกับพราหมณ์
ถึงสุดเวทนั้น

อนึ่งพระพุทธองค์ทรงเป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เพราะทรงอุบัติในวงศ์ศากยราช
และโดยพระอัธยาศัยเพราะทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญสามารถทรงต่อสู้มาร และ
เสนามารโดยลำพังพระองค์ผู้เดียวจนข้าศึกนั้นๆ พ่ายแพ้ไม่มีมาผจญพระองค์ได้
อีกเลย ทรงยกเศวตฉัตรอันขาวบริสุทธิ์คือวิมุตติธรรม ประกาศความเป็นราชา
เพราะธรรม ให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายทราบ

ขอถวายพระพร ก็เมื่อพระพุทธองค์ทรงคุณสมบัติถึงเช่นนี้แล้ว จะไม่ยอมรับว่า
พระพุทธองค์ทรงเป็นพราหมณ์ ทรงเป็นกษัตริย์อย่างไร
ม. จริงอย่างเธอว่า
จบภควโตราชปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๘
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ย่อม
มีแนวสอนเป็นอย่างเดียวกันทั้งนั้นมิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ย่อมเป็นเช่นพระองค์ตรัสนั้นแล

ม. ถ้าอย่างนั้น จะทรงอุบัติขึ้นในสมัยเดียวกันสัก ๒ พระองค์ จะมิดีกว่านี้หรือ
เพราะจะได้ช่วยกันทรงสั่งสอนประหนึ่งไฟสองดวงย่อมเพิ่มแสงสว่างขึ้นฉะนั้น
น. ขอถวายพระพร เป็นไปเช่นนั้นไม่ได้ เพราะว่าโลกธาตุย่อมทรงพระพุทธเจ้า
ไว้ได้แต่พระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าจะพึงมีขึ้นถึง ๒ พระองค์ไซร้ โลกธาตุนี้ก็จะพึ่ง
กระจัดกระจายตั้งอยู่ไม่ได้ เหมือนเรือที่จุได้แต่คนเดียว ถ้าลงถึง ๒ คนเรือก็จะทาน
น้ำหนักไม่ไหวต้องจมน้ำฉะนั้น อนึ่งถ้าจะมีพระพุทธเจ้าถึง ๒ พระองค์พร้อมกัน

เหล่าพุทธบริษัทผู้ยังตัดการถือเราถือเขาไม่ได้ก็จะเกิดเป็น ๒ ฝ่ายขึ้น เมื่อเป็นเช่น
นั้นในระหว่างคนทั้ง ๒ พวกนั้น ก็จะเกิดมีการวิวาทกันขึ้น ขอถวายพระพร พระ
พุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุด ไม่มีผู้อื่นเสมอ ไม่มีใครเทียมเท่าก็ถ้ามีถึง ๒ พระองค์
แล้ว ก็จะเทียมเท่ากันไม่ประเสริฐสุดจริง เปรียบได้กะของใหญ่ในโลกนี้เช่นแผ่นดิน
ฟ้าหรือพญาเขาสิเนรุ ถ้ามีถึง ๒ เทียบเทียมกันได้แล้ว ก็จะไม่ใหญ่แต่นี่เพราะมี
อย่างละชิ้นเดียวๆ เท่านั้นจึงจัดเป็นของใหญ่โตได้

ขอถวายพระพร เนื่องด้วยเหตุผลมีอยู่ฉะนี้แล จึงมีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น
ในสมัยเดียวกันถึง ๒ พระองค์ไม่ได้
จบทวินนํ พุทธานํ โลเกนุปปัชชนปัญหา

ปัญหาที่ ๙
ข้อความในปัญหานี้ มีใจความเป็นอย่างเดียวกันกับปัญหาที่ ๕ ในวรรคที่ ๔
ปัญหาที่ ๑๐
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คนบวชแล้วสึก ไม่รู้อะไร
ไม่น่าจะให้บวชในพระศาสนา ด้วยว่าจะทำให้คนทั้งหลายกล่าวหาได้ว่า พระ
ศาสนาหาสาระมิได้

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร สระมีน้ำอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อผู้ที่
เปื้อนเปรอะไปถึงสระนั้นแล้ว ไม่ลงอาบน้ำชำระร่างกายเองเช่นนี้ คนทั้งหลาย
เขาจะพึงติเตียนสระหรือจะติเตียนผู้นั้น
ม. จะติเตียนสระนั้นได้หรือเธอต้องเตียนผู้นั้นสิ

น. นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกันคือผู้ที่ไปถึงสระ คือพระสัทธรรมโดย
อาการที่บวชในพระศาสนาแล้ว แต่มิได้ศึกษาข้อวัตตปฏิบัติ ขัดเกลานิสัยและ
ความประพฤติที่โสมมให้สะอาด แล้วหวนสึกมาถือเพศเป็นฆราวาสประพฤติ
สิ่งที่ลามก เช่นนี้คนทั้งหลายเขาก็พึงติเตียนผู้สกปรกเช่นเดียวกันนั้นแล จะไม่

มีใคร ซึ่งเป็นผู้มีความคิดกล่าวหาพระศาสนาว่าหาประโยชน์มิได้ฉะนี้เลย
เพราะว่าพระศาสนาพระพุทธองค์ได้ทรงขุดสระ คือพระสัทธรรมไว้แล้วด้วย
มีพระพุทธประสงค์อยู่ว่า ผู้เปื้อนมลทินคือกิเลสจะได้มีโอกาสชำระล้างกาย
วาจาใจให้สะอาด

ขอถวายพระพร ดีเสียอีก อันคนบวชแล้วเกียจคร้านต่อการศึกษา และการ
บำเพ็ญสัมมาปฏิบัติอยู่มิได้ต้องสึกนั้น ย่อมแสดงให้คนทั้งหลายเห็นว่า พระศาสนา
เป็นลัทธิที่สูงบริสุทธิ์ไม่แปดปนด้วยคนที่มีกายวาจาใจสกปรก อันคนที่คร้านต่อ
การเจริญสมณกิจ ย่อมระอาใจในการที่จะฝั่งตัวอยู่ในลัทธินี้ได้ เป็นอันว่าคนที่จะ

บวชอยู่ในพระศาสนาได้โดยเย็นใจ ต้องเป็นผู้มั่นคง หนักแน่น ชำระกายวาจาใจ
สะอาดอยู่เสมอ ต้องบำเพ็ญสัมมาปฏิปทาตามฐานานุรูปของตน ขอถวายพระพร
ก็เมื่อพระศาสนาเป็นลัทธิทรงคุณถึงเช่นนี้ ใครเล่าจะพึงติเตียนได้
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบหินายาวัตตนปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๑
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าพระอรหันต์
ท่านไม่มีความทุกข์ใจ มีแต่ความทุกข์ประจำร่างกายเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นจริง
ก็เป็นอันว่าท่านบังคับบัญชาร่างกายไม่ได้

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ก็เป็นอย่างนั้น
ม. ถ้าอย่างนั้น ไฉนท่านจึงจะสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กายได้เล่า
น. ขอถวายพระพร ได้สิ เพราะอาการเคลื่อนไหวทุกๆ ส่วนของร่างกาย
ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบแห่งใจของท่านทั้งนั้น ท่านจึงบังคับให้อยู่ใน
อาการปรกติเรียบร้อยได้เสมอส่วนที่อาตมภาพทูลรับพระองค์ในเบื้องต้นนั้น
หมายถึงคติธรรมดาความเป็นไปแห่งร่างกายต่างหาก ซึ่งเป็นอาการที่มิได้
อยู่ในอำนาจของอะไรทั้งหมด

ม. ก็คติธรรมดาของร่างกายนั้นคืออะไร
น. คือหนาว ร้อน หิว ระหาย ถ่ายอุจาระ ถ่ายปัสสาวะ หาวนอน แก่ เจ็บ
ตาย ขอถวายพระพร อาการเหล่านี้ท่านบังคับไม่ให้เป็นไม่ได้ เพราะว่าเป็น
อาการประจำของร่างกาย เมื่อร่างกายยังมีอยู่ อาการเหล่านี้ก็ยังต้องมีอยู่ด้วย
ถึงคราวแล้วเป็นอันไม่อยู่ในข้อห้ามของกฎเกณฑ์อะไรทั้งหมด

ม. เข้าใจละ แต่สงสัยว่า เป็นเพราะอะไร ปุถุชนจึงต้องมีความทุกข์ใจ
ด้วยอีกเล่า
น. เป็นเพราะปุถุชนปล่อยใจไปรับรู้สึกต่ออาการผันแปรของร่างกาย
นั้นๆ เมื่อเป็นอาการประจำร่างกายเหล่านั้นบีบคั้นแล้ว ยังมีอารมณ์ต่างๆ
กระทบหัวใจให้บอบช้ำอีก ขอถวายพระพร ทั้งนี้ต้นเหตุก็เนื่องด้วยปุถุชน
มิได้ฝึกหัดใจ คุมใจไว้ไม่อยู่มิได้พิจารณาหรือพิจารณาไม่เห็นแจ้งว่า คติ

ธรรมดามีอยู่อย่างไร เพราะเหตุเหล่านี้แลปุถุชนจึงมีความทุกข์ใจด้วย
อีกส่วนหนึ่ง
ม. หายสงสัยละ
จบอรหโตกายิกเจตสิกเวทนาปัญหา

ปัญหาที่ ๒
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน เป็นเพราะเหตุไร
พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีความทุกข์ใจอย่างปุถุชนเล่าเธอ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นเพราะท่านมีสติสัมปชัญญะ
กำกับใจอยู่เสมอ กำหนดรู้อารมณ์ที่ผ่านมายังใจว่า มีเหตุมีผลเป็นอย่างไร

ถ้าเป็นอารมณ์ที่จะให้เกิดความทุกข์ ท่านก็ไม่ปล่อยใจให้ไปนอนอยู่ใน
อารมณ์เช่นนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ อารมณ์อันเป็นแดนเกิดแห่งความทุกข์นั้นๆ
ก็บีบใจท่านไม่ได้ ขอถวายพระพร เหตุนี้พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีความ
ทุกข์ใจ
ม. ชอบละ
จบกายิกเจตสิกเวทนายนานากรณปัญหา

ปัญหาที่ ๓
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิก
โดยไม่รู้สึกแล้ว ภายหลังบวชอีก ถ้ามาปฏิบัติชอบเข้าจะได้บรรลุมรรคผล
หรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ไม่ได้
ม. เพราะเหตุไร

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
น. เพราะผู้นั้นได้เพิกถอนเหตุที่จะให้บรรลุมรรคผลเสียแล้ว
ม. ก็เธอว่า ผู้ที่รู้ว่าตนกระทำผิดย่อมมีจิตฟุ้งซ่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น
ก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลอยู่เอง แต่ผู้ที่ไม่รู้ จิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน แน่วแน่อยู่ในการ
ปฏิบัติชอบ เมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุไรจึงไม่บรรลุมรรคผลเล่า
น. ขอถวายพระพร อาตมภาพจะยกตัวอย่างมาเปรียบถวาย เหมือน
พืชพันธุ์ที่บุคคลหว่านลงที่พื้นดินซึ่งกระทำไว้ดีแล้ว ก็ย่อมขึ้นมิใช่หรือ
ม. ก็ขึ้นสิ

น. ก็ถ้าจะเอาหว่านลงที่พื้นหิน พืชนั้นจะขึ้นหรือไม่
ม. จะขึ้นได้อย่างไรเล่าเธอ
น. เป็นเพราะอะไร
ม. เป็นเพราะหินเป็นแท่งทึบ ไม่มีเชื้อที่เป็นอาหารสำหรับเลี้ยง
พืชพันธุ์นั้นให้งอกขึ้นได้

น. นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
ก็เท่ากับสิ้นเชื้อแห่งการที่จะได้บรรลุมรรคผลเช่นเดียวกัน
ม. ก็ไม่รู้นี่เธอ ไม่น่าจะต้องรับโทษถึงเท่านั้นเลย
น. ขอถวายพระพร ผู้ที่กลืนยาพิษโดยไม่รู้ จะตายหรือไม่
ม. ก็ตายสิ

น. นี่ก็เช่นนั้นเหมือนกัน แม้ตัวจะไม่รู้ว่าต้องอาบัติปาราชิกก็จริง
แต่โทษแห่งการต้องอาบัตินั้น ก็คงตามสนอง คือทำให้ไม่ได้บรรลุมรรคผล
เช่นเดียวกัน
ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว
จบอภิสมยันตรายกราปัญหา

ปัญหาที่ ๔
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คฤหัสถ์ทุศีลกับสมณะทุศีล
ไหนจะเพลากว่ากัน
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร สมณะเพลากว่า เหตุว่าสมณะ
ย่อมประกอบด้วยองคคุณ ๑๐ ประการ คือ
๑) สมณะย่อมเคารพในพระพุทธเจ้า

๒) สมณะย่องเคารพในพระธรรมเจ้า
๓) สมณะย่อมเคารพในพระสงฆเจ้า
๔) สมณะย่องเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์
๕) สมณะย่อมกระทำความเพียรในการบอกกล่าว เล่าเรียนพระบาลีอรรถกถา
๖) สมณะย่อมมากไปด้วยการฟังธรรม
๗) คราวเข้าสมาคม สมณะย่อมมีกิริยาเรียบร้อย

๘) สมณะย่อมมีจิตมุ่งต่อความเพียร
๙) และย่อมทรงไว้ซึ่งสมณเพศ
๑๐) สมณะแม้จะทำความชั่ว ก็ย่อมกระทำในที่ลับ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขอถวายพระพร อนึ่งสมณะแม้จะทุศีลก็ยังดีกว่าคฤหัสถ์ ด้วยว่ายังกระทำ
ทักขิณาทานของทายกให้เผล็ดผลได้ เพราะเหตุ ๑๐ ประการ คือ
๑) เพราะสมณะเพศหาโทษมิได้ เป็นเพศที่กระทำให้ทายกเลื่อมใส
๒) เพราะสมณะเพศเป็นดุจไม้เท้าของทายก
๓) เพราะตนปฏิบัติตามลัทธิของหมู่คณะ
๔) เพราะตนถือพระพุทธพระธรรมเป็นที่พึ่ง
๕) เพราะตนมิได้อาลัยในที่อยู่

๖) เพราะตนมีหน้าที่แสวงหาคำสั่งสอนของพระพุทะเจ้า
๗) เพราะตนแสดงธรรมมีเทศน์และสวดมนต์เป็นต้น
๘) เพราะตนมีประทีปคือธรรมส่องไปข้างหน้า
๙) เพราะตนมีความเห็นเที่ยงตรง
๑๐) เพราะตนกวาดพระอุโบสถ
ขอถวายพระพร เนื่องด้วยสมณะทรงคุณพิเศษมากอย่างมากประการ
ฉะนี้แล แม้จะทุศีลก็ยังเพลากว่าคฤหัสถ์ทุศีล ประหนึ่งน้ำแม้จะขุ่นก็พอ
จะนำมาล้างเลนตมที่เปรอะเปื้อนร่างกายให้หมดสิ้นไปได้ฉะนั้น
จบสมณทุสีล คิหิทุสีล ปัญหา

ปัญหาที่ ๕
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน น้ำมีชีวิตหรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร น้ำทีเดียวเป็นธาตุไม่มีชีวิต
ม. ถ้าเช่นนั้น เมื่อเอาน้ำใส่หม้อตั้งบนเตาไฟ เป็นเพราะอะไรน้ำจึงร้อง
น. เป็นเพราะถูกกำลังความร้อนแห่งไฟ หาใช่เป็นเพราะน้ำเป็นธาตุมีชีวิต
เมื่อถูกต้มจึงได้ร้องไม่

ม. นี่เธอ พวกเดียรถีย์เขาถือกันว่า น้ำเย็นมีตัวสัตว์ น้ำสุกแล้วจึงควรกิน
และติเตียนการกระทำของพวกเธอผู้เป็นสมณศากยบุตรว่า การฉันน้ำเย็นนั้น
คือการพร่าชีวิตสัตว์นั่นเอง นี่เธอจะว่ากระไร
น. ขอถวายพระพร อาตมภาพก็ว่า สมณะเหล่าศากยบุตรฉันน้ำเย็นก็จริง
แต่ก่อนแต่จะฉันหรือใช้ ก็ได้กรองน้ำนั้นๆ ด้วยเครื่องกรองน้ำแล้ว เพราะว่า
มีพระพุทธบัญญัติไว้ว่า ภิกษุพึงมีเครื่องกรองน้ำฉันน้ำใช้ไว้
ม. อ้อ เช่นนั้นหรือ
จบอุทกสัตตาชีวปัญหา

ปัญหาที่ ๖
ใจความก็อย่างเดียวกับปัญหาที่ ๓ ในวรรคที่ ๖
จบคีหิปัพพชิตานํขีณาสวปัญหา
ปํญหาที่ ๗
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน ของที่ไมีมีในโลกนี้เลย
ได้แก่อะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ได้แก่สิ่งที่ผสมจากส่วนต่างๆ แล้วไม่เก่าไม่
ทำลาย คงเป็นชิ้นเป็นอันอยู่เหมือนอย่างเดิม ขอถวายพระพร นี้เป็นของ
ไม่มีเลยในโลกนี้
ม. เข้าใจละ
จบโลเกนัตถิภาวปัญหา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2019, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ปัญหาที่ ๘
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระอรหันต์ท่านหลงลืม
บ้างหรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร พระอรหันต์ท่านไม่หลงลืม
เพราะท่านมีสติกำกับใจอยู่เสมอ
ม. ถ้าเช่นนั้น ท่านจะมิต้องอาบัติเลยหรือ
น. ขอถวายพระพร ก็ต้องมีบ้าง
ม. ต้องเพราะวัตถุอะไรบ้าง

น. ต้องเพราะสร้างกุฎี ๑ เพราะสำคัญเวลาผิด ๑ เพราะสำคัญเหตุผิดคือ
ห้ามภัตรแล้ว เข้าใจว่ายังไม่ได้ห้าม ๑ เพราะสำคัญสิ่งของผิด คือของที่ยัง
ไม่เป็นเดน เข้าใจว่าเป็นเดนแล้ว ๑

ม. เธอเคยกล่าวอยู่ว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ
ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ๑ ด้วยความไม่รู้ ๑ ถ้าพูดสำหรับพระอรหันต์แล้ว
ท่านคงไม่ต้องอาบัติ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมิใช่หรือ
น. ขอถวายพระพร เป็นดังนั้น
ม. ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า ท่านต้องด้วยความไม่รู้
น. ขอถวายพระพร

ม. เรื่องที่ให้ต้องอาบัติ ซึ่งพระอรหันต์ไม่รู้ก็มีด้วยหรือ
น. มี ขอถวายพระพร อาบัตินี้จัดเป็น ๒ ประการคือ โลกวัชชะ
มีโทษทางโลก คนสามัญที่มิใช่ภิกษุทำเข้าก็เป็นความผิดเป็นความเสียหาย
เหมือนกัน เช่นทำโจรกรรมฆ่ามนุษย์นี้ประการ ๑ เป็นปัณณัติติวัชชะ

มีโทษทางพระพุทธบัญญัติ คนสามัญทำไม่มีความผิด ไม่เสียหาย เป็นผิด
เฉพาะแต่ภิกษุ โดยฐานละเมิดพระพุทธบัญญัติ เช่นขุดดินฉันอาหารเมื่อ
ล่วงเวลาแล้วเป็นต้นนี้ประการ ๑
ขอถวายพระพร ในอาบัติ ๒ ประการนี้ ส่วนที่เป็นปัณณัตติวัชชะ
ถ้าข้อใดเรื่องใด พระอรหันต์ท่านไม่รู้ ท่านก็ย่อมล่วงอาบัติในข้อนั้น
ในวัตถุนั้น เพราะว่าพระอรหันต์ท่านมิได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่าง
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
ม. เข้าใจละ
จบอรหันตสัมโมหปัญหา

ปัญหาที่ ๙
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สิ่งที่เกิดแต่กรรมแต่เหตุ
แต่ฤดูก็มี พอจะคิดเห็น แต่สิ่งที่ไม่เกิดแต่กรรมหรือแต่เหตุ หรือแต่ฤดูอย่าง
ใดอย่างหนึ่งมีบ้างหรือไม่
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร มี คือ อากาศ ๑, พระนิพพาน ๑,
ม. เธออย่ากล่าวตู่พระพุทธพจน์เมื่อไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้
น. ถ้าอย่างนั้น พระองค์ทรงเห็นว่าอย่างไร

ม. อากาศข้าพเจ้าก็เห็นด้วย แต่พระนิพพานตามที่เธอว่ายังคิดไม่เห็น
เพราะว่าพระนิพพานย่อมมีมรรคเป็นเหตุทำให้เกิด แม้พระพุทธพจน์ก็มี
อยู่ชัดๆ ว่า มรรคเป็นเหตุกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
น. ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์มีอยู่เช่นนั้นจริง แต่หาได้หมายความว่า
พระนิพพานเกิดแต่เหตุ คือมรรคไม่
ม. เธอพาเข้าที่มืดเสียแล้ว ก็เมื่อพระพุทธพจน์มีว่า มรรคเป็นเหตุ
กระทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน แต่ไฉนเธอจึงว่า เหตุให้พระนิพพานเกิด
ไม่มีเล่า ธรรมดาต้นไม้เมื่อมียอดก็เป็นอันว่ามีรากและลำต้น

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 212 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร