วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 18:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด

อารมณ์ เครื่องยึดหน่วงของจิต, สิ่งที่จิตยึดหน่วง, สิ่งที่ถูกรู้หรือถูกรับรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทีนี้ ถามทั้งเม ทั้งแค่อากาศ

เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร


แค่อากาศตอบคำถามนี้ดูขอรับ :b14:

อนึ่ง เราต่างคนต่างรู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่รู้รู้ถูกหรือผิด ผิดผิดด้านไหน ถูกถูกด้านไหน (มันมีหลายมุมหลายด้าน)
บางทีเรานั่งคิดนั่งบ้า คิกๆๆความคิดอยู่คนเดียว ก็นึกว่าถูกไปสะทั้งหมดก็ได้ ก็พองใจ อิอิ ดังนั้น เราต้องบ้าเถียงกัน (เคยบอกไปแล้วที่เรานั่งโต้เถียงอยู่นี่ก็ใช้สังขาร) :b32:



หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ แล้วก็ไม่จำแนกบอกว่าคืออะไร เพราะอะไร สาเหตุอะไร แล้วก็ถ้าท่านกรัซกายถามต่อผมก็จะถามกลับว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ไหมล่ะครับ :b32: :b32: :b32: ง่ายดีนะครับตอบแบบท่านกรัซกาย ไม่ต้องจำแนกอธิบายถามอย่างไรก็ตอบวนซ้ำไปคำตอบเดิมตามที่เรียนได้จากปริยัติ แล้วก็มีตำราอ้างอิง :b32: :b32: :b32: เริ่มชอบแนวนี้แระครับ


อ้างคำพูด:
หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ


มาอีกแระ ถามอย่างตอบอย่าง เขาถามว่า เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร คิกๆๆ

ถ้าเรียกว่าสังขารเป็นคำรวมรวมทั้งสมาธิด้วย ที่คุณว่านั่นแหละคุณไปแยกแล้วว่าเป็นกุศลเจตสิก นี่่แยกแล้ว

เรื่องธรรมารมณ์ดูความหมาย คห.บน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อีกสักทีเถอะ :b13:

อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!


นั่นก็สังขาร แต่เป็นสังขารฝ่ายดี คือ ปรุงแต่งจิตให้ดีงาม



กระทู้นี้คำถามนี้ไม่เกี่ยวกับอภิญญา เป็นผลปฏิบัติล้วนๆ

ผมขอถามท่านกรัซกายนะครับว่า ที่ว่าสังขารฝ่ายดีปรุงแต่งให้จิตดีงามนั้น..สังขารมันปรุงแต่งแบบไหน มีอะไรเป็นเหตุ เกี่ยวอะไรกับไปทำสมาธิแล้วได้มา แล้วสิ่งที่เขารู้..เขารู้แบบไหน รบกวนอธิบายด้วยครับ แล้วคนอื่นจะทำแบบเขาได้ไหมครับ


สมาธิเป็นสังขารไหม :b1:


ถึงถามไงครับเกี่ยวอะไรกับสมาธิ ทำไมสามีได้ ภรรยาไม่ได้ จึงถามไงครับมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย ทำไมสามีทำสมาธิแล้วจึงได้ สังขารมันปรุงแต่งแบบไหน แล้วสิ่งที่เขารู้ เขารู้อะไร รบกวนอธิบายด้วยครับ แล้วคนอื่นจะทำแบบเขาได้ไหมครับ

การจะตอบอะไรสักอย่าง กล่าวถึงสังขารก็ย่อมต้องรู้ทั้งการปฏิบัติ รู้เหตุ ปัจจัย ผลให้ดำเนินไป ไม่ใช่คิดอยากกล่าวแบบไหนก็กล่าว ใช่มั้ยครับ ต้องจำแนกอธิบายได้ ถ้าตอบแบบนี้คนที่เรียนปริยัติไม่เคยปฏิบัติก็ตอบได้ แต่มีแต่คนปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้จริงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นยังไง อะไรเป็นเหตุปัจจัย ผล :b1: :b1: :b1:



สมาธิเป็นสังขารมันปรุงแต่จิตให้มีสมาธิจิตไง

เขาก็ไปทำไปปฏิบัตินั่นไง :b13: ดูดิ ไม่ใช่อยู่ๆจะเป็นยังงั้น แฟนสาวเขาทำตั้งนานสมาธิจิตยังไม่เกิดเบย ทำเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณแค่อากาศคุณว่าคุณปฏิบัติมา คุณทำแบบไหนยังไงมา เล่าสู่กันฟังบ้างสิขอรับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแค่อากาศ มาอีกแล้วขอรับ สังขาร คุณว่าอะไรเจตสิก


อ้างคำพูด:
ได้ยินเสียงสวดมนต์ทั้งนั่งสมาธิและเดินจงกรม

ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันมาค่ะ

แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องนั่งสมาธิ เกิดปวดขาอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ทนนั่งจนหมดเวลา (ซึ่งเป็นครั้งแรกค่ะ เนื่องจากไม่เคยทนได้เลย) ระหว่างที่ปวดมากๆ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา และสู้เนื่องจากเคยได้ยินว่า "ไม่เคยมีใครตายจากการนั่งสมาธิ" รวมทั้งประโยคที่ว่า "นิพพานอยู่ฝั่งตาย" (จำไม่ได้ว่าเป็นของหลวงพ่อท่านไหนค่ะ) และคิดว่าตายเป็นตายแต่จะไม่ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถก่อนหมดเวลาแน่นอน (ใจก็นึกถึงแต่พระพุทธเจ้าตลอดเวลาค่ะ)

เมื่อนาฬิกาดังหมดเวลา เราก็ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อคลายอาการปวดขา แต่เรารู้สึกว่า...ทันทีที่เราลืมตา เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหู ทั้งๆที่เวลานั้นไม่ได้มีพระสวดมนต์อยู่ใกล้ๆค่ะ

ก่อนหน้านี้....เมื่อครั่งที่เราไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็สวดแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
ที่บ้านเราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหูอีกเหมือนกัน ทั้งๆที่ใกล้ๆบ้านก็ ไม่มีวัด และไม่มีใครเปิดวิทยุค่ะ (ตอนแรกนึกว่ามีพระสวดทำวัตรเย็นอยู่ใกล้ๆ แต่บ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้วัด)

แล้วก็เคยมีอีกครั้งนึง เราคุยกับแม่ แนะนำแม่เรื่องการไปปฎิบัติธรรม และชวนแม่ให้ไปปฏิบัติ ธรรมด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วในหูอีก

เสียงสวดมนต์ที่ได้ยิน 2 ครั้งแรก จะได้ยินเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงชม. แต่ครั้งล่าสุดได้ยิน (หลังจาก
นั่งสมาธิ) ดังนานหลาย ชม. ตั่งแต่ประมาณเกือบ 4 โมงเย็น จนถึงเวลานอนตอน 4 ทุ่มเลย

เสียงสวดมนต์ดังกล่าว เป็นเสียงเหมือนพระสวดมนต์ ฟังจับใจความได้เป็นบางคำ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบทสวดอะไร

บางครั้งก็จะได้ยินเป็นเสียงดนตรีไทยบรรเลงอยู่ ระหว่างสวดมนต์และตอนเดินจงกรม ทั้งที่ วัดและที่บ้าน ถามเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าได้ยินไหม เค้าบอกว่าไม่ เห็นได้ยินอะไรเลย เราก็เลยไม่กล้าถามเค้าต่อ กลัวเขาว่าเราสติไม่ดี อ่ะค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 11:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทีนี้ ถามทั้งเม ทั้งแค่อากาศ

เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร


แค่อากาศตอบคำถามนี้ดูขอรับ :b14:

อนึ่ง เราต่างคนต่างรู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่รู้รู้ถูกหรือผิด ผิดผิดด้านไหน ถูกถูกด้านไหน (มันมีหลายมุมหลายด้าน)
บางทีเรานั่งคิดนั่งบ้า คิกๆๆความคิดอยู่คนเดียว ก็นึกว่าถูกไปสะทั้งหมดก็ได้ ก็พองใจ อิอิ ดังนั้น เราต้องบ้าเถียงกัน (เคยบอกไปแล้วที่เรานั่งโต้เถียงอยู่นี่ก็ใช้สังขาร) :b32:



หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ แล้วก็ไม่จำแนกบอกว่าคืออะไร เพราะอะไร สาเหตุอะไร แล้วก็ถ้าท่านกรัซกายถามต่อผมก็จะถามกลับว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ไหมล่ะครับ :b32: :b32: :b32: ง่ายดีนะครับตอบแบบท่านกรัซกาย ไม่ต้องจำแนกอธิบายถามอย่างไรก็ตอบวนซ้ำไปคำตอบเดิมตามที่เรียนได้จากปริยัติ แล้วก็มีตำราอ้างอิง :b32: :b32: :b32: เริ่มชอบแนวนี้แระครับ


อ้างคำพูด:
หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ


มาอีกแระ ถามอย่างตอบอย่าง เขาถามว่า เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร คิกๆๆ

ถ้าเรียกว่าสังขารเป็นคำรวมรวมทั้งสมาธิด้วย ที่คุณว่านั่นแหละคุณไปแยกแล้วว่าเป็นกุศลเจตสิก นี่่แยกแล้ว

เรื่องธรรมารมณ์ดูความหมาย คห.บน


ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณ์ว่า คืออะไร มีสอ่งใดอะไรที่เป็นธัมมารมณ์บ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์

สังขารเกิดขึ้นที่ไหน เกิดที่ใจ ใจรู้ก็เป็นธัมมารมณ์ ถ้าเกิดที่ตา ตารู้เห็นก็เป็นรูป เกิดที่หูก็เป็นรูปคือเสียงสิครับ :b32: :b32:

ลองศึกษาธรรมเพิ่มเติมนะครับที่มากกว่าความหมายจากบาลี แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในบัญญัติคำนั้นว่ามีอะไรบ้าง
.. เหมือนคำว่าสังขาร คือ ปรุงแต่งเกอดประกอบจิต แล้วสิ่งที่ชื่อว่าสังขารมีอะไรบ้าง เจตสิกทั้งหมดถูกมั้ยครับ คือ รัก โลภ โกรธ หลง สมาธิ ฌาณ ญาณ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สุข ทุกข์ ฯลฯ

เชื่อว่าท่านกรัซกายบ้าธรรมโพสท์กระทู้ธรรมเป็นร้อยจึงไม่น่าที่จะไม่รู้นะครับ แต่หากไม่รู้ศึกษาเพิ่มก็ไม่เสียหลสยเป็นความรู้เพิ่มของท่านเองครับ

ขออนุโมนาครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 14 ก.พ. 2019, 11:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทีนี้ ถามทั้งเม ทั้งแค่อากาศ

เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร


แค่อากาศตอบคำถามนี้ดูขอรับ :b14:

อนึ่ง เราต่างคนต่างรู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่รู้รู้ถูกหรือผิด ผิดผิดด้านไหน ถูกถูกด้านไหน (มันมีหลายมุมหลายด้าน)
บางทีเรานั่งคิดนั่งบ้า คิกๆๆความคิดอยู่คนเดียว ก็นึกว่าถูกไปสะทั้งหมดก็ได้ ก็พองใจ อิอิ ดังนั้น เราต้องบ้าเถียงกัน (เคยบอกไปแล้วที่เรานั่งโต้เถียงอยู่นี่ก็ใช้สังขาร) :b32:



หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ แล้วก็ไม่จำแนกบอกว่าคืออะไร เพราะอะไร สาเหตุอะไร แล้วก็ถ้าท่านกรัซกายถามต่อผมก็จะถามกลับว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ไหมล่ะครับ :b32: :b32: :b32: ง่ายดีนะครับตอบแบบท่านกรัซกาย ไม่ต้องจำแนกอธิบายถามอย่างไรก็ตอบวนซ้ำไปคำตอบเดิมตามที่เรียนได้จากปริยัติ แล้วก็มีตำราอ้างอิง :b32: :b32: :b32: เริ่มชอบแนวนี้แระครับ


อ้างคำพูด:
หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ


มาอีกแระ ถามอย่างตอบอย่าง เขาถามว่า เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร คิกๆๆ

ถ้าเรียกว่าสังขารเป็นคำรวมรวมทั้งสมาธิด้วย ที่คุณว่านั่นแหละคุณไปแยกแล้วว่าเป็นกุศลเจตสิก นี่่แยกแล้ว

เรื่องธรรมารมณ์ดูความหมาย คห.บน


ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณฺคืออะไร มีอะไรบ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์ครับ



สังขาร หมายถึง

ธรรมารมณ์ หมายถึง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 11:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทีนี้ ถามทั้งเม ทั้งแค่อากาศ

เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร


แค่อากาศตอบคำถามนี้ดูขอรับ :b14:

อนึ่ง เราต่างคนต่างรู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่รู้รู้ถูกหรือผิด ผิดผิดด้านไหน ถูกถูกด้านไหน (มันมีหลายมุมหลายด้าน)
บางทีเรานั่งคิดนั่งบ้า คิกๆๆความคิดอยู่คนเดียว ก็นึกว่าถูกไปสะทั้งหมดก็ได้ ก็พองใจ อิอิ ดังนั้น เราต้องบ้าเถียงกัน (เคยบอกไปแล้วที่เรานั่งโต้เถียงอยู่นี่ก็ใช้สังขาร) :b32:



หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ แล้วก็ไม่จำแนกบอกว่าคืออะไร เพราะอะไร สาเหตุอะไร แล้วก็ถ้าท่านกรัซกายถามต่อผมก็จะถามกลับว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ไหมล่ะครับ :b32: :b32: :b32: ง่ายดีนะครับตอบแบบท่านกรัซกาย ไม่ต้องจำแนกอธิบายถามอย่างไรก็ตอบวนซ้ำไปคำตอบเดิมตามที่เรียนได้จากปริยัติ แล้วก็มีตำราอ้างอิง :b32: :b32: :b32: เริ่มชอบแนวนี้แระครับ


อ้างคำพูด:
หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ


มาอีกแระ ถามอย่างตอบอย่าง เขาถามว่า เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร คิกๆๆ

ถ้าเรียกว่าสังขารเป็นคำรวมรวมทั้งสมาธิด้วย ที่คุณว่านั่นแหละคุณไปแยกแล้วว่าเป็นกุศลเจตสิก นี่่แยกแล้ว

เรื่องธรรมารมณ์ดูความหมาย คห.บน


ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณฺคือ

อะไร มีอะไรบ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์ครับ



สังขาร หมายถึง

ธรรมารมณ์ หมายถึง




ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณ์ว่า คืออะไร มีสิ่งใดอะไรที่เป็นธัมมารมณ์บ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์

สังขารเกิดขึ้นที่ไหน เกิดที่ใจ ใจรู้ก็เป็นธัมมารมณ์ ถ้าเกิดที่ตา ตารู้เห็นก็เป็นรูป เกิดที่หูก็เป็นรูปคือเสียงสิครับ :b32: :b32:

ลองศึกษาธรรมเพิ่มเติมนะครับที่มากกว่าความหมายจากบาลี แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในบัญญัติคำนั้นว่ามีอะไรบ้าง
.. เหมือนคำว่าสังขาร คือ ปรุงแต่งเกอดประกอบจิต แล้วสิ่งที่ชื่อว่าสังขารมีอะไรบ้าง เจตสิกทั้งหมดถูกมั้ยครับ คือ รัก โลภ โกรธ หลง สมาธิ ฌาณ ญาณ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สุข ทุกข์ ฯลฯ

เชื่อว่าท่านกรัซกายบ้าธรรมโพสท์กระทู้ธรรมเป็นร้อยจึงไม่น่าที่จะไม่รู้นะครับ แต่หากไม่รู้ศึกษาเพิ่มก็ไม่เสียหลายเป็นความรู้เพิ่มของท่านเองครับ

ขออนุโมนาครับ

.............................


คงรอโพสท์กระทู้ทั้งวัน หมกมุ่นนะนี่ท่าน

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทีนี้ ถามทั้งเม ทั้งแค่อากาศ

เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร


แค่อากาศตอบคำถามนี้ดูขอรับ :b14:

อนึ่ง เราต่างคนต่างรู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่รู้รู้ถูกหรือผิด ผิดผิดด้านไหน ถูกถูกด้านไหน (มันมีหลายมุมหลายด้าน)
บางทีเรานั่งคิดนั่งบ้า คิกๆๆความคิดอยู่คนเดียว ก็นึกว่าถูกไปสะทั้งหมดก็ได้ ก็พองใจ อิอิ ดังนั้น เราต้องบ้าเถียงกัน (เคยบอกไปแล้วที่เรานั่งโต้เถียงอยู่นี่ก็ใช้สังขาร) :b32:



หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ แล้วก็ไม่จำแนกบอกว่าคืออะไร เพราะอะไร สาเหตุอะไร แล้วก็ถ้าท่านกรัซกายถามต่อผมก็จะถามกลับว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ไหมล่ะครับ :b32: :b32: :b32: ง่ายดีนะครับตอบแบบท่านกรัซกาย ไม่ต้องจำแนกอธิบายถามอย่างไรก็ตอบวนซ้ำไปคำตอบเดิมตามที่เรียนได้จากปริยัติ แล้วก็มีตำราอ้างอิง :b32: :b32: :b32: เริ่มชอบแนวนี้แระครับ


อ้างคำพูด:
หากผมจะตอบแบบท่านกรัซกายตองเรื่องสามีได้สมาธิเพราะเจตสิกกุศล ผมก็ตอบคำตอบนี้ได้ว่า เจตสิกเป็นธัมมารมณ์ครับ


มาอีกแระ ถามอย่างตอบอย่าง เขาถามว่า เจตสิก เป็นตนหรือเป็นสังขาร คิกๆๆ

ถ้าเรียกว่าสังขารเป็นคำรวมรวมทั้งสมาธิด้วย ที่คุณว่านั่นแหละคุณไปแยกแล้วว่าเป็นกุศลเจตสิก นี่่แยกแล้ว

เรื่องธรรมารมณ์ดูความหมาย คห.บน


ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณฺคือ

อะไร มีอะไรบ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์ครับ



สังขาร หมายถึง

ธรรมารมณ์ หมายถึง




ข้างบนไม่ได้กล่างถึงว่าธัมมารมณ์ว่า คืออะไร มีสิ่งใดอะไรที่เป็นธัมมารมณ์บ้าง เป็นแบบไหน แต่แค่แปลคำบาลีเท่านั้น

ก็ตอบผมถูกตรงแล้วครับ สังขารเป็นธัมมารมณ์

สังขารเกิดขึ้นที่ไหน เกิดที่ใจ ใจรู้ก็เป็นธัมมารมณ์ ถ้าเกิดที่ตา ตารู้เห็นก็เป็นรูป เกิดที่หูก็เป็นรูปคือเสียงสิครับ :b32: :b32:

ลองศึกษาธรรมเพิ่มเติมนะครับที่มากกว่าความหมายจากบาลี แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในบัญญัติคำนั้นว่ามีอะไรบ้าง
.. เหมือนคำว่าสังขาร คือ ปรุงแต่งเกอดประกอบจิต แล้วสิ่งที่ชื่อว่าสังขารมีอะไรบ้าง เจตสิกทั้งหมดถูกมั้ยครับ คือ รัก โลภ โกรธ หลง สมาธิ ฌาณ ญาณ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สุข ทุกข์ ฯลฯ

เชื่อว่าท่านกรัซกายบ้าธรรมโพสท์กระทู้ธรรมเป็นร้อยจึงไม่น่าที่จะไม่รู้นะครับ แต่หากไม่รู้ศึกษาเพิ่มก็ไม่เสียหลายเป็นความรู้เพิ่มของท่านเองครับ

ขออนุโมนาครับ

.............................


คงรอโพสท์กระทู้ทั้งวัน หมกมุ่นนะนี่ท่าน



มีอะไรก็ไปทำสิ คิกๆๆ หมกมุ่นมากๆจะบ้าอย่างที่บอกนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี หรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนา และสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว


สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนา เป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆ ว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือ เครื่องปรุงของกรรม

คำว่า "อารมณ์" หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป (รูปารมณ์) เสียง (สัททารมณ์) กลิ่น (คันธารมณ์) รส (รสารมณ์) โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพารมณ์) และธัมมารมณ์ (ธรรมารมณ์) (ความนึกคิดต่างๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2019, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี หรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนา และสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว


สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนา เป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆ ว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือ เครื่องปรุงของกรรม

คำว่า "อารมณ์" หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป (รูปารมณ์) เสียง (สัททารมณ์) กลิ่น (คันธารมณ์) รส (รสารมณ์) โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพารมณ์) และธัมมารมณ์ (ธรรมารมณ์) (ความนึกคิดต่างๆ)



สาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดเลยครับท่าน :b35: :b35: :b35: :b8: :b8: :b8:

ทีนี้ท่านกรัซกาย..ลองสงบนิ่ง มีสติเป็นเบื้องหน้า แล้วทำความรู้ไว้ในภายใน อาศัยความเพลิดเพลินยินดีในการทำความรู้เจริญปัญญาในธรรม ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นเป็นอารมณ์เดียวแยก.. จิต สติ ความคิด
สติเกิดขึ้นอย่างไร สติตั้งมั่นแบบไหน ความคิดมาจากไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร จรมายังไง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี หรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนา และสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว


สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนา เป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆ ว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือ เครื่องปรุงของกรรม

คำว่า "อารมณ์" หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป (รูปารมณ์) เสียง (สัททารมณ์) กลิ่น (คันธารมณ์) รส (รสารมณ์) โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพารมณ์) และธัมมารมณ์ (ธรรมารมณ์) (ความนึกคิดต่างๆ)



สาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดเลยครับท่าน :b35: :b35: :b35: :b8: :b8: :b8:

ทีนี้ท่านกรัซกาย..ลองสงบนิ่ง มีสติเป็นเบื้องหน้า แล้วทำความรู้ไว้ในภายใน อาศัยความเพลิดเพลินยินดีในการทำความรู้เจริญปัญญาในธรรม ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นเป็นอารมณ์เดียวแยก.. จิต สติ ความคิด
สติเกิดขึ้นอย่างไร สติตั้งมั่นแบบไหน ความคิดมาจากไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร จรมายังไง

:b8: :b8: :b8:


ทั้งสติ ทั้งอะไรๆต่ออะไรที่ว่ามา มันก็เป็นสังขาร ถูกไหม ประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง คุณไม่ควรตั้งกฎกติกาว่าความคิดมาจากไหน จิต สติ ความคิด (ความคิดก็จิตนั่นแหละ อิอิ) คุณไปแยกอย่างนั้น มันก็กลายเป็นนั่งเพ้อเจ้อไป กูยังงั้นยังงี้ (นี่แหละตน อัตตา) หรือนี่เป็นวิธีปฏิบัติของคุณตามที่พูดก่อนหน้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีอะไรจะให้คุณแค่อากาศดู จขกท. ใช้ชื่อ modran นี่ก็สังขาร

อ้างคำพูด:
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน

คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ

ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย

เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง

แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมี
คนอื่นพูดมาจากใจเรา) กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร

เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ

ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก

แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน

แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html




แค่อากาศไล่ๆอ่านดูก่อน ดูทั้งผู้ถามผู้ตอบ แล้วข้าพเจ้าจะกลับมาใหม่ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 23:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี หรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนา และสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว


สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนา เป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆ ว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือ เครื่องปรุงของกรรม

คำว่า "อารมณ์" หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป (รูปารมณ์) เสียง (สัททารมณ์) กลิ่น (คันธารมณ์) รส (รสารมณ์) โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพารมณ์) และธัมมารมณ์ (ธรรมารมณ์) (ความนึกคิดต่างๆ)



สาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดเลยครับท่าน :b35: :b35: :b35: :b8: :b8: :b8:

ทีนี้ท่านกรัซกาย..ลองสงบนิ่ง มีสติเป็นเบื้องหน้า แล้วทำความรู้ไว้ในภายใน อาศัยความเพลิดเพลินยินดีในการทำความรู้เจริญปัญญาในธรรม ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นเป็นอารมณ์เดียวแยก.. จิต สติ ความคิด
สติเกิดขึ้นอย่างไร สติตั้งมั่นแบบไหน ความคิดมาจากไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร จรมายังไง

:b8: :b8: :b8:


ทั้งสติ ทั้งอะไรๆต่ออะไรที่ว่ามา มันก็เป็นสังขาร ถูกไหม ประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง คุณไม่ควรตั้งกฎกติกาว่าความคิดมาจากไหน จิต สติ ความคิด (ความคิดก็จิตนั่นแหละ อิอิ) คุณไปแยกอย่างนั้น มันก็กลายเป็นนั่งเพ้อเจ้อไป กูยังงั้นยังงี้ (นี่แหละตน อัตตา) หรือนี่เป็นวิธีปฏิบัติของคุณตามที่พูดก่อนหน้า


เพราะไม่รู้ ไม่เคย ไม่ทำ ก็คงไม่เข้าใจว่าทุกอย่างมันแค่ธัมมารมณ์ ธรรมชาติใดคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต จิตตัวนี้เกิดดับตลอดทั้งกลางวันกลางคืน กล่าวตามที่ท่านกรัซกายเข้าใจได้คือ สังขาร ซึ่งทั้งหมดประมวลมาที่ธัมมารมณ์ทั้งหมด

แต่สิ่งที่ผมบอก คือ
- จิต คือ ตัวรู้,
- สติ คือ การรู้,
- คิด คือ ความปรุงแต่งสร้างเรื่องราวสมมติ

หากรู้จุดนี้ไม่ได้ไม่แทงตลอดก็เหมารวมไปว่าจิตที่เป็นตัวรู้ไปด้วยหมดแบบที่ท่านเข้าใจนั่นแหละ

จิต รู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะสติ หรือ คิด ทั้งหมดเป็นธัมมารมณ์ จิตเกี่ยวสิ่งใด สิ่งนั้นคือสิ่งที้จิตเข้าร่วม ยึดครอง เสพย์

ส่วนเรื่องที่ท่านกรัซกายเอามา หากเอามาครบแบบนี้ก็ไม่เป็นการกล่าวหาใคร ในเรื่องหูแว่ว จิตเภท ก็เมื่อรู้ ธรรม ๓ อย่างข้างบน จะรู้โดยทันทีว่า จิตตนรู้สมมติทั้งหมด
.. เมื่อจะแก้ ก็แก้โดย อบรมจิตในสัมปัชัญญะการทำความรู้ตัวให้มาก รู้ปัจจุบัน รู้กิจการงานที่ทำ ในปัจจุบัน ละสมมติความคิด จิตรู้สิ่งใดที่ไม่ใช่การรู้ตัวในสัมปะชัญญะนั้นสิ้งนั้นล้วนเป็นสมมติทั้งหมด ลมหายใจนี้ของจริง มีอยู่จริงเป็นวาโยธาตุในกาย เป็นกายสังขาร ไม่มีลมหายใจนี้ตายเลย ดังนั้นเอาจิตมารู้ของจริงคือลมหายใจเป็นพอ การรู้ลมคือรู้ตามพระพุทธเจ้า รึ้ตัว ระลึกได้ แยกแยะได้ ดังนี้แม้แต่ความคิดในตนยังสมมติเลยแล้วจะไปเอาอะไรกับเสียงภายนอกหรือจากโสตประสาทใดมาว่าจริงได้เล่า ทำอย่างนี้ไปจะหายได้ การรักษาทางโลกรักษาคู่ไปก็เป็นสิ่งดี แต่ที่สำคัญคือใจตน ยามันระงับประสาทความคิด ยาบางตัวแรงไปก็ทำให้ผู้ป่วยเบลอเอ๋อ แล้วก็แพ้ ช๊อคได้ ยาอ่อนไปก็ยังเพ้อคิดและเป็นเหมือนเดิมแต่อาจจะทุเลาลงแค่นั้นเอง เพราะผมเห็นมาแล้วในสมัยที่ไปเฝ้าไข้แม่อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม ในโรงพยาบาลต่างจังหวัด แล้วก็จะมีคนไข้เตียงข้างๆอาการแบบนี้แหละญาติเขาพามารักษา ตามบ้านนอกผู้ป่วยเขาจะรวมๆกันอยู่ จึงเห็นหมดการรักษาทางโลก จึงเห็นว่าที่สุดคือรักษาด้วยใจนี้ ปฏิบัติถูกตรงก็ไม่บ้า

ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นประโยชน์ไรๆจากที่ท่านกรัซกายทำอยู่นี้เลยนอกจากสนองความหมกมุ่นที่จะอ่าน จะโพสท์ธรรม หรือแทคคุยกระทู้ธรรมของตน

คุยมากผมจะบ้าตามมั้ยนี้ อิอิ พอเห็นท่านกรัซกานมาแนวนี้ผมก็เริ่มไม่อยากคุยธรรม ไม่อนากศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว

ขออนุโมทนาที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

และขอบคุณที่ทำให้เห็นโทษ จนไม่คิดอยากคุยธรรมแล้วครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2019, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดี หรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่ เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวง เว้นเวทนา และสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว


สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ได้แก่ องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนา เป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น
ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆ ว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือ เครื่องปรุงของกรรม

คำว่า "อารมณ์" หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป (รูปารมณ์) เสียง (สัททารมณ์) กลิ่น (คันธารมณ์) รส (รสารมณ์) โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพารมณ์) และธัมมารมณ์ (ธรรมารมณ์) (ความนึกคิดต่างๆ)



สาธุ สาธุ สาธุ สุดยอดเลยครับท่าน :b35: :b35: :b35: :b8: :b8: :b8:

ทีนี้ท่านกรัซกาย..ลองสงบนิ่ง มีสติเป็นเบื้องหน้า แล้วทำความรู้ไว้ในภายใน อาศัยความเพลิดเพลินยินดีในการทำความรู้เจริญปัญญาในธรรม ทำจิตให้ตั้งมั่นขึ้นเป็นอารมณ์เดียวแยก.. จิต สติ ความคิด
สติเกิดขึ้นอย่างไร สติตั้งมั่นแบบไหน ความคิดมาจากไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร จรมายังไง

:b8: :b8: :b8:


ทั้งสติ ทั้งอะไรๆต่ออะไรที่ว่ามา มันก็เป็นสังขาร ถูกไหม ประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง คุณไม่ควรตั้งกฎกติกาว่าความคิดมาจากไหน จิต สติ ความคิด (ความคิดก็จิตนั่นแหละ อิอิ) คุณไปแยกอย่างนั้น มันก็กลายเป็นนั่งเพ้อเจ้อไป กูยังงั้นยังงี้ (นี่แหละตน อัตตา) หรือนี่เป็นวิธีปฏิบัติของคุณตามที่พูดก่อนหน้า


เพราะไม่รู้ ไม่เคย ไม่ทำ ก็คงไม่เข้าใจว่าทุกอย่างมันแค่ธัมมารมณ์ ธรรมชาติใดคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต จิตตัวนี้เกิดดับตลอดทั้งกลางวันกลางคืน กล่าวตามที่ท่านกรัซกายเข้าใจได้คือ สังขาร ซึ่งทั้งหมดประมวลมาที่ธัมมารมณ์ทั้งหมด

แต่สิ่งที่ผมบอก คือ
- จิต คือ ตัวรู้,
- สติ คือ การรู้,
- คิด คือ ความปรุงแต่งสร้างเรื่องราวสมมติ

หากรู้จุดนี้ไม่ได้ไม่แทงตลอดก็เหมารวมไปว่าจิตที่เป็นตัวรู้ไปด้วยหมดแบบที่ท่านเข้าใจนั่นแหละ

จิต รู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะสติ หรือ คิด ทั้งหมดเป็นธัมมารมณ์ จิตเกี่ยวสิ่งใด สิ่งนั้นคือสิ่งที้จิตเข้าร่วม ยึดครอง เสพย์

ส่วนเรื่องที่ท่านกรัซกายเอามา หากเอามาครบแบบนี้ก็ไม่เป็นการกล่าวหาใคร ในเรื่องหูแว่ว จิตเภท ก็เมื่อรู้ ธรรม ๓ อย่างข้างบน จะรู้โดยทันทีว่า จิตตนรู้สมมติทั้งหมด
.. เมื่อจะแก้ ก็แก้โดย อบรมจิตในสัมปัชัญญะการทำความรู้ตัวให้มาก รู้ปัจจุบัน รู้กิจการงานที่ทำ ในปัจจุบัน ละสมมติความคิด จิตรู้สิ่งใดที่ไม่ใช่การรู้ตัวในสัมปะชัญญะนั้นสิ้งนั้นล้วนเป็นสมมติทั้งหมด ลมหายใจนี้ของจริง มีอยู่จริงเป็นวาโยธาตุในกาย เป็นกายสังขาร ไม่มีลมหายใจนี้ตายเลย ดังนั้นเอาจิตมารู้ของจริงคือลมหายใจเป็นพอ การรู้ลมคือรู้ตามพระพุทธเจ้า รึ้ตัว ระลึกได้ แยกแยะได้ ดังนี้แม้แต่ความคิดในตนยังสมมติเลยแล้วจะไปเอาอะไรกับเสียงภายนอกหรือจากโสตประสาทใดมาว่าจริงได้เล่า ทำอย่างนี้ไปจะหายได้ การรักษาทางโลกรักษาคู่ไปก็เป็นสิ่งดี แต่ที่สำคัญคือใจตน ยามันระงับประสาทความคิด ยาบางตัวแรงไปก็ทำให้ผู้ป่วยเบลอเอ๋อ แล้วก็แพ้ ช๊อคได้ ยาอ่อนไปก็ยังเพ้อคิดและเป็นเหมือนเดิมแต่อาจจะทุเลาลงแค่นั้นเอง เพราะผมเห็นมาแล้วในสมัยที่ไปเฝ้าไข้แม่อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม ในโรงพยาบาลต่างจังหวัด แล้วก็จะมีคนไข้เตียงข้างๆอาการแบบนี้แหละญาติเขาพามารักษา ตามบ้านนอกผู้ป่วยเขาจะรวมๆกันอยู่ จึงเห็นหมดการรักษาทางโลก จึงเห็นว่าที่สุดคือรักษาด้วยใจนี้ ปฏิบัติถูกตรงก็ไม่บ้า

ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นประโยชน์ไรๆจากที่ท่านกรัซกายทำอยู่นี้เลยนอกจากสนองความหมกมุ่นที่จะอ่าน จะโพสท์ธรรม หรือแทคคุยกระทู้ธรรมของตน

คุยมากผมจะบ้าตามมั้ยนี้ อิอิ พอเห็นท่านกรัซกานมาแนวนี้ผมก็เริ่มไม่อยากคุยธรรม ไม่อนากศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว

ขออนุโมทนาที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

และขอบคุณที่ทำให้เห็นโทษ จนไม่คิดอยากคุยธรรมแล้วครับ



เป็นสะงั้น :b13:

นั่นแหละสังขารมันปรุงแต่ง พอสังขารปรุงแต่งจิตให้เป็นนั่นเป็นนี่ คนก็หลงสังขารไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร