วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 03:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




1538305055141.jpg
1538305055141.jpg [ 23.56 KiB | เปิดดู 2451 ครั้ง ]
คราวใดเมื่อมีการเห็นเกิดขึ้น เมื่อนั้นควรเอาชวนะตั้งอยู่ในฐานะจักขุวิญญาณเถิด
แต่ก็นั่นแหละปุถุชนมีอนุสัยกิเลสนอนเนื่องอยู่ ชวนะย่อมเกิดกิเลสติดตามมา

ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
นานเถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาคปฏิบัติ แลเห็นก็ เห็นหนอๆๆ ได้ยินเสียง ก็ เสียงหนอๆๆ ได้กลิ่น ก็ กลิ่นหนอๆๆ ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ก็ รสหนอๆๆ สัมผัสถูกต้อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็ตามนั้น เย็น ก็เย็นหนอๆๆ ร้อนก็ ร้อนหนอๆๆ ใจคิดนั่นนี่ ก็คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆ ตามที่มันเป็น ทั้งร่างกาย และจิตใจ :b1:

วิธีฝึกหัดพัฒนาจิต ให้เกิดมีสักแต่ว่า "เห็น" สักแต่ว่า "ได้ยิน" เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ภาคปฏิบัติ แลเห็นก็ เห็นหนอๆๆ ได้ยินเสียง ก็ เสียงหนอๆๆ ได้กลิ่น ก็ กลิ่นหนอๆๆ ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ก็ รสหนอๆๆ สัมผัสถูกต้อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็ตามนั้น เย็น ก็เย็นหนอๆๆ ร้อนก็ ร้อนหนอๆๆ ใจคิดนั่นนี่ ก็คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆ ตามที่มันเป็น ทั้งร่างกาย และจิตใจ :b1:

วิธีฝึกหัดพัฒนาจิต ให้เกิดมีสักแต่ว่า "เห็น" สักแต่ว่า "ได้ยิน" เป็นต้น

cool
:b32:
นี่...รู้จักปัญญารู้ถูกตามคำสอนไหม
ที่ไปทำตามคนอื่นสั่งให้ทำเชื่อแล้วถึงทำตาม
ปกติใครไม่รู้ว่าเห็นใครไม่รู้ว่ายืนเดินนั่งนอนไปกำหนดตัวตนเพิ่มทำไม
การละตัวตนเกิดจากคิดถูกตามคำสอนได้โดยไตร่ตรองไม่ใช่ให้เชื่อตำรา/อาจารย์ฯตามหลักกาลามสูตร10
และปัญญาตามที่ทรงแสดงมี3ลำดับข้ามขั้นไม่ได้เพราะปัญญาเกิดเองไม่ได้ต้องอาศัยการฟังจากปรโตโฆสะ
https://youtu.be/jey5V6ll2hY
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คราวใดเมื่อมีการเห็นเกิดขึ้น เมื่อนั้นควรเอาชวนะตั้งอยู่ในฐานะจักขุวิญญาณเถิด
แต่ก็นั่นแหละปุถุชนมีอนุสัยกิเลสนอนเนื่องอยู่ ชวนะย่อมเกิดกิเลสติดตามมา

ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
นานเถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ



ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค

พระธรรมฉบับเต็มๆ มีมั๊ยคะ คุณลุงหมาน ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ภาคปฏิบัติ แลเห็นก็ เห็นหนอๆๆ ได้ยินเสียง ก็ เสียงหนอๆๆ ได้กลิ่น ก็ กลิ่นหนอๆๆ ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ก็ รสหนอๆๆ สัมผัสถูกต้อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็ตามนั้น เย็น ก็เย็นหนอๆๆ ร้อนก็ ร้อนหนอๆๆ ใจคิดนั่นนี่ ก็คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆ ตามที่มันเป็น ทั้งร่างกาย และจิตใจ :b1:

วิธีฝึกหัดพัฒนาจิต ให้เกิดมีสักแต่ว่า "เห็น" สักแต่ว่า "ได้ยิน" เป็นต้น

cool
:b32:
นี่...รู้จักปัญญารู้ถูกตามคำสอนไหม
ที่ไปทำตามคนอื่นสั่งให้ทำเชื่อแล้วถึงทำตาม
ปกติใครไม่รู้ว่าเห็นใครไม่รู้ว่ายืนเดินนั่งนอนไปกำหนดตัวตนเพิ่มทำไม
การละตัวตนเกิดจากคิดถูกตามคำสอนได้โดยไตร่ตรองไม่ใช่ให้เชื่อตำรา/อาจารย์ฯตามหลักกาลามสูตร10
และปัญญาตามที่ทรงแสดงมี3ลำดับข้ามขั้นไม่ได้เพราะปัญญาเกิดเองไม่ได้ต้องอาศัยการฟังจากปรโตโฆสะ
https://youtu.be/jey5V6ll2hY


เรื่องพันนี้ ฟังจากคนอื่นไม่ได้ดอก มันต้องสัมผัสเอง จริงๆนะไม่เชื่ออย่าลบหลู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ภาคปฏิบัติ แลเห็นก็ เห็นหนอๆๆ ได้ยินเสียง ก็ เสียงหนอๆๆ ได้กลิ่น ก็ กลิ่นหนอๆๆ ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ก็ รสหนอๆๆ สัมผัสถูกต้อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็ตามนั้น เย็น ก็เย็นหนอๆๆ ร้อนก็ ร้อนหนอๆๆ ใจคิดนั่นนี่ ก็คิดหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆ ตามที่มันเป็น ทั้งร่างกาย และจิตใจ :b1:

วิธีฝึกหัดพัฒนาจิต ให้เกิดมีสักแต่ว่า "เห็น" สักแต่ว่า "ได้ยิน" เป็นต้น

cool
:b32:
นี่...รู้จักปัญญารู้ถูกตามคำสอนไหม
ที่ไปทำตามคนอื่นสั่งให้ทำเชื่อแล้วถึงทำตาม
ปกติใครไม่รู้ว่าเห็นใครไม่รู้ว่ายืนเดินนั่งนอนไปกำหนดตัวตนเพิ่มทำไม
การละตัวตนเกิดจากคิดถูกตามคำสอนได้โดยไตร่ตรองไม่ใช่ให้เชื่อตำรา/อาจารย์ฯตามหลักกาลามสูตร10
และปัญญาตามที่ทรงแสดงมี3ลำดับข้ามขั้นไม่ได้เพราะปัญญาเกิดเองไม่ได้ต้องอาศัยการฟังจากปรโตโฆสะ
https://youtu.be/jey5V6ll2hY


เรื่องพันนี้ ฟังจากคนอื่นไม่ได้ดอก มันต้องสัมผัสเอง จริงๆนะไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ปริยัติ คือ เรียนแล้ว ต้องปฏิบัติ ปฏิเวธจึงเกิดตามสมควรแก่การปฏิบัติ จริงๆนะ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




images %282%29.jpeg
images %282%29.jpeg [ 192.55 KiB | เปิดดู 2195 ครั้ง ]
โลกสวย เขียน:


ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค

พระธรรมฉบับเต็มๆ มีมั๊ยคะ คุณลุงหมาน ?


ไม่มีเวลาหาให้ แขนยังติดสายน้ำเกลืออยู่

ที่จริงแล้วอยากขยายความรู้สึกตามสภาวะของพาหิยะเสียด้วยซ้ำไป
ว่าเห็นยังไงจึงสักแต่ว่าเห็น ได้ยินยังสักแต่ว่าได้ยิน ยังไงพระพาหิยะจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
โลกสวย เขียน:


ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
*พระภาค

พระธรรมฉบับเต็มๆ มีมั๊ยคะ คุณลุงหมาน ?


ไม่มีเวลาหาให้ แขนยังติดสายน้ำเกลืออยู่

ที่จริงแล้วอยากขยายความรู้สึกตามสภาวะของพาหิยะเสียด้วยซ้ำไป
ว่าเห็นยังไงจึงสักแต่ว่าเห็น ได้ยินยังสักแต่ว่าได้ยิน ยังไงพระพาหิยะจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้



ย่อกว่านี้มีอีกมั๊ยคะ คุณลุง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181002_052241.jpg
20181002_052241.jpg [ 329.85 KiB | เปิดดู 2371 ครั้ง ]
โลกสวย เขียน:
ย่อกว่านี้มีอีกมั๊ยคะ คุณลุง

พระพาหิยะ ท่านเป็นชาวแคว้นพาหิยะโดยกำเนิด เรื่องราว ของท่านดังนี้

สถานะเดิม
เกิดในตระกูลไวศยะ ในตระกูลกุฎุมพีตระกูลหนึ่งในแคว้นพาหิยะ สันนิษฐานว่า ท่านได้ชื่อตามแคว้น

ชีวิตฆราวาส
เมื่อเจริญวัยแล้วได้ประกอบอาชีพค้าขายตามตระกูล เนื่องจากมีภูมิลำเนาอยู่แถบชายฝั่งทะเล ตระกูลของท่านจึงประกอบการค้าขายทางเรือโดยเดินเรือบรรทุกสินค้าไปขายที่สุวรรณภูมิ เมืองท่าเรือสำคัญเมืองหนึ่งที่ท่านเดินเรือผ่านไปมาอยู่เป็นประจำคือ ท่าเรือสุปปารกะ ในอปรันตชนบท

ท่านแล่นเรือค้าขายอยู่อย่างนี้เป็นปกติ วันหนึ่งทะเลเกิดมรสุม คลื่นซัดเรืออัปปางขณะเดินเรือเข้าใกล้เขตท่าเรือสุปปารกะ ลูกเรือตายหมด เหลือรอดอยู่แต่ท่านซึ่งเกาะแผ่นกระดานลอยน้ำมาจนถึงท่าเรือสุปปารกะ ท่านไปถึงท่าเรือด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเนื่องจากเสื้อผ้าหลุดหายไปหมดสิ้น บริเวณท่าเรือสุปปารกะเป็นถิ่นเจริญ มีคนอยู่หนาแน่น ท่านรู้สึกเหนื่อยและหิว แต่รู้สึกละอายที่จะเปลือยกายเข้าไปในชุมชนนั้น ท่านจึงตัดสินใจเอาเปลือกไม้พันตัวแทนเครื่องนุ่งห่มแล้วถือกระเบื้อง จากนั้นจึงแสร้งเดินไปใกล้ศาลเทพารักษ์ แล้วทำทีเป็นเดินออกจากศาลเข้าไปในชุมชน ชาวท่าเรือสุปปารกะได้รับข่าวคราวต่างๆ ตลอดเวลา แม้กระทั่งเรื่องราวของพระอรหันต์ที่มีข่าวมาว่าอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ก็ได้ยินเป็นประจำ เมื่อพาหิยะปรากฏตัวในลักษณะแปลกกว่าคนอื่นคือนุ่งห่มเปลือกไม้ ต่างก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงได้ให้อาหารและยกย่องนับถือ ทำให้ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ต่อมาพาหิยะเองก็สำคัญผิดไปว่า พฤติกรรมของท่านที่เป็นอยู่คือพฤติกรรมของพระอรหันต์ ดังนั้นเมื่อเปลือกไม้แห้งเหี่ยวแล้วก็ไม่ยอมนุ่งห้มผ้าอื่นด้วยเกรงว่าความเป็นพระอรหันต์จะเสื่อมและลาภสักการะก็จะน้อยลง

การออกบวช
ด้วยเหตุที่ท่านนุ่งห่มเปลือกไม้ ฉะนั้นท่านจึงมีชื่อว่า "พาหิยทารุจิริยะ" แปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ จนวันหนึ่ง พรหมองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าในอดีตชาติ ซึ่งสังเกตดูท่านอยู่ตลอดเวลาก็มาจากพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ปรากฏกายให้ท่านเห็นพร้อมทั้งบอกให้ท่านทราบว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์และไม่ได้ปฏิบัติตามทางที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วย พรหมองค์นี้เป็นเพื่อนเก่าของท่านครั้งสมัยพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะและออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมด้วยกัน หลังจากเพื่อนของท่านบรรลุอนาคามิผลแล้วก็มรณภาพไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เห็นท่านประพฤติผิดจึงมาเตือนด้วยความปรารถนาดี และยังได้บอกอีกว่า บัดนี้พระอรหันต์ที่แท้จริงอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์คือพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล

เมืองสาวัตถีไกลจากอปรันตชนบทประมาณ ๑๒๐ โยชน์ (๑,๙๒๐ กิโลเมตร) พระพาหิยะทันทีที่ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น ท่านก็เกิดปีติอย่างแรงกล้า รีบเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะด้วยอาการรีบร้อน เช้าวันหนึ่งจึงมาถึงเมืองสาวัตถึ ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมืองพอดี

ท่านไปที่วัดเชตวันและได้ทราบจากพระในวัดว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง จึงรีบลาจากพระในวัดแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมืองสาวัตถีทันที เหตุที่ท่านรีบร้อนเช่นนี้ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ชีวิตของท่านหรือของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงไร ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้ท่านอาจตายหรือพระพุทธเจ้าอาจปรินิพพานก็ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็คงจะพลาดโอกาสจากการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ด้วยความคิดดังกล่าวทำให้ท่านรีบออกตามหาพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองสารวัตถี จนในที่สุดก็มาพบขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินอยู่กลางถนน ทันทีที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปีติท่วมท้น ถลาเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า พลางทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง

"พาหิยะ" พระพุทธเจ้าตรัสห้าม "เวลานี้มิใช่เวลาแสดงธรรม เห็นไหมตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่กลางถนน"
พระพาหิยะหยุดระยะนิดนึง ครั้นแล้วก็ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงให้ฟังอีกเป็นครั้งที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม ครั้นแล้วท่านก็ทูลขอเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยสมควรฟังธรรมได้ จึงตรัสว่า
"พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกก็สักแต่ว่ารู้สึก"

พระพาหิยะพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านได้บรรลุอรหัตผลทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบ จากนั้นจึงทูลขอบวช แต่ด้วยเหตุที่ท่านไม่เคยสร้างบุญด้วยบาตรและจีวรมาเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงรับสั่งให้ท่านไปหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านก็ทำตาม ขณะที่กำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ ท่านก็ถูกแม่วัวขวิดตายเสียก่อน ท่านจึงนิพพานโดยท่านยังมิทันได้บวช

การบรรลุธรรม
ท่านได้บรรลุอรหัตผลก่อนแล้วจึงทูลขอบวชโดยได้ฟังธรรมว่าด้วยเรื่องการรู้ทันขณะเห็นรูป ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสิ่งสัมผัสทางกาย และนึกคิดอารมณ์ที่เคยได้รับรู้มาแล้วซึ่งเรียกว่า "รู้ทันวิญญาณ ๖" ท่านบรรลุอรหัตผลได้เร็ว แต่การที่พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขต้องให้ท่านทูลขอฟังธรรมถึง ๓ ครั้งก็เพราะทรงเห็นว่าท่านเดินทางมาไกล ร่างกายอ่อนเพลีย สภาพจิตยังไม่พร้อม เพราะเกิดปีติมากเกินไป พระองค์จึงทรงประวิงเวลารอให้สภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเสียก่อน จึงทรงแสดงธรรม ซึ่งก็ได้ผล คือ เมื่อฟังธรรมจบแล้ว ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลทันที

บั้นปลายชีวิต
หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้วได้ไม่ถึงวันก็นิพพานโดยถูกแม่วัวขวิดตาย ทั้งนี้ด้วยเป็นเพราะบาปกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาให้ผล กรรมเก่านั้น คือ ท่านร่วมกับเพื่อนลวงโสเภณีนางหนึ่งไปฆ่าชิงทรัพย์ เรื่องมีว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งได้ร่วมกับพวกอีก ๓ คนว่าจ้างโสเภณีนางหนึ่งไปหาความสุขสำราญกันในสวน ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ ตกเย็นครั้นจ่ายค่าตัวให้นางแล้ว รู้สึกเสียดายจึงวางแผนฆ่านางทิ้งแล้วชิงเอาเงินคืนพร้อมทั้งปลดเอาเครื่องประดับในตัวนางไปด้วย ฝ่ายโสเภณีเมื่อรู้ว่าจะถูกฆ่าแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีความผิด ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนจะสิ้นชีวิต นางได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการแก้แค้นบ้างในชาติหน้า แรงอาฆาตทำให้นางไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระพาหิยะและเพื่อนอีก ๓ คนนั้น เวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะกรรมนั้นส่งผล แล้วมาในชาตินี้พระพาหิยะก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษิณีอดีตโสเภณีจึงได้แปลงเป็นแม่โคมาขวิดตายหมดทุกคน โดยเพื่อนของท่าน ๓ คน คือ พระปุกกุสาติ (พระเจ้าปุกกุสาติแห่งแคว้นคันธาระ) เพชฌฆาตตัมพทาฐิกะ (โจรเคราแดง) และ สุปปพุทธกุฏฐิ (ชายขอทานขี้เรื้อน)

หลังจากพระพาหิยะถูกแม่โคขวิดตายแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบ ทรงรับสั่งให้พระช่วยกันเผาศพท่านแล้วนำอัฐิไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตรงทาง ๔ แยก เพื่อให้คนได้บูชาและน้อมนึกถึงมาเป็นเครื่องเตือนใจอันเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ได้สังฆานุสติ (การระลึกถึงพระสงฆ์)

เอตทัคคะ-อดีตชาติ
ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตระพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็ว(ขิปปาภิญญา) ท่านเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านได้ทำความดีต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสสอนจนเป็นเหตุให้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
"ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้บวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมเร็ว"

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่ท่านพบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี หลังจากที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้นานแล้ว ช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนากำลังใกล้สูญสิ้นไปจากโลก ท่านได้ออกบวชและได้เห็นพระสาวกต่างประพฤติผิดธรรมวินัยกันเป็นจำนวนมากแล้วเกิดความสลดใจ ท่านพร้อมกับเพื่อนพระอีก ๖ รูป (รวมเป็น ๗ รูป) จึงชวนกันหลีกออกจากหมู่คณะขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขาโดยตั้งใจว่าจะไม่กลับลงมาอีก ล่วงไปได้ ๕ วัน เพื่อนพระที่เป็นพระเถระก็ได้บรรลุอรหัตผล และล่วงวันที่ ๗ เพื่อนพระที่เป็นพระเถระรองลงมาก็ได้บรรลุอนาคามิผล ส่วนพระที่เหลืออีก ๕ รูป เมื่อยังไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลยก็ไม่ยอมฉันอาหารจนร่างกายซูบผอมแล้วมรณภาพลงในที่สุด

พระเถระรูปแรกนิพพานและพระเถระรูปที่ ๒ มรณภาพและได้ไปเป็นพรหมอยู่ชั้นพรหมโลกปัญจสุทธาวาส ส่วนพระอีก ๕ รูปมรณภาพแล้วก็ไปเกิดอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าโคดม) ทั้งหมดนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง

พระพาหิยะมาเกิดเป็นบุตรของกุฎุมพีในแคว้นพาหิยะ ครั้นแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลแต่นิพพานก่อนจะได้บวช อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่สามารถบรรลุธรรมได้เร็ว พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็วดังกล่าวมาแล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
โลกสวย เขียน:
ย่อกว่านี้มีอีกมั๊ยคะ คุณลุง

พระพาหิยะ ท่านเป็นชาวแคว้นพาหิยะโดยกำเนิด เรื่องราว ของท่านดังนี้

สถานะเดิม
เกิดในตระกูลไวศยะ ในตระกูลกุฎุมพีตระกูลหนึ่งในแคว้นพาหิยะ สันนิษฐานว่า ท่านได้ชื่อตามแคว้น

ชีวิตฆราวาส
เมื่อเจริญวัยแล้วได้ประกอบอาชีพค้าขายตามตระกูล เนื่องจากมีภูมิลำเนาอยู่แถบชายฝั่งทะเล ตระกูลของท่านจึงประกอบการค้าขายทางเรือโดยเดินเรือบรรทุกสินค้าไปขายที่สุวรรณภูมิ เมืองท่าเรือสำคัญเมืองหนึ่งที่ท่านเดินเรือผ่านไปมาอยู่เป็นประจำคือ ท่าเรือสุปปารกะ ในอปรันตชนบท

ท่านแล่นเรือค้าขายอยู่อย่างนี้เป็นปกติ วันหนึ่งทะเลเกิดมรสุม คลื่นซัดเรืออัปปางขณะเดินเรือเข้าใกล้เขตท่าเรือสุปปารกะ ลูกเรือตายหมด เหลือรอดอยู่แต่ท่านซึ่งเกาะแผ่นกระดานลอยน้ำมาจนถึงท่าเรือสุปปารกะ ท่านไปถึงท่าเรือด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเนื่องจากเสื้อผ้าหลุดหายไปหมดสิ้น บริเวณท่าเรือสุปปารกะเป็นถิ่นเจริญ มีคนอยู่หนาแน่น ท่านรู้สึกเหนื่อยและหิว แต่รู้สึกละอายที่จะเปลือยกายเข้าไปในชุมชนนั้น ท่านจึงตัดสินใจเอาเปลือกไม้พันตัวแทนเครื่องนุ่งห่มแล้วถือกระเบื้อง จากนั้นจึงแสร้งเดินไปใกล้ศาลเทพารักษ์ แล้วทำทีเป็นเดินออกจากศาลเข้าไปในชุมชน ชาวท่าเรือสุปปารกะได้รับข่าวคราวต่างๆ ตลอดเวลา แม้กระทั่งเรื่องราวของพระอรหันต์ที่มีข่าวมาว่าอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ก็ได้ยินเป็นประจำ เมื่อพาหิยะปรากฏตัวในลักษณะแปลกกว่าคนอื่นคือนุ่งห่มเปลือกไม้ ต่างก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงได้ให้อาหารและยกย่องนับถือ ทำให้ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ต่อมาพาหิยะเองก็สำคัญผิดไปว่า พฤติกรรมของท่านที่เป็นอยู่คือพฤติกรรมของพระอรหันต์ ดังนั้นเมื่อเปลือกไม้แห้งเหี่ยวแล้วก็ไม่ยอมนุ่งห้มผ้าอื่นด้วยเกรงว่าความเป็นพระอรหันต์จะเสื่อมและลาภสักการะก็จะน้อยลง

การออกบวช
ด้วยเหตุที่ท่านนุ่งห่มเปลือกไม้ ฉะนั้นท่านจึงมีชื่อว่า "พาหิยทารุจิริยะ" แปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ จนวันหนึ่ง พรหมองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าในอดีตชาติ ซึ่งสังเกตดูท่านอยู่ตลอดเวลาก็มาจากพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ปรากฏกายให้ท่านเห็นพร้อมทั้งบอกให้ท่านทราบว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์และไม่ได้ปฏิบัติตามทางที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วย พรหมองค์นี้เป็นเพื่อนเก่าของท่านครั้งสมัยพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะและออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมด้วยกัน หลังจากเพื่อนของท่านบรรลุอนาคามิผลแล้วก็มรณภาพไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เห็นท่านประพฤติผิดจึงมาเตือนด้วยความปรารถนาดี และยังได้บอกอีกว่า บัดนี้พระอรหันต์ที่แท้จริงอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์คือพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล

เมืองสาวัตถีไกลจากอปรันตชนบทประมาณ ๑๒๐ โยชน์ (๑,๙๒๐ กิโลเมตร) พระพาหิยะทันทีที่ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น ท่านก็เกิดปีติอย่างแรงกล้า รีบเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะด้วยอาการรีบร้อน เช้าวันหนึ่งจึงมาถึงเมืองสาวัตถึ ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมืองพอดี

ท่านไปที่วัดเชตวันและได้ทราบจากพระในวัดว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง จึงรีบลาจากพระในวัดแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมืองสาวัตถีทันที เหตุที่ท่านรีบร้อนเช่นนี้ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ชีวิตของท่านหรือของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงไร ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้ท่านอาจตายหรือพระพุทธเจ้าอาจปรินิพพานก็ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็คงจะพลาดโอกาสจากการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ด้วยความคิดดังกล่าวทำให้ท่านรีบออกตามหาพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองสารวัตถี จนในที่สุดก็มาพบขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินอยู่กลางถนน ทันทีที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปีติท่วมท้น ถลาเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า พลางทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง

"พาหิยะ" พระพุทธเจ้าตรัสห้าม "เวลานี้มิใช่เวลาแสดงธรรม เห็นไหมตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่กลางถนน"
พระพาหิยะหยุดระยะนิดนึง ครั้นแล้วก็ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงให้ฟังอีกเป็นครั้งที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม ครั้นแล้วท่านก็ทูลขอเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยสมควรฟังธรรมได้ จึงตรัสว่า
"พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกก็สักแต่ว่ารู้สึก"

พระพาหิยะพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านได้บรรลุอรหัตผลทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบ จากนั้นจึงทูลขอบวช แต่ด้วยเหตุที่ท่านไม่เคยสร้างบุญด้วยบาตรและจีวรมาเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงรับสั่งให้ท่านไปหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านก็ทำตาม ขณะที่กำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ ท่านก็ถูกแม่วัวขวิดตายเสียก่อน ท่านจึงนิพพานโดยท่านยังมิทันได้บวช

การบรรลุธรรม
ท่านได้บรรลุอรหัตผลก่อนแล้วจึงทูลขอบวชโดยได้ฟังธรรมว่าด้วยเรื่องการรู้ทันขณะเห็นรูป ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสิ่งสัมผัสทางกาย และนึกคิดอารมณ์ที่เคยได้รับรู้มาแล้วซึ่งเรียกว่า "รู้ทันวิญญาณ ๖" ท่านบรรลุอรหัตผลได้เร็ว แต่การที่พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขต้องให้ท่านทูลขอฟังธรรมถึง ๓ ครั้งก็เพราะทรงเห็นว่าท่านเดินทางมาไกล ร่างกายอ่อนเพลีย สภาพจิตยังไม่พร้อม เพราะเกิดปีติมากเกินไป พระองค์จึงทรงประวิงเวลารอให้สภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเสียก่อน จึงทรงแสดงธรรม ซึ่งก็ได้ผล คือ เมื่อฟังธรรมจบแล้ว ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลทันที

บั้นปลายชีวิต
หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้วได้ไม่ถึงวันก็นิพพานโดยถูกแม่วัวขวิดตาย ทั้งนี้ด้วยเป็นเพราะบาปกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาให้ผล กรรมเก่านั้น คือ ท่านร่วมกับเพื่อนลวงโสเภณีนางหนึ่งไปฆ่าชิงทรัพย์ เรื่องมีว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งได้ร่วมกับพวกอีก ๓ คนว่าจ้างโสเภณีนางหนึ่งไปหาความสุขสำราญกันในสวน ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ ตกเย็นครั้นจ่ายค่าตัวให้นางแล้ว รู้สึกเสียดายจึงวางแผนฆ่านางทิ้งแล้วชิงเอาเงินคืนพร้อมทั้งปลดเอาเครื่องประดับในตัวนางไปด้วย ฝ่ายโสเภณีเมื่อรู้ว่าจะถูกฆ่าแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีความผิด ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนจะสิ้นชีวิต นางได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการแก้แค้นบ้างในชาติหน้า แรงอาฆาตทำให้นางไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระพาหิยะและเพื่อนอีก ๓ คนนั้น เวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะกรรมนั้นส่งผล แล้วมาในชาตินี้พระพาหิยะก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษิณีอดีตโสเภณีจึงได้แปลงเป็นแม่โคมาขวิดตายหมดทุกคน โดยเพื่อนของท่าน ๓ คน คือ พระปุกกุสาติ (พระเจ้าปุกกุสาติแห่งแคว้นคันธาระ) เพชฌฆาตตัมพทาฐิกะ (โจรเคราแดง) และ สุปปพุทธกุฏฐิ (ชายขอทานขี้เรื้อน)

หลังจากพระพาหิยะถูกแม่โคขวิดตายแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบ ทรงรับสั่งให้พระช่วยกันเผาศพท่านแล้วนำอัฐิไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตรงทาง ๔ แยก เพื่อให้คนได้บูชาและน้อมนึกถึงมาเป็นเครื่องเตือนใจอันเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ได้สังฆานุสติ (การระลึกถึงพระสงฆ์)

เอตทัคคะ-อดีตชาติ
ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตระพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็ว(ขิปปาภิญญา) ท่านเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านได้ทำความดีต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสสอนจนเป็นเหตุให้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
"ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้บวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมเร็ว"

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่ท่านพบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี หลังจากที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้นานแล้ว ช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนากำลังใกล้สูญสิ้นไปจากโลก ท่านได้ออกบวชและได้เห็นพระสาวกต่างประพฤติผิดธรรมวินัยกันเป็นจำนวนมากแล้วเกิดความสลดใจ ท่านพร้อมกับเพื่อนพระอีก ๖ รูป (รวมเป็น ๗ รูป) จึงชวนกันหลีกออกจากหมู่คณะขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขาโดยตั้งใจว่าจะไม่กลับลงมาอีก ล่วงไปได้ ๕ วัน เพื่อนพระที่เป็นพระเถระก็ได้บรรลุอรหัตผล และล่วงวันที่ ๗ เพื่อนพระที่เป็นพระเถระรองลงมาก็ได้บรรลุอนาคามิผล ส่วนพระที่เหลืออีก ๕ รูป เมื่อยังไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลยก็ไม่ยอมฉันอาหารจนร่างกายซูบผอมแล้วมรณภาพลงในที่สุด

พระเถระรูปแรกนิพพานและพระเถระรูปที่ ๒ มรณภาพและได้ไปเป็นพรหมอยู่ชั้นพรหมโลกปัญจสุทธาวาส ส่วนพระอีก ๕ รูปมรณภาพแล้วก็ไปเกิดอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าโคดม) ทั้งหมดนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง

พระพาหิยะมาเกิดเป็นบุตรของกุฎุมพีในแคว้นพาหิยะ ครั้นแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลแต่นิพพานก่อนจะได้บวช อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่สามารถบรรลุธรรมได้เร็ว พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็วดังกล่าวมาแล้ว



ขอบพระคุณค่ะ ย่อ ได้เยอะเรย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2018, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181029_171810.jpg
20181029_171810.jpg [ 98.66 KiB | เปิดดู 2189 ครั้ง ]
๒. เรื่องพระทารุจีริยเถระ [๘๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระทารุจีริยเถระ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สหสฺสมปิ เจ คาถา" เป็นต้น.

ทารุจีริยะสำคัญว่าตนเป็นอรหันต์
ความพิสดารว่า ในกาลหนึ่ง มนุษย์เป็นอันมากแล่นเรือไปสู่มหาสมุทร เมื่อเรืออับปางในภายในมหาสมุทร ได้เป็นภักษาของเต่าและปลาแล้ว. บรรดามนุษย์เหล่านั้น บุรุษคนหนึ่งแลจับกระดานไว้ได้แผ่นหนึ่ง พยายามกระเสือกไป สู่ฝั่งแห่งท่าเรือชื่อสุปปารกะ. ผ้านุ่งห่มของเขาไม่มี. บุรุษนั้นไม่เห็นอะไรอื่น จึงเอาปอพันท่อนไม้แห้งทำเป็นผ้านุ่งห่ม ถือกระเบื้องจากเทวสถาน ได้ไปสู่ท่าเรือสุปปารกะ.
มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาแล้วให้ยาคูและภัตเป็นต้นแล้วยกย่องว่า "ผู้นี้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง." บุรุษนั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลายนำผ้าเข้าไปให้ คิดว่า "ถ้าเราจักนุ่งหรือจักห่ม, ลาภสักการะของเราจักเสื่อม" จึงห้ามผ้าที่เขานำมาเสีย นุ่งห่มแต่เปลือกไม้เท่านั้น.
ครั้งนั้น เมื่อเขาถูกมนุษย์เป็นอันมากกล่าวอยู่ว่า "เป็นพระอรหันต์" ความปริวิตกแห่งใจจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "พระอรหันต์ หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งแลในโลก บรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น เราก็เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง." ทีนั้น เทวดาผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อนแห่งบุรุษนั้น ก็คิดแล้ว อย่างนั้น.

พรหมบอกความจริงแก่ทารุจีริยะ
พรหมนั้นได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า "บุรุษนี้พาดบันไดแล้วขึ้นสู่ภูเขา ได้กระทำสมณธรรมกับเรา, เดี๋ยวนี้เขาถือลัทธินี้เที่ยวไป พึงฉิบหาย, เราจักยังเขาให้สลดใจ." ทีนั้น พรหมนั้นเข้าไปหาบุรุษนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า "พาหิยะ ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ดอก ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย ถึงปฏิปทาของท่านเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุพระอรหัตมรรค ก็ยังไม่มี."
พาหิยะแลดูมหาพรหมผู้ยืนพูดอยู่ในอากาศ จึงคิดว่า "โอ! เราทำกรรมหนัก เราคิดว่า ‘เราเป็นพระอรหันต์’, ก็มหาพรหมผู้นี้พูดกะเราว่า ‘ท่านไม่ใช่พระอรหันต์, ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตมรรคเลย’, พระอรหันต์อื่นมีอยู่ในโลกหรือหนอแล?"
ทีนั้น เขาถามมหาพรหมนั้นว่า "ท่านผู้เป็นเทวดา เดี๋ยวนี้พระอรหันต์ หรือผู้บรรลุพระอรหัตมรรค มีอยู่ในโลกหรือหนอแล?"
ครั้งนั้น เทวดาบอกแก่พาหิยะนั้นว่า "พาหิยะ นครชื่อสาวัตถี มีอยู่ในชนบทแถบอุดร, เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะนั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น, พาหิยะ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ด้วย ทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย."

ทารุจีริยะไปเฝ้าพระศาสดา
พาหิยะฟังคำของเทวดาในส่วนแห่งราตรีแล้ว มีใจสลด ในทันใดนั้นนั่นเอง ออกจากท่าเรือสุปปารกะได้ไปถึงกรุงสาวัตถี ด้วยการพักโดยราตรีเดียว. เขาได้เดินทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ทั้งหมดโดยการพักราตรีเดียวเท่านั้น, ก็แลเมื่อไป ไปแล้วด้วยอานุภาพของเทวดา.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ไปด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าบ้าง" ทีเดียว.
ก็ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่กรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต. พาหิยะนั้นถามภิกษุทั้งหลายผู้ฉันอาหารเช้าแล้ว เดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง เพื่อต้องการเปลื้องความคร้านทางกายว่า "เดี๋ยวนี้ พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน?" ภิกษุทั้งหลายตอบว่า "เสด็จเข้าไปกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต" แล้วถามบุรุษนั้นว่า "ก็ท่านมาแต่ที่ไหนเล่า?"
ทารุจีริยะ. ข้าพเจ้ามาแต่ท่าเรือสุปปารกะ.
ภิกษุ. ท่านออกในกาลไร?
ทารุจีริยะ. ข้าพเจ้าออกในเวลาเย็นวานนี้.
ภิกษุ. ท่านมาแต่ที่ไกล จงนั่งก่อน ล้างเท้าแล้วทาด้วยน้ำมันแล้ว จงพักเหนื่อยเสียหน่อย ท่านจักเห็นพระศาสดา ในเวลาที่เสด็จมา.
ทารุจีริยะ. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของพระศาสดา หรือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้หยุด ไม่ได้นั่งในที่ไหน เดินมาสิ้นทาง ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าพอเห็นพระศาสดาแล้ว จึงจักพักเหนื่อย.
พาหิยะนั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว มีทีท่าเร่งร้อน๑- เข้าไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต ด้วยพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ คิดว่า "นานหนอ เราเห็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธะ" ดังนี้แล้ว ก็น้อมตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ตนเห็น ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ในระหว่างถนน จับทีข้อพระบาททั้งสองแน่น แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า "พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรม อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด."
____________________________
๑- ตรมานรูโป = มีรูปแห่งบุคคลผู้ด่วน แปลตรงศัพท์ ไม่ได้ความแก่ภาษา, เพื่อให้ได้ความแก่ภาษาและเหมาะแก่เรื่อง จึงได้แปลอย่างนั้น.

ทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตแต่ยังเป็นคฤหัสถ์
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสห้ามเขาว่า "พาหิยะ ไม่ใช่กาลก่อน, เราเป็นผู้เข้าไปสู่ระหว่างถนนเพื่อบิณฑบาต." พาหิยะฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ผู้ท่องเที่ยวไปในสงสาร ไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวเลยหรือ? ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้าพระองค์, ขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด."
แม้ครั้งที่ ๒ พระศาสดาก็ตรัสห้ามแล้วเหมือนกัน.
ได้ยินว่า พระศาสดานั้นได้ทรงปริวิตกอย่างนี้ว่า "จำเดิมแต่กาลที่พาหิยะนี้เห็นเราแล้ว สรีระทั้งสิ้น (ของเขา) อันปีติท่วมทับไม่มีระหว่าง, ผู้มีปีติกำลัง แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อาจแทงตลอด (ของจริง) ได้, เขาจงตั้งอยู่ในอุเบกขา คือความมัธยัสถ์ก่อน, แม้ความกระวนกระวายของเขาจะมีกำลัง เพราะเป็นผู้เดินมาสิ้นทาง ๑๒๐ โยชน์โดยคืนเดียวเท่านั้น แม้ความกระวนกระวายนั้น จงระงับเสียก่อน"
เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ถูกเขาอ้อนวอนแม้ครั้งที่ ๓ ประทับยืนในระหว่างถนนนั่นเอง ทรงแสดงธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า "พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้ อย่างนี้ว่า เมื่อรูปเราได้เห็นแล้ว รูปจักเป็นเพียงเราเห็น" พาหิยะนั้นกำลังฟังธรรมของพระศาสดานั่นแล ยังอาสวะทั้งหมดให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว ก็แลขณะนั้นนั่นเอง เขาทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกตรัสถามว่า "บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ?" ทูลตอบว่า "ยังไม่ครบ." ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสวงหาบาตรจีวร" แล้วก็เสด็จหลีกไป.
ได้ยินว่า พาหิยะนั้นกระทำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี คิดว่า "ธรรมดาภิกษุได้ปัจจัยด้วยตนแล้ว ไม่เหลียวแลผู้อื่น บริโภคเองเท่านั้น จึงควร" ดังนี้แล้ว ไม่ได้กระทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวร แม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เพราะฉะนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า "บาตรจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้น" จึงไม่ได้ประทานบรรพชา ด้วยความเป็นเอหิภิกษุแก่เขา.
แม้พาหิยะนั้นแสวงหาบาตรจีวรอยู่นั่นแล ยักษิณีตนหนึ่งมาด้วยรูปแม่โคนม ขวิดถูกตรงขาอ่อนข้างซ้าย ให้ถึงความสิ้นชีวิต.
พระศาสดาเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้วเสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ทรงเห็นสรีระของพาหิยะถูกทิ้งในที่กองขยะ จึงทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยืนใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ให้นำเตียงมาแล้ว นำสรีระนี้ออกจากเมือง เผาแล้วกระทำสถูปไว้."
ภิกษุทั้งหลายกระทำดังนั้นแล้ว, ก็แลครั้นกระทำแล้ว ไปยังวิหารเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลบอกกิจที่ตนกระทำแล้ว ทูลถาม อภิสัมปรายภพของพาหิยะนั้น.

ทารุจีริยะเลิศในทางขิปปาภิญญา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกความที่พาหิยะนั้นปรินิพพานแล้วแก่ภิกษุเหล่านั้น ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะ๑- ว่า "ภิกษุทั้งหลาย พาหิยะ ทารุจีริยะ (ผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่าภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้ตรัสรู้เร็ว."
____________________________
๑- อัง. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๘.

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ‘พาหิยะ ทารุจีริยะ บรรลุพระอรหัต’ เขาบรรลุพระอรหัตเมื่อไร?"
พระศาสดา. ในกาลที่เขาฟังธรรมของเรา ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุ. ก็พระองค์ตรัสธรรมแก่เขา เมื่อไรเล่า?
พระศาสดา. เรากำลังเที่ยวบิณฑบาต ยืนในระหว่างถนนกล่าวธรรมแก่เขา.
ภิกษุ. พระเจ้าข้า ก็ธรรมที่พระองค์ประทับยืนในระหว่างถนน ตรัสแล้ว มีประมาณเล็กน้อย, เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยธรรมมีประมาณเพียงนั้นอย่างไร?
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่านับธรรมของเราว่า ‘น้อยหรือมาก’, ด้วยคาถาว่า พันหนึ่งแม้เป็นอเนกที่ไม่อาศัยประโยชน์ ไม่ประเสริฐ, ส่วนบทแห่งคาถาแม้บทเดียวอาศัยประโยชน์ ประเสริฐกว่า" ดังนี้แล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2018, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181028_170536.jpg
20181028_170536.jpg [ 78.66 KiB | เปิดดู 2195 ครั้ง ]
ประวัติเดิมของทารุจีริยะ
ข้อว่า ผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อน คือกระทำสมณธรรมร่วมกันในครั้งก่อน. ได้ยินว่า ในกาลก่อน เมื่อศาสนาของพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ เสื่อมลงอยู่. ภิกษุ ๗ รูปเห็นประการอันแปลกแห่งบรรพชิตทั้งหลายมีสามเณรเป็นต้นแล้ว ถึงความสลดใจ คิดว่า "ความอันตรธานแห่งพระศาสนายังไม่มีเพียงใด, พวกเราจักกระทำที่พึ่งแก่ตนเพียงนั้น" ไหว้พระเจดีย์ทองคำแล้ว เข้าไปสู่ป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงกล่าวว่า "ผู้มีอาลัยในชีวิตจงกลับไป, ผู้ไม่มีอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้" พาดบันไดแล้ว แม้ทั้งหมดขึ้นสู่ภูเขานั้น ผลักบันไดแล้วกระทำสมณธรรม.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น. พระเถระนั้นเคี้ยวไม้ชำระฟันชื่อนาคลดาในสระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป แล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านเคี้ยวไม้ชำระฟันนี้ บ้วนปากแล้วจงฉันบิณฑบาตนี้."
ภิกษุ. ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากันไว้อย่างนี้ว่า "ภิกษุใดบรรลุพระอรหัตก่อน, ภิกษุทั้งหลายที่เหลือ จักฉันบิณฑบาตที่ภิกษุนั้นนำมา หรือ?"
พระเถระ. ผู้มีอายุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น แม้พวกเราพึงยังคุณวิเศษให้บังเกิดเหมือนท่าน, พวกเราจักนำมาบริโภคเอง" ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา.
ในวันที่ ๒ พระเถระองค์ที่ ๒ บรรลุอนาคามิผลแล้ว แม้พระเถระนั้นนำบิณฑบาตมาแล้ว ก็นิมนต์ภิกษุนอกนี้อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากันไว้อย่างนี้ว่า ‘พวกเราจักไม่บริโภคบิณฑบาตที่พระมหาเถระนำมา แต่จักบริโภคบิณฑบาตที่พระอนุเถระนำมา หรือ?"
พระเถระองค์ที่ ๒. ผู้มีอายุ ข้อนั้นไม่มีเลย.
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเรายังคุณวิเศษให้บังเกิดเหมือนท่านแล้ว อาจเพื่อบริโภคด้วยความเพียรแห่งบุรุษของตนได้ จึงจักบริโภค" ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตปรินิพพานแล้ว ภิกษุผู้เป็นอนาคามีบังเกิดในพรหมโลก ภิกษุ ๕ รูปนอกนี้ไม่อาจยังคุณวิเศษให้บังเกิดได้ ผ่ายผอมแล้วกระทำกาละในวันที่ ๗ บังเกิดในเทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว บังเกิดในเรือนแห่งตระกูลนั้นๆ.
บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสาติ, คนหนึ่งได้เป็นพระกุมารกัสสป, คนหนึ่งได้เป็นพระทารุจีริยะ, คนหนึ่งได้เป็นพระทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งได้เป็นปริพาชกชื่อสภิยะแล.
คำว่า เทวดาผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อนนี้ ท่านกล่าวหมายเอาภิกษุผู้ที่บังเกิดในพรหมโลกนั้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2018, 18:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ Kiss Kiss Kiss

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2019, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-6824.jpg
Image-6824.jpg [ 92.86 KiB | เปิดดู 2091 ครั้ง ]
พระพาหิยะ เห็นการเกิดการดับของผัสสะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร