วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 18:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2019, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:


คุยมากผมจะบ้าตามมั้ยนี้ อิอิ พอเห็นท่านกรัซกานมาแนวนี้ผมก็เริ่มไม่อยากคุยธรรม ไม่อนากศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว

ขออนุโมทนาที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

และขอบคุณที่ทำให้เห็นโทษ จนไม่คิดอยากคุยธรรมแล้วครับ



ถ้าคุณแค่อากาศกลัวบ้าตามก็เอาอันนี้บ้าง (ตัดๆมา)



อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์
ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจ เสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้ หลังจากนั้น ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้น มีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

(ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน
แต่ผมก็คิดว่า เวลานี้จิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า
ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔

(ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธี แล้วรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะ กับ วิธีนี้ คือ เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง)

แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ในทิศเบื้องหน้า ฯลฯ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้ รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึก ว่า ลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างปีติอยู่
แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ
แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น ผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาน หรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆ ตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น



http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

อันนี้ไม่บ้าแล้ว แต่อย่างว่าถูกสังขาร คือ สมาธิหลอกเอาเหมือนกัน (นี่พูดในแง่สังขารที่ปรุงแต่งจิต ตามที่คุณถามว่า มันปรุงแต่งไง ปรุงแต่งยังงั้นแหละ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2019, 08:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:


คุยมากผมจะบ้าตามมั้ยนี้ อิอิ พอเห็นท่านกรัซกานมาแนวนี้ผมก็เริ่มไม่อยากคุยธรรม ไม่อนากศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว

ขออนุโมทนาที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

และขอบคุณที่ทำให้เห็นโทษ จนไม่คิดอยากคุยธรรมแล้วครับ



ถ้าคุณแค่อากาศกลัวบ้าตามก็เอาอันนี้บ้าง (ตัดๆมา)



อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์
ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจ เสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้ หลังจากนั้น ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้น มีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

(ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน
แต่ผมก็คิดว่า เวลานี้จิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า
ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔

(ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธี แล้วรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะ กับ วิธีนี้ คือ เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง)

แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ในทิศเบื้องหน้า ฯลฯ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้ รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึก ว่า ลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างปีติอยู่
แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ
แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น ผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาน หรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆ ตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น



http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

อันนี้ไม่บ้าแล้ว แต่อย่างว่าถูกสังขาร คือ สมาธิหลอกเอาเหมือนกัน (นี่พูดในแง่สังขารที่ปรุงแต่งจิต ตามที่คุณถามว่า มันปรุงแต่งไง ปรุงแต่งยังงั้นแหละ)



ถามว่าผมเข้าใจไหม ผมเข้าใจที่ท่านยกมาอละพยายามจะสื่อนะครับ

แต่ที่ผมต้องการคืออยากให้ท่านกรัซกายลำดับการปรุงแต่งให้ดูหน่อยครับ เอาแบบทีท่านปฏิบัติรู้ก็ได้ ท่องจำอภิธรรมมาก็ได้ว่า..

1. ทำสมาธิแบบไหน (ที่ท่านยกมาคือ แผ่เมตตา สวดมนต์แผ่เมตตาไปแบบไม่มีประมาณไม่เจาะจง)
2. จิตเดินเข้าสมาธิยังไง(ไม่มี)
3. องค์สมาธิ องค์ฌาณมันอาศัยอะไรเกิดขึ้น(ไม่มี)
4. ปิติ และ สุข ในสมาธิ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เกิดขึ้นได้อย่างไร(ไม่มี)
5. เมื่ออยู่ในสมาธิ อยู่ในฌาณ มีความรู้ รู้ยังไง(ไม่มี)

ที่ท่านยกมาบอกแค่ว่าเขาทำแล้วมีความรู้สึกอย่างไรเท่านั้นเอง หากท่านจะกล่าวว่าสังขาร สังขารเป็นแบบไหน เกิดอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัย ผล ขันธ์ ๕ ล้วนเกิดแต่เหตุทั้งสิ้น มีเหตุให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าท่านเพียงจะกล่าวเอาเพียงคนนั้นคนนี้มาพูดว่า ได้อะไร ด้วยคิดว่ามันตรงกับคำตอบ หรือเพราะมองภาพออกได้
..โดยที่เราไม่สามารถอธิบายให้ชัดอะไรได้เลย ไม่สามารถพูดได้ตามจริง เพราะเราไม่ถึง ไม่เคยเห็น
..หรือ..แม้จะเคยถึง เคยเห็น แต่ไม่แจ้งใจ ไม่แทงตลอด แล้วไปตีรวนเขา แล้วเราไปฟันธงตีรวนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ บ้า หรือ ดี, ถูก หรือ ผิด, ใช่ตรง หรือ หลง นั่นมันท่านกรัซกายหลงยึดความคิดตนแล้ว หลงในสังขารตน หลงเพราะอนุมานคาดคะเน หลงจากคิดตาม เชื่อตรรกกะของตน ประมวลมากล่าวโดยย่อคือหลงธรรมมารมณ์นั่นเอง

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2019, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:


คุยมากผมจะบ้าตามมั้ยนี้ อิอิ พอเห็นท่านกรัซกานมาแนวนี้ผมก็เริ่มไม่อยากคุยธรรม ไม่อนากศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว

ขออนุโมทนาที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

และขอบคุณที่ทำให้เห็นโทษ จนไม่คิดอยากคุยธรรมแล้วครับ



ถ้าคุณแค่อากาศกลัวบ้าตามก็เอาอันนี้บ้าง (ตัดๆมา)



อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์
ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์
ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจ เสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้ หลังจากนั้น ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้น มีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

(ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน
แต่ผมก็คิดว่า เวลานี้จิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า
ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔

(ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธี แล้วรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะ กับ วิธีนี้ คือ เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง)

แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ในทิศเบื้องหน้า ฯลฯ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้ รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึก ว่า ลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างปีติอยู่
แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ
แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น ผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาน หรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆ ตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น



http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

อันนี้ไม่บ้าแล้ว แต่อย่างว่าถูกสังขาร คือ สมาธิหลอกเอาเหมือนกัน (นี่พูดในแง่สังขารที่ปรุงแต่งจิต ตามที่คุณถามว่า มันปรุงแต่งไง ปรุงแต่งยังงั้นแหละ)



ถามว่าผมเข้าใจไหม ผมเข้าใจที่ท่านยกมาอละพยายามจะสื่อนะครับ

แต่ที่ผมต้องการคืออยากให้ท่านกรัซกายลำดับการปรุงแต่งให้ดูหน่อยครับ เอาแบบทีท่านปฏิบัติรู้ก็ได้ ท่องจำอภิธรรมมาก็ได้ว่า..

1. ทำสมาธิแบบไหน (ที่ท่านยกมาคือ แผ่เมตตา สวดมนต์แผ่เมตตาไปแบบไม่มีประมาณไม่เจาะจง)
2. จิตเดินเข้าสมาธิยังไง(ไม่มี)
3. องค์สมาธิ องค์ฌาณมันอาศัยอะไรเกิดขึ้น(ไม่มี)
4. ปิติ และ สุข ในสมาธิ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เกิดขึ้นได้อย่างไร(ไม่มี)
5. เมื่ออยู่ในสมาธิ อยู่ในฌาณ มีความรู้ รู้ยังไง(ไม่มี)

ที่ท่านยกมาบอกแค่ว่าเขาทำแล้วมีความรู้สึกอย่างไรเท่านั้นเอง หากท่านจะกล่าวว่าสังขาร สังขารเป็นแบบไหน เกิดอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัย ผล ขันธ์ ๕ ล้วนเกิดแต่เหตุทั้งสิ้น มีเหตุให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าท่านเพียงจะกล่าวเอาเพียงคนนั้นคนนี้มาพูดว่า ได้อะไร ด้วยคิดว่ามันตรงกับคำตอบ หรือเพราะมองภาพออกได้
..โดยที่เราไม่สามารถอธิบายให้ชัดอะไรได้เลย ไม่สามารถพูดได้ตามจริง เพราะเราไม่ถึง ไม่เคยเห็น
..หรือ..แม้จะเคยถึง เคยเห็น แต่ไม่แจ้งใจ ไม่แทงตลอด แล้วไปตีรวนเขา แล้วเราไปฟันธงตีรวนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ บ้า หรือ ดี, ถูก หรือ ผิด, ใช่ตรง หรือ หลง นั่นมันท่านกรัซกายหลงยึดความคิดตนแล้ว หลงในสังขารตน หลงเพราะอนุมานคาดคะเน หลงจากคิดตาม เชื่อตรรกกะของตน ประมวลมากล่าวโดยย่อคือหลงธรรมมารมณ์นั่นเอง



จะลำดับอะไรอีกเล่าขอรับ ก็มันเป็นยังงั้น มันก็เป็นยังงั้น :b1: ก็รู้ว่ามันเป็นยังงั้น

จะลำดับยังไง แบบไหน จากอาจารย์ใด ผิดหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2019, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอางี้บ้าง ผ่อนลงมาหน่อย

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วเห็นคนนั่งก้มหน้า

คือ เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้ง บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คน
หญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า


นี่ก็สังขารปรุงแต่งจิต :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2019, 22:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามนั้นแหละท่าน ท่านอธิบายออกมาได้อย่างนั้น มันก็ตรงตามกำลังความรู้ที่ท่านรู้ท่านเข้าใจแล้วเรื่องสังขารครับ :b1: :b1:

ซึ่งการจะรู้มากน้อยอยู่ที่การศึกษาปฏิบัติ และความเพียรเข้าถึงของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันครับ ดูได้จากการอธิบายและสิ่งที่ยกมาอธิบาย และถึงผมจะถามท่าน ก็คงเหมือนเดิม ท่านก็จะก๊อปกระทู้ที่ท่านคิดว่าเป็นคำตอบมา ซึ่งไม่ใช่ตรงตามที่ถามเป๊ะๆ

และถ้าเมื่อผมยกแสดงท่านก้จะกล่าวว่านี่ไงก็มีครบในนี้ไง โดยมี่ท่านไม่สามารถจะสาธยายอย่างนั้นได้ แต่จะพูดถึงผลเท่านั้น ซึ่งมันคนละส่วนกัน
(อาจจะเพราะท่านรู้อยู่แต่ขี้เกียจพิมพ์ก็ได้ แต่ถ้าขี้เกียจพิมพ์ท่านก็คงไๆม่พิมพ์กระทู้ธรรมนับร้อยกระทู้
:b1: :b1: :b1: )

ที่ถามท่านให้ท่านตอบ อธิบาย ลำดับ เหตุ ปัจจัย ผล ผมไม่ได้อะไรจากท่านนะ ไม่ใช่ถามลองภูมิท่านเลย ..แต่ท่านนั่นแหละเป็นคนที่ได้เองครับ ลองมองให้กว้างขึ้นกว่าที่ท่านคิด เมื่อใดกรอบการยึดถือความคิดท่านแตกออกนั่นแหละปัญญาเกิดขึ้นล้วนๆครับ

ผมถึงกล่าวว่า ก่อนเราจะกล่าวฟันธงสิ่งใดได้ ถ้าไม่แตกฉานก็เหมือนเราแสดงอัตตาตนเอง หรือทำได้แค่คิดครับท่าน เมื่อกล้ากล่าวฟันธงเราต้องเป็นผู้รู้เห็นตามจริง ตอบคำถามได้ตรง อธิบายได้ สาธยายได้ จำแนกแจกแจงละเอียดได้

เช่น
- สุขในสมาธิเกิดขึ้นได้ยังไง มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น ท่านก็ต้องอธิบายเหตุผลได้ ถ้าตอบว่ามันคือองค์ของฌาณ นี่กำปั้นทุบดินนะครับ ถามว่าเข้าฌาณแล้วเกิดสึุขได้อย่างไร อธิบายไม่ได้ตอบแค่องค์ฌาณ แล้วที่ท่านโพสท์ธรรมมามันก็เท่านั้นแหละครับไม่มีประโยชน์เลยถ้าจะกล่าวได้เช่นนั้น
- ปราโมทย์จากกุศล และ ศีลเกิดขึ้นได้ยังไง บอกว่าเพราะ อวิปติสสาร ผมก็พูดได้ เด็ก ป.3 ก็พิมพ์ตอบได้ครับ นักอภิธรรมทั่วไปก็ตอบได้ แต่ถามว่าศีล กุศลจิตทำอะไรกับจิตจึงเกิดเป็น อวิปติสสาร อวิปติสสารเกิดแล้วด้วยอะไร ดำรงอยู่แบบไหนจึงเกิดปราโมทย์ นี่ตอบไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ จะตอบได้ก็แค่ปราโมทย์เป็นอานิสงส์อวิปติสสาร นี่ไม่ใช่การจำแนกธรรม ลำดับธรรม นี่แค่การท่องจำล้วนๆ ดังนั้นที่ท่านโพสท์ธรรมา ตำหนิคนนั้นผิด คนโน้นถูก ก็เท่ากับท่านเอาอัตตามาอวดโง่ตนเอง
- โสภณจิตเกิดได้เพราะสิ่งใด แม้คนเรียนอภิธรรมก็กล่าวเหตุปัจจัยนี้ได้เพียงตามตำราว่าเท่านั้น ว่าเพราะเจตสิกตัวนี้เกิดร่วมกับเจตสิกตัวนี้ นี่เขาอะธิบายเกตุปัจจัยนะ ถูกด้วย ตรงด้วย แต่โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเหตุที่จะทำให้เจตสิกเหล่านั้นเกิดแสดงผลได้อย่างนั้นคือต้องทำยังไง เป็นแบบไหน โดยถ้ารู้ก็ทำได้แล้ว ถ้าไม่รู้ก็ยังทำไม่ได้ยังอยู่ที่สภาวะคิดคาดคะเนตามตำราเอาเท่านั้น

จริงๆมันไม่ยากไม่มากมายเลยนะ สิ่งที่ผมถามท่านกรัซกายทุกกระทู้ มันเพื่อตัวท่านเองทั้งหมด เป็นการให้ท่านใช้ปัญญา ทำให้เข้าถึง เมื่อท่าย่อธรรมสรุปผลของธรรมได้ ท่านก็ต้องจำแนกแจกแจงได้ สาธยายธรรม อธิบายขยายความได้ถูกต้องและตรงตามจริงด้วยเช่นกัน ..สามารถตอบคำถามธรรมที่ตนแสดงได้อย่างละเอียดมีเหตุผลเป็นไปตามจริง [b]ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่สำคัญต่อท่านกรัซกายเอง เพราะท่านชอบโพสท์ธรรม เพราะชอบชี้นำฟันธง ข้อนี้จึงสำคัญที่ท่านต้องมีเพื่อความถูกต้องและตรงตามจริง เพื่อปฏิภาณของท่านเอง ไม่ตอบเฉียงๆ หลีกเลี่ยง เอียงๆ[/b]

ยกตัวอย่าง..เหมือนเรื่องตำส้มตำนั่นแหละครับ ที่จริงผลหรือหลักการทำงานมันง่ายๆ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะชี้แจงสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เช่น คำว่า..ตั้งใจทำให้ออกมาดี..คำนี้มันเข้าใจได้พูดง่าย รวบยอด แต่จะทำยังไงให้มันออกมาดี มีหลักการอย่างไร วิธีฝึกฝนยังไงให้ได้ผลลัพธ์นั้น นี่สำคัญและยากกว่า ซึ่งท่านจำแนกให้ดูไม่ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว ..และถึงแม้จะบอกว่าทำบ่อยๆสะสมไป ก็แล้วที่ให้ทำบ่อยๆ คือต้องทำแบบไหน ทำซ้ำๆเดิมตำส้มตำออกมามันก็เหมือนเดิมไม่อร่อยก็ไม่อร่อยอย่างเดิม มีดีขึ้นคือเร็วขึ้นคล่องขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้นมันมีหลักการทำยังไงบ้าง เมื่อผมจะตอบ ผมจะตอบว่า..ด้วยประการฉะนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ใช้ปัญญา ทรงสอนธรรมใน อิทธิบาท ๔ เพื่อใช้ปฏิบัติการงานทุกอย่างให้สำเร็จไปได้ด้วยดี การเจริญสิ่งใดทำกิจการงานใดต้องมีอริยะสัจ ๔ จึงจะสำเร็จบริบูรณ์ตามเป้าหมาย

ข้อนี้มันเป็นความต่างระหว่างพระปัจเจกพุทธเจ้า กับพระพุมธเจ้า สมมติสาวกกับสาวก สาวกทั่วไปกับอริยะสาวก

:b1: :b1: :b1:

ขอบคุณท่านกรัซกายที่กรุณาคุยด้วยกับผมครับ :b8: :b8: :b8:
ผมก็เจริญใจพอสมควรครับมี่ท่านแบ่งปันความรู้ :b8: :b8: :b8:



ปล. การยกว่าปฏิบัติธรรมแล้วบ้านั้นไม่ควรนำมาเสนอ ดังที่ผมแสดงตอบให้ท่านเห็น ทำให้กลัว ชัง ระอาในพระพุทธศาสนา ไม่อยากคุยธรรม ไม่อยากปฏิบัติธรรม ไม่สนใจธรรมของพระพุทธเจ้าเพราะกลัวบ้า ศาสนาคริสต์เขาไม่มีคนบ้า อิสลามไม่มีคนบ้า เขาไปนับถือตามไม่ดีกว่าหรือครับ ดังนั้นที่ท่านเอามากล่าวทั้งปวงมันทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรงครับ นั้นเพราะท่านอธิบายด้วยตัวเองไม่ได้ จึงไปเอากระทู้ที่ตนคิดว่าตรงกับคำตอบมา อ้างอิงไปจนทำให้คนไม่รู้เขาเกลียดกลัวพระพุทธศาสนา :b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ก็สังขารปรุงแต่งจิตให้คิดให้เขียนไป :b13:

อ้างคำพูด:
แค่อากาศ

ถามว่าผมเข้าใจไหม ผมเข้าใจที่ท่านยกมาอละพยายามจะสื่อนะครับ

แต่ที่ผมต้องการคืออยากให้ท่านกรัซกายลำดับการปรุงแต่งให้ดูหน่อยครับ เอาแบบทีท่านปฏิบัติรู้ก็ได้ ท่องจำอภิธรรมมาก็ได้ว่า..

1. ทำสมาธิแบบไหน (ที่ท่านยกมาคือ แผ่เมตตา สวดมนต์แผ่เมตตาไปแบบไม่มีประมาณไม่เจาะจง)
2. จิตเดินเข้าสมาธิยังไง(ไม่มี)
3. องค์สมาธิ องค์ฌาณมันอาศัยอะไรเกิดขึ้น(ไม่มี)
4. ปิติ และ สุข ในสมาธิ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เกิดขึ้นได้อย่างไร(ไม่มี)
5. เมื่ออยู่ในสมาธิ อยู่ในฌาณ มีความรู้ รู้ยังไง(ไม่มี)

ที่ท่านยกมาบอกแค่ว่าเขาทำแล้วมีความรู้สึกอย่างไรเท่านั้นเอง หากท่านจะกล่าวว่าสังขาร สังขารเป็นแบบไหน เกิดอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัย ผล ขันธ์ ๕ ล้วนเกิดแต่เหตุทั้งสิ้น มีเหตุให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าท่านเพียงจะกล่าวเอาเพียงคนนั้นคนนี้มาพูดว่า ได้อะไร ด้วยคิดว่ามันตรงกับคำตอบ หรือเพราะมองภาพออกได้
..โดยที่เราไม่สามารถอธิบายให้ชัดอะไรได้เลย ไม่สามารถพูดได้ตามจริง เพราะเราไม่ถึง ไม่เคยเห็น
..หรือ..แม้จะเคยถึง เคยเห็น แต่ไม่แจ้งใจ ไม่แทงตลอด แล้วไปตีรวนเขา แล้วเราไปฟันธงตีรวนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ บ้า หรือ ดี, ถูก หรือ ผิด, ใช่ตรง หรือ หลง นั่นมันท่านกรัซกายหลงยึดความคิดตนแล้ว หลงในสังขารตน หลงเพราะอนุมานคาดคะเน หลงจากคิดตาม เชื่อตรรกกะของตน ประมวลมากล่าวโดยย่อคือหลงธรรมมารมณ์นั่นเอง


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ตามนั้นแหละท่าน ท่านอธิบายออกมาได้อย่างนั้น มันก็ตรงตามกำลังความรู้ที่ท่านรู้ท่านเข้าใจแล้วเรื่องสังขารครับ :b1: :b1:

ซึ่งการจะรู้มากน้อยอยู่ที่การศึกษาปฏิบัติ และความเพียรเข้าถึงของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันครับ ดูได้จากการอธิบายและสิ่งที่ยกมาอธิบาย และถึงผมจะถามท่าน ก็คงเหมือนเดิม ท่านก็จะก๊อปกระทู้ที่ท่านคิดว่าเป็นคำตอบมา ซึ่งไม่ใช่ตรงตามที่ถามเป๊ะๆ

และถ้าเมื่อผมยกแสดงท่านก้จะกล่าวว่านี่ไงก็มีครบในนี้ไง โดยมี่ท่านไม่สามารถจะสาธยายอย่างนั้นได้ แต่จะพูดถึงผลเท่านั้น ซึ่งมันคนละส่วนกัน
(อาจจะเพราะท่านรู้อยู่แต่ขี้เกียจพิมพ์ก็ได้ แต่ถ้าขี้เกียจพิมพ์ท่านก็คงไๆม่พิมพ์กระทู้ธรรมนับร้อยกระทู้
:b1: :b1: :b1: )

ที่ถามท่านให้ท่านตอบ อธิบาย ลำดับ เหตุ ปัจจัย ผล ผมไม่ได้อะไรจากท่านนะ ไม่ใช่ถามลองภูมิท่านเลย ..แต่ท่านนั่นแหละเป็นคนที่ได้เองครับ ลองมองให้กว้างขึ้นกว่าที่ท่านคิด เมื่อใดกรอบการยึดถือความคิดท่านแตกออกนั่นแหละปัญญาเกิดขึ้นล้วนๆครับ

ผมถึงกล่าวว่า ก่อนเราจะกล่าวฟันธงสิ่งใดได้ ถ้าไม่แตกฉานก็เหมือนเราแสดงอัตตาตนเอง หรือทำได้แค่คิดครับท่าน เมื่อกล้ากล่าวฟันธงเราต้องเป็นผู้รู้เห็นตามจริง ตอบคำถามได้ตรง อธิบายได้ สาธยายได้ จำแนกแจกแจงละเอียดได้

เช่น
- สุขในสมาธิเกิดขึ้นได้ยังไง มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น ท่านก็ต้องอธิบายเหตุผลได้ ถ้าตอบว่ามันคือองค์ของฌาณ นี่กำปั้นทุบดินนะครับ ถามว่าเข้าฌาณแล้วเกิดสึุขได้อย่างไร อธิบายไม่ได้ตอบแค่องค์ฌาณ แล้วที่ท่านโพสท์ธรรมมามันก็เท่านั้นแหละครับไม่มีประโยชน์เลยถ้าจะกล่าวได้เช่นนั้น
- ปราโมทย์จากกุศล และ ศีลเกิดขึ้นได้ยังไง บอกว่าเพราะ อวิปติสสาร ผมก็พูดได้ เด็ก ป.3 ก็พิมพ์ตอบได้ครับ นักอภิธรรมทั่วไปก็ตอบได้ แต่ถามว่าศีล กุศลจิตทำอะไรกับจิตจึงเกิดเป็น อวิปติสสาร อวิปติสสารเกิดแล้วด้วยอะไร ดำรงอยู่แบบไหนจึงเกิดปราโมทย์ นี่ตอบไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ จะตอบได้ก็แค่ปราโมทย์เป็นอานิสงส์อวิปติสสาร นี่ไม่ใช่การจำแนกธรรม ลำดับธรรม นี่แค่การท่องจำล้วนๆ ดังนั้นที่ท่านโพสท์ธรรมา ตำหนิคนนั้นผิด คนโน้นถูก ก็เท่ากับท่านเอาอัตตามาอวดโง่ตนเอง
- โสภณจิตเกิดได้เพราะสิ่งใด แม้คนเรียนอภิธรรมก็กล่าวเหตุปัจจัยนี้ได้เพียงตามตำราว่าเท่านั้น ว่าเพราะเจตสิกตัวนี้เกิดร่วมกับเจตสิกตัวนี้ นี่เขาอะธิบายเกตุปัจจัยนะ ถูกด้วย ตรงด้วย แต่โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเหตุที่จะทำให้เจตสิกเหล่านั้นเกิดแสดงผลได้อย่างนั้นคือต้องทำยังไง เป็นแบบไหน โดยถ้ารู้ก็ทำได้แล้ว ถ้าไม่รู้ก็ยังทำไม่ได้ยังอยู่ที่สภาวะคิดคาดคะเนตามตำราเอาเท่านั้น

จริงๆมันไม่ยากไม่มากมายเลยนะ สิ่งที่ผมถามท่านกรัซกายทุกกระทู้ มันเพื่อตัวท่านเองทั้งหมด เป็นการให้ท่านใช้ปัญญา ทำให้เข้าถึง เมื่อท่าย่อธรรมสรุปผลของธรรมได้ ท่านก็ต้องจำแนกแจกแจงได้ สาธยายธรรม อธิบายขยายความได้ถูกต้องและตรงตามจริงด้วยเช่นกัน ..สามารถตอบคำถามธรรมที่ตนแสดงได้อย่างละเอียดมีเหตุผลเป็นไปตามจริง [b]ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่สำคัญต่อท่านกรัซกายเอง เพราะท่านชอบโพสท์ธรรม เพราะชอบชี้นำฟันธง ข้อนี้จึงสำคัญที่ท่านต้องมีเพื่อความถูกต้องและตรงตามจริง เพื่อปฏิภาณของท่านเอง ไม่ตอบเฉียงๆ หลีกเลี่ยง เอียงๆ[/b]

ยกตัวอย่าง..เหมือนเรื่องตำส้มตำนั่นแหละครับ ที่จริงผลหรือหลักการทำงานมันง่ายๆ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะชี้แจงสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เช่น คำว่า..ตั้งใจทำให้ออกมาดี..คำนี้มันเข้าใจได้พูดง่าย รวบยอด แต่จะทำยังไงให้มันออกมาดี มีหลักการอย่างไร วิธีฝึกฝนยังไงให้ได้ผลลัพธ์นั้น นี่สำคัญและยากกว่า ซึ่งท่านจำแนกให้ดูไม่ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว ..และถึงแม้จะบอกว่าทำบ่อยๆสะสมไป ก็แล้วที่ให้ทำบ่อยๆ คือต้องทำแบบไหน ทำซ้ำๆเดิมตำส้มตำออกมามันก็เหมือนเดิมไม่อร่อยก็ไม่อร่อยอย่างเดิม มีดีขึ้นคือเร็วขึ้นคล่องขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้นมันมีหลักการทำยังไงบ้าง เมื่อผมจะตอบ ผมจะตอบว่า..ด้วยประการฉะนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ใช้ปัญญา ทรงสอนธรรมใน อิทธิบาท ๔ เพื่อใช้ปฏิบัติการงานทุกอย่างให้สำเร็จไปได้ด้วยดี การเจริญสิ่งใดทำกิจการงานใดต้องมีอริยะสัจ ๔ จึงจะสำเร็จบริบูรณ์ตามเป้าหมาย

ข้อนี้มันเป็นความต่างระหว่างพระปัจเจกพุทธเจ้า กับพระพุมธเจ้า สมมติสาวกกับสาวก สาวกทั่วไปกับอริยะสาวก

:b1: :b1: :b1:

ขอบคุณท่านกรัซกายที่กรุณาคุยด้วยกับผมครับ :b8: :b8: :b8:
ผมก็เจริญใจพอสมควรครับมี่ท่านแบ่งปันความรู้ :b8: :b8: :b8:



ปล. การยกว่าปฏิบัติธรรมแล้วบ้านั้นไม่ควรนำมาเสนอ ดังที่ผมแสดงตอบให้ท่านเห็น ทำให้กลัว ชัง ระอาในพระพุทธศาสนา ไม่อยากคุยธรรม ไม่อยากปฏิบัติธรรม ไม่สนใจธรรมของพระพุทธเจ้าเพราะกลัวบ้า ศาสนาคริสต์เขาไม่มีคนบ้า อิสลามไม่มีคนบ้า เขาไปนับถือตามไม่ดีกว่าหรือครับ ดังนั้นที่ท่านเอามากล่าวทั้งปวงมันทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรงครับ นั้นเพราะท่านอธิบายด้วยตัวเองไม่ได้ จึงไปเอากระทู้ที่ตนคิดว่าตรงกับคำตอบมา อ้างอิงไปจนทำให้คนไม่รู้เขาเกลียดกลัวพระพุทธศาสนา :b1: :b1: :b1:


อ้างคำพูด:
การยกว่าปฏิบัติธรรมแล้วบ้านั้นไม่ควรนำมาเสนอ ดังที่ผมแสดงตอบให้ท่านเห็น ทำให้กลัว ชัง ระอาในพระพุทธศาสนา ไม่อยากคุยธรรม ไม่อยากปฏิบัติธรรม ไม่สนใจธรรมของพระพุทธเจ้าเพราะกลัวบ้า


ทำแบบคุณนำเสนอนั้นไม่เป็นไร นั่นๆนี่ๆคิดฟุ้งไป มันเป็นนั่น มันเป็นนี่ มันเป็นสติ มันเป็นสมาธิ เป็นสวรรค์ นิพพานอะไรก็ปรุงแต่งไป คิดไป แบบนี้ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน :b32:


ลิงค์ที่ให้แค่อากาศดูนี้ ก็มีคำถาม จขกท. เหมือนแค่อากาศว่านั้นอยู่ คุณไปอ่านดูอีกทีนะขอรับ

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html


เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา ตรงไปที่ คคห.39 เลย

อ้างคำพูด:

(จขกท. คคห.39)

ขอบคุณมากสำหรับทุกๆ ความเห็นค่ะ

แต่ว่า ถ้าการฝึกสมาธิมันเสี่ยงกับการเป็นบ้า ทำไมเราถึงสนับสนุนคนให้ฝึกกันละคะ เพราะก็ไม่มีใครรู้

หรอกว่าตัวเองมีเชื้อบ้าอยู่ในตัวไหม น่าจะสนับสนุนให้ศึกษาธรรมมะให้เข้าใจก็พอแล้ว คนที่เข้าใจธรรม

มะจากการศึกษาก็พ้นทุกข์ได้ ไม่เห็นต้องมาเสี่ยงปฏิบัติ

ดิฉันไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อมากก่อนไหม แต่รู้ว่าตัวเองสุขภาพจิตดีก่อนเกิดเหตุ

แต่เคยได้ยินว่าฝึกแล้วอาจจะบ้าได้ แต่เสียดายไม่เคยคิดเลยว่ามันใกล้ตัวไป ก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรในการฝึก

ทำไปตามปกติสบายสบาย จนมันผิดปกติถึงได้พยายามแก้ไขเอง นี่เองจุดหักเข้าสู้ความตาย

พอเห็นอาการทางกายหายไป แล้วดิฉันเริ่มหลง เพราะเห็นพระที่ดิฉันนับถือที่สุดในชีวิตเอาพระองค์

เล็กๆใส่มาในตัวเรา

ต่อจากนั้นก็รู้สึกไปว่าติดต่อทางจิตกับท่านตลอดเวลา... เจอมุขนี้ มือใหม่จะรับมือไหวได้ยังไง

หมอยังทำให้เบาใจได้ระดับนึงคือเขาคิดว่ามันเป็น Bipolar มากกว่า schizophrenia

(ข้อแตกต่างของสองอันคือ schizophrenia จะไม่มีทางหาย แต่ bipolar หายได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศนี่ก็สังขารปรุงแต่ง


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมา นั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอก เหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆ แล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐาน ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้น แปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจ ว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ของเรา
เหมือนเท่าที่อ่าน การฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่า ให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


คุณว่าอย่างไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศนี่ก็สังขารปรุงแต่ง


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมา นั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอก เหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆ แล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐาน ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้น แปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจ ว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ของเรา
เหมือนเท่าที่อ่าน การฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่า ให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


คุณว่าอย่างไร ?



เคยตอบไปแล้วครับกระทู้นี้นานมาแล้ว เหมือนท่านคุยถามกับคุณโรสริน

หากให้ตอบใหม่ในกระทู้นี้ขอกล่าวจำเพาะตามที่ปุถุชนของผมเข้าไปรับรู้สัมผัสเห็นจริงได้ ซึ่งมีทั้งจริงและไม่จริงแต่ก็เอามาใช้เป็นหลักยึดเพื่อละกิเลสได้ เกินกว่านี้ผมไม่รู้ ดังนั้นท่านต้องแยกแยะพิจารณาระหว่างปุถุชนเห็นกับพระอริยะเห็น ดังที่ผมจะตอบคำถามท่านดังนี้ครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

- กล่าวถึงทางแพทย์ คือบางครั้งสภาพกายไม่พร้อม เมื่อทำสมาธิเข้าไปสู่สภาวะหนึ่งๆ จิตใจมันล้า กายมันเหนื่อยมันโคลงเคลงเพราะอ่อนล้า เช่น เข้ากะ สลับกัะ นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ กินน้อยเกินไป ขาดโปรตีน วิตามิน

- กล่าวโดยย่อในทางธรรม หากด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่พร้อมดีแล้ว.. ให้มีสติดำรงมั่น ระลึกได้ทำที่ใจให้หนักแน่นไม่หวั่นไหว ทำสัมปะชัญญะให้เกิดขึ้นรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอย่าง รู้ว่าทำสมาธิ มีจิตรู้ปักหลักรู้ไปเรื่อยๆ หากไม่ไหวให้จิตจับที่พุทโธ อย่างทิ้งพุทโธ อย่างทิ้งลมหายใจ สิ่งใดจะเกิดปล่อยมันไป ปักหลักรู้ลมหายใจไว้เท่านั้นพอ แล้วมันจะหายไปเอง
..อธิบาย ปิติที่ไม่เต็มร้อยในองค์สมาธิ จิตที่มีกำลังอ่อนพึ่งได้พัก ยังไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง มันจึงเป็นแบบนั้น จึงต้องหาหลักให้จิตยึด เพื่อให้ไม่สัดส่ายตามอาการของกายและจิตที่ไม่มีหลักไม่มีกำลัง นั่นคือ ลมหายใจ

- การรู้ๆแต่ไม่ลงใจมันเป็นปรกติของปุถุชน เพราะยังไม่ลงใจ จิตยังไม่แยบคายของจริง เราเห็นตับไตไส้พุง ผ่าหมู ผ่าหมา ผ่าไก่ กินไก่ กินหมู คนป่าเผามนุษย์กินคน เขาก็รู้เห็นภายในแบบนั้น เพราะรู้แค่เพียงว่ามีอวัยวะไรๆภายในเท่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยปัญญาธรรม ถ้าเห็นภายในแล้วบรรลุเลยไม่อย่างนั้นเผ่ามนุษย์กินคนเขาก็บรรลุอรหันต์กันหมดแล้วสิครับ ที่เป็นแบบนั้นเพราะเขาเห็นด้วยตา ไม่ได้เห็นด้วยใจ
..ดังนั้นเมื่อรู้กายในกายถึงอวัยวะน้อยใหญ่แล้ว ให้ลองแยกกองๆออกมาตามที่เราผ่าออกมา ดูว่ามีสิ่งใดที่เป็นใครได้บ้าง ตับ ไต ม้าม ที่ผ่าออกมามีตัวตนบุคคลใดในนั้นไหม ในนั้นเป็นที่อยู่ของใครไหม ก็หาไม่ได้เลย นี่คือ ความไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน พอเอามากองๆรวมกันก็ไม่เห็นความเป็นคนในสิ่งใดทั้งปวง แล้วพิจารณาธาตุ ๖ ให้แจ้งอนัตตา เข้าป่าช้า ๙ ให้เห็นความเสื่อมสูญ เข้าสู่อุปจาระสมาธิอธิษฐานจิตเห็นสิ่งใดมันจะพรึบขึ้นมาทันทีนี่อุปจารสมาธิมีนิมิตเป็นอารมณ์ หรือเข้ารูปฌาณได้ทำความแยบคายในฌาณ แต่ถ้าแค่อาการเวียนหัวยังไม่หายพ้นไม่ได้ก็เข้าอุปจาระสมาธิ เข้าฌาณแท้ๆไม่ได้

- การรู้จักไตรลักษณ์เพราะคิดเอา คาดคะเนตามเอา มันได้แค่นั้นแหละ มันไม่ใช่ของจริง ของจริงจิตมันทำกิจมันแยบคายภายในใจด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่ไปบังตคับคิดบังคับทำ มันทำเอง แม้ไม่เห็นก้อนกาย ก้อนสิ่งไรๆ นิมิตที่มีเพียงสีแสง มันก็แยบคายได้ว่านั่นไม่เที่ยง นี่ไม่ใช่ตัวตน ไตรลักษณ์ที่จิตรู้ของแท้มันคนละอย่างกันกับท่องจำเอา ท่องจำมันแค่สัญญาไม่ใช่ปัญญามันเป็นแค่แนวทางเท่านั้น

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

วิปัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิต ไม่ใช่อบรมตาแล้วคิดเอา ซึ่งเป็นการที่จิตเข้ารู้ของจริง จิตเห็น-จิตรู้ ไม่ใช่ตาเห็น-จิตคิด จิตเดินในมหาสติปัฏฐาน คือ จิตเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จิตทำกิจในวิชชา เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒

ถ้าเห็นกายในกายแล้ว ถ้าถึงจริง ลองกำหนดเห็นเป็นธาตุ เป็นกอง เอามีดฟันแขนตัวเองดูสิครับ ทำได้ไหม ไม่ได้ก็ของปลอม
ถ้าถึงเวทนาจริง กามคุณ ๕ คืออะไร เวทนาทางกายนี้เป็นอย่างไร เวทนาทางใจนี้เป็นอย่างไร
ถ้าถึงจิตจริง ธรรมมารมณ์คืออะไร สังขารเป็นแบบไหน การเกิด การดับของมันเป็นยังไง สุข ทุกข์ หรือสิ่งที่เนื่องด้วยใจคืออะไร
ถ้าถึงธรรมจริง นิวรณ์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ขณะที่เข้าไปเห็นนั้นเป็นแบบไหนยังไง ขันธ์ ๕ คืออะไร โครตภูญาณเป็นแบบไหน สันตะติขาดเป็นยังไง เวลามรรคสามัคคีกันเป็นอย่างไร เข้าไปเห็นสังขารแบบไหน จิตเกิดไตรลักษณ์มันเกิดยังไง จิตทำกิจในรอบ ๓ อาการ ๑๒ มันทำอย่างไร

หากเห็นอริยะสัจ ๔ ตามนี้ ก็แสดงว่าอยู่ระหว่างปุถุชน กับนิพพาทา คือ

ทุกข์ คือ ธรรมชาติของโลก
สมุทัย คือ สิ่งที่เป็นโลก
นิโรธ คือ ธรรมชาติของโลกุตระ
มรรค คือ สิ่งที่เป็นโลกุตระ



ดังนั้นใครก็พูดได้หมดแหละครับว่าเห็นอเะไรถึงแค่ไหนโดยความคิดแม้ผมก็รวมอยู่ด้วย
- จนเมื่อละความคิดเข้าเป็นเห็นจริงด้วยใจ เขาก็จะเกิดสันดานพระอริยะขึ้น
- ผู้ที่ปารถนาพุทธภูมิแม้บรรลุธรรมใดไม่ได้ แต่จะไม่ผิดใน ทาน ศีล ภาวนาเลย แล้วเพียรสะสมเหตุไม่ไหวหวั่น เพราะใจมันทำมันรู้ด้วยตัวเอง

ปัญญาเข้าไปรู้เห็นจริงของผมมีเพียงเท่านี้ ซึ่งปุถุชนนี้ของปลอมมีเยอะ ดังนั้นพึงแยกแยะพิจารณา หากจะยึดเอาสิ่งที่ผมบอกกล่าวนี้ ก็ให้ท่านยึดเพื่อเป็นทางละกิเลสเท่านั้นพอ

ขออนุโมทนา ผมเล่นต่อกระทู้กับท่านกรัซกายมาหลายกระทู้แล้ว คงพอจะเจริญใจได้บ้างนะครับ วันนี้วันพระใหญ่ วันมาฆบูชา ผมจึงขอกล่าวธรรมไว้ดังนี้ครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 19 ก.พ. 2019, 10:34, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศนี่ก็สังขารปรุงแต่ง


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมา นั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอก เหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆ แล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐาน ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้น แปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจ ว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ของเรา
เหมือนเท่าที่อ่าน การฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่า ให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


คุณว่าอย่างไร ?



เคยตอบไปแล้วครับกระทู้นี้นานมาแล้ว เหมือนท่านคุยถามกับคุณโรสริน



แค่อากาศเชื่อไหมว่า ปฏิบัติแบบนี้ทำให้เพี้ยนได้ ถ้าไม่เชื่อจะเอามาอีก :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 11:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศนี่ก็สังขารปรุงแต่ง


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมา นั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอก เหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆ แล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐาน ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้น แปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจ ว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ของเรา
เหมือนเท่าที่อ่าน การฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่า ให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


คุณว่าอย่างไร ?



เคยตอบไปแล้วครับกระทู้นี้นานมาแล้ว เหมือนท่านคุยถามกับคุณโรสริน



แค่อากาศเชื่อไหมว่า ปฏิบัติแบบนี้ทำให้เพี้ยนได้ ถ้าไม่เชื่อจะเอามาอีก :b16:



คนที่มีปัญญาจะชักนำเขาในทางที่ถูกให้เขาเห็นจริงด้วยใจ มากกว่าจะใช้กิเลสตนตัดสินเขา
หากท่านกรัซกายใช้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดกิเลสของปลอมในการโพสท์กระทู้หรือตอบตัดสินเขา ท่านก็ไม่ต่างจากคนที่ท่านว่าเขาเพี้ยนเหล่านั้น เขาเป็นคนที่ถูกทุกข์หยั่งเอาเขาจึงโพสท์ขอความช่วยเหลือ เราหากมีใจเอื้อเฟื้อก็เกื้อกูลเขาไปตามสมควร

ตอนนี้ผมก็มองท่านกรัซกายไม่ต่างจากเขาที่ว่าเพียนๆเดหล่านั้นนะครับ :b32: :b32: :b32: ขำๆฮาๆนะครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศนี่ก็สังขารปรุงแต่ง


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมา นั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอก เหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบ ให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆ แล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐาน ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้น แปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัว จะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์ เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจ ว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ของเรา
เหมือนเท่าที่อ่าน การฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจ ว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่า ให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


คุณว่าอย่างไร ?



เคยตอบไปแล้วครับกระทู้นี้นานมาแล้ว เหมือนท่านคุยถามกับคุณโรสริน



แค่อากาศเชื่อไหมว่า ปฏิบัติแบบนี้ทำให้เพี้ยนได้ ถ้าไม่เชื่อจะเอามาอีก :b16:



คนที่มีปัญญาจะชักนำเขาในทางที่ถูกให้เขาเห็นจริงด้วยใจ มากกว่าจะใช้กิเลสตนตัดสินเขา
หากท่านกรัซกายใช้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดกิเลสของปลอมในการโพสท์กระทู้หรือตอบตัดสินเขา ท่านก็ไม่ต่างจากคนที่ท่านว่าเขาเพี้ยนเหล่านั้น เขาเป็นคนที่ถูกทุกข์หยั่งเอาเขาจึงโพสท์ขอความช่วยเหลือ เราหากมีใจเอื้อเฟื้อก็เกื้อกูลเขาไปตามสมควร

ตอนนี้ผมก็มองท่านกรัซกายไม่ต่างจากเขาที่ว่าเพียนๆเดหล่านั้นนะครับ :b32: :b32: :b32: ขำๆฮาๆนะครับ



นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 13:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ตัวเจตนาจริงๆมองไม่เห็น เพราะเป็นสังขาร อย่างที่บอก สังขารคือ การปรุงแต่งจิตให้ดี ให้ชั่ว เป็นนามธรรม ซึ่งแสดงออกทางกาย ทางวาจา ดังนั้น ถ้าหากจะดูเจตนาก็ดูการกระทำทางกาย ทางวาจา ก็พอเห็นเจตนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ นี่ก็สังขารปรุงแต่ง ซึ่งก็รวมทั้งเจตนาด้วย :b1:

ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง.... คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรมและให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา 10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 124 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร